"คุณหนูเจ้าขากลับกันเถิดเจ้าค่ะ หาไม่นายท่านกับฮูหยินเป็นห่วงเอาได้นะเจ้าคะ" เจียถงกระซิบข้างหูเจ้านายสาว หยวนเสี่ยวหงจึงพยักหน้ารับ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ทันได้พูดคุยกับท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงบุรุษที่แอบปลื้มมานานให้มากกว่านี้ แต่เพราะนางออกมาข้างนอกนานแล้ว หากไม่รีบกลับไปท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเป็นห่วงไม่น้อย
"ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน ลาก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ คุณหนูสวีอี้ฝาน" หญิงสาวระบายยิ้มหวานให้กับทุกคน ท่าทางอ่อนหวานงดงามจนทำให้ใครหลายคนยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว เว้นเสียแต่เปาอี้ส่วงที่ยังทำหน้านิ่งตีหน้าขรึมอยู่เช่นเดิม "ไม่มีอะไรแล้วเราก็กลับกันดีกว่าหลิงหลิง" สวีอี้ฝานรับรองเท้าผ้าแพรจากมือหลิงหลิงมาสวมกลับคืนก่อนจะหันไปกล่าวคำลากับคนตัวโต จากนั้นก็เดินจากไปทันที แต่เมื่อเดินมาถึงรถม้าก็เห็นสีหน้าเลิ่กลั่กของพลขับรถม้า ก่อนจะหันไปเห็นล้อรถข้างหน้าทั้งสองข้างแบนราบไปกับพื้นราวกับเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน "เอาอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู ล้อแบนราบเช่นนี้คงนั่งรถม้ากลับจวนไม่ได้แล้ว" หลิงหลิงทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ยามนี้แดดเปรี้ยงยิ่งนัก ร้อนจนแสบไปทั่วทั้งผิวกาย "จะทำอย่างไรได้ล่ะหลิงหลิง นอกจากเดินกลับ" สวีอี้ฝานไม่ได้สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด นางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ทุกข์ร้อน จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปตามถนน ความลำบากแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาง เพราะในตอนที่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์ฝึกหัดอยู่ในหน่วยม้าบิน นางลำบากมากกว่านี้หลายเท่า "ฮ้าาา" หลิงหลิงทำตาโตอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ จากตลาดไปถึงจวนสกุลสวีอยู่ไกลกันไม่ใช่น้อย พวกนางจะเดินไปถึงได้อย่างไรกัน แต่สุดท้ายก็ต้องรีบรวบกระโปรงขึ้นวิ่งตามเจ้านายสาวที่ก้าวดุ่มๆ เดินนำหน้าไปแล้ว กุบกับ กุบกับ! เดินห่างออกมาจากตลาดได้เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงรถม้าคันใหญ่วิ่งตรงมา ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าห่างออกไปจากพวกนางไม่ไกล "ขึ้นมาสิข้าจะไปส่ง" ม่านผืนบางถูกสายลมพัดจนเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งหลังตรงตาทิดมองไปเบื้องหน้าราวกับภาพเมื่อครู่ที่ตลาดก็มิปาน "ท่านแม่ทัพเปา" สวีอี้ฝานขานเรียกชื่อคนตัวโตเบาๆ "คุณหนูเจ้าขา บ่าวว่าเราควรรับน้ำใจจากท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ" หลิงหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ยามนี้ยังเดินออกมาจากตลาดไม่ถึงครึ่งทาง นางก็แทบจะไม่ไหวแล้ว สวีอี้ฝานหันไปสบตากับหลิงหลิงที่อยู่ในสภาพเหงื่อท่วมไปทั่วกายราวกับเพิ่งไปเล่นน้ำที่ไหนมา เห็นเช่นนี้ก็นึกสงสารสาวใช้คนสนิทไม่น้อย คิดว่าหากนางยังคงดึงดันเดินกลับจวนต่อ หลิงหลิงคงได้เป็นลมหมดสติไปก่อนถึงจวนเป็นแน่ สุดท้ายหญิงสาวจึงตัดสินใจตอบรับน้ำใจจากเปาอี้ส่วง ประตูรถม้าถูกดึงให้เปิดออก สวีอี้ฝานก้าวเข้าไปนั่งด้านในฝั่งตรงข้ามกับคนตัวโต ส่วนหลิงหลิงได้ขึ้นไปนั่งข้างพลขับรถม้าที่ด้านนอก "ขอบคุณท่านแม่ทัพมากนะเจ้าคะ หากแต่ว่าข้ากับท่านอยู่ด้วยกันตามลำพังในรถม้าเช่นนี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก หากท่านแม่ทัพจะกรุณา ข้าขอให้สาวใช้ของข้าเข้ามานั่งด้วยได้หรือไม่" "จะสนใจไปไยในเมื่ออีกไม่นานเราทั้งสองคนก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี" เปาอี้ส่วงตอบเสียงเรียบ สวีอี้ฝานจึงจำต้องเงียบเสียงลงเพราะรู้ว่าพูดไปเขาก็คงไม่อนุญาต ตลอดทางกลับไปยังจวนสกุลสวีบรรยากาศมีเพียงแค่ความเงียบ สวีอี้ฝานขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด ในที่สุดจึงตัดสินใจถามในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป "ท่านแม่ทัพวางแผนอนาคตของเราสองคนอย่างไรบ้างเจ้าคะ" "หมายความว่าอย่างไร" "เอ่อ... ก็หมายความว่าหลังจากที่เราสองคนแต่งงานกันไปแล้ว ท่านแม่ทัพมีแผนอย่างไรเกี่ยวกับชีวิตของเราสองคนเจ้าคะ" สวีอี้ฝานทำหน้ามุ่ย คำถามง่ายๆ เหตุใดเขาถึงไม่เข้าใจ "การแต่งงานสำหรับข้าเป็นเพียงหน้าที่หนึ่งที่ต้องกระทำ ไยต้องคิดอะไรมากมายให้ปวดหัว" ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดอยู่มาก สวีอี้ฝานคิดว่าท่านแม่ทัพเปาเองก็คงไม่ได้ต้องการแต่งงานกับนางกระมัง คำตอบของเขาทำให้คนฟังหมดอารมณ์จะถาม นอกจากเขาจะไม่วางแผนอนาคตของเขาและนางแล้ว ดูเหมือนว่าในสายตาของเขาจะมองนางเป็นเหมือนภาระของเขาเสียด้วยซ้ำไป สวีอี้ฝานเบ้ปากใส่คนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ เอาเถิด... เขาจะคิดอย่างไรก็ช่าง ในเมื่อไม่ช้าหรือเร็ว สุดท้ายทั้งเขาและนางก็ต้องแยกจากกันไปอยู่ดี ครึ่ก! รถม้าคันใหญ่เซถลาหลังจากเผชิญหน้ากับหลุมขนาดใหญ่ ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างในโงนเงนเซถลามาอีกฝั่งตามแรงเหวี่ยง "อ๊ะ!" หญิงสาวร้องเสียงหลง ร่างบางถลาไปข้างหน้าฝั่งตรงข้ามของตน มือบางรีบยื่นไปดันผนังรถม้าเอาไว้ก่อนที่ใบหน้าของนางจะกระแทกเข้ากับใบหน้าคมคายของเปาอี้ส่วง ดวงตาคู่งามกะพริบถี่ หัวใจเต้นแรงราวจะหลุดออกมานอกอก เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่คืบ การได้อยู่ใกล้กันเช่นนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่ยังเป็นมู่ฝาน ในวันที่นางเสียสละชีพปกป้องเขาเพราะความเข้าใจผิด นางเห็นเขามองสบตากับนางราวกับคนไม่ได้ตาบอด หรือเขาอาจจะโกหก... เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงขยับเข้าไปใช้สายตาจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของเขา พลางเอียงคอมองด้วยความสงสัยราวกับกำลังค้นหาความจริงบางอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าเปาอี้ส่วงยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ได้สะทกสะท้านต่อการจู่โจมของนาง สุดท้ายจึงยอมแพ้ถอยกลับไปนั่งลงตามเดิมโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังลอบถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ตลอดทางมาถึงจวนสกุลสวีทั้งเปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานก็ไม่ได้สนทนาด้วยกันอีก ต่างคนต่างนิ่งเงียบจมอยู่กับความคิดของตนเอง เมื่อรถม้าเคลื่อนมาจอดที่หน้าประตูจวนสกุลสวีเรียบร้อยแล้ว สวีอี้ฝานก้าวลงจากรถม้าพลางหันกลับไปหาคนที่นั่งอยู่เพื่อจะเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปจิบชาแทนคำขอบคุณ "ท่านแม่ทัพ ข้าขอเชิญ..." "กลับจวนสกุลเปา" หญิงสาวเอ่ยยังไม่ทันจบประโยค เสียงห้าวพลันสั่งการเสียงดัง จากนั้นรถม้าคันใหญ่ก็เคลื่อนตัวจากไปด้วยความรวดเร็ว "หยิ่งผยอง อวดดี น่าหมั่นไส้!" สวีอี้ฝานตะโกนไล่หลังไปด้วยความหมั่นไส้ นี่น่ะหรือบุรุษที่กำลังจะกลายมาเป็นสามีของนางในอนาคต ดูท่าว่าชีวิตคู่ของเขาและนางคงจะล่มไม่เป็นท่าก่อนที่นางจะทันได้ทำให้เขากับหยวนเสี่ยวหงรักกันเสียด้วยซ้ำไป ดวงตากลมโตจดจ้องไปยังรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไป มุมปากบางยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบปิ่นหยกปักผมขึ้นมา หรี่ตาลงเล็กน้อย กะระยะจนคิดว่าไม่พลาดพร้อมปามันออกไปข้างหน้าอย่างแรง ฉึ่ก! ปลายแหลมของปิ่นปักลงไปบนล้อรถม้าอย่างแม่นยำ ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนไปตามถนน "คิกๆๆ" มือบางยกขึ้นมาปิดปาก ส่งเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจ "คุณหนูหัวเราะอะไรหรือเจ้าคะ" หลิงหลิงที่ยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ทางด้านหลังค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองเจ้านายสาวที่ยืนหัวเราะอยู่คนเดียวด้วยความประหลาดใจ "วันนี้อากาศแจ่มใส ข้าเลยอารมณ์ดีก็เท่านั้น" นางหันไปตอบสาวใช้คนสนิท พลางเดินกลับเข้าไปในจวนพร้อมส่งเสียงฮัมเพลงเบาๆอย่างอารมณ์ดี ดวงอาทิตย์ในยามบ่ายคล้อยส่องแสงสว่างจ้ากว่าเวลาเช้า ภายใต้ต้นไม้ใหญ่บนถนนที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าเผยให้เห็นรถม้าคันใหญ่คันหนึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ "ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าเห็นปิ่นปักผมเล่มนี้ปักอยู่ที่ล้อรถฝั่งทางด้านหลัง คาดว่าสาเหตุที่ยางแบนเกิดจากปิ่นเล่มนี้ขอรับ" หลูเผิงยื่นปิ่นหยกปักผมให้เจ้านายหนุ่ม เปาอี้ส่วงรับปิ่นเล่มนี้มาพิจารณา ไม่นานคิ้วกระบี่ก็เลิกขึ้นเล็กน้อย เขาจำได้ว่าเขาเห็นมันปักอยู่บนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวี "มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน" เขาพึมพำเสียงเบาด้วยความสงสัย หลังจากส่งสวีอี้ฝานและสาวใช้ของนางกลับจวนแล้ว รถม้าของเขาก็เคลื่อนกลับไปยังจวนสกุลเปา ทว่าเดินทางออกมาจากจวนสกุลสวีได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆรถม้าก็ส่ายไปส่ายมา ก่อนจะหยุดลง หลูเผิงรายงานว่าเป็นเพราะยางแบน ก่อนจะพบว่าสาเหตุที่ยางแบนนั้นมาจากปิ่นปักผมของสวีอี้ฝาน ก่อนที่นางจะเปิดประตูลงจากรถม้า เขายังเห็นปิ่นเล่มนี้ปักอยู่บนมวยผมของนาง แล้วเหตุไฉนยามนี้มันถึงได้มาปักอยู่บนรถม้าของเขาได้ นอกเสียจากว่านางจะเป็นคนทำ สวีอี้ฝาน เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากจริงๆ! ครั้นพอหวนนึกถึงยามที่นางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ส่งสายตามองเขาอย่างจับผิด มุมปากหยักก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย นางจะรู้หรือไม่ว่าในยามที่กลิ่นกายหอมกรุ่นจากกายนางลอยเข้ามาแตะจมูก ชวนให้เขาเกิดความรู้สึกปั่นป่วนมากเพียงใด แต่เขาจำต้องเก็บอาการเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย "ท่านแม่ทัพคิดอะไรอยู่หรือขอรับ" เสียงของหลูเผิงทำให้เปาอี้ส่วงหลุดจากภวังค์ เขาส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ "ช่างเถิด ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก รีบกลับจวนกันเถิด" "ขอรับท่านแม่ทัพ" หลูเผิงรับคำจากนั้นจึงยกมือขึ้นเป่าปาก เปาอี้ส่วงก็ทำแบบเดียวกัน รอเพียงไม่นานปรากฏอาชาตัวใหญ่สีขาวและสีดำวิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่ ร่างสูงกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาคมทอดมองไปเบื้องหน้า ยามนี้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจึงไม่ต้องปกปิดตัวตนของตนอีกต่อไป "ฮี้!" อาชาสีดำทะมึนราวกับสีนิลกาฬยกสองขาหน้าเปล่งเสียงร้องดังลั่น ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้า โดยมีอาชาสีขาวตัวใหญ่ของหลูเผิงวิ่งตามไปอย่างติดๆหลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ"ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปากทว่ากินไปได้ไม่ก
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
"ฝานฝานไม่ต้องกินเต้าหู้ก็ได้ เปลี่ยนมากินข้าแทนเถิด" เขาจัดการพลิกคนร่างบางให้นอนหงาย ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากจิ้มลิ้มอีกหน ทว่าสวีอี้ฝานกลับอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ นางก็ใช้มือดันใบหน้าของเขาออกห่าง จากนั้นจึงตวัดกายลุกขึ้นนั่งคร่อมหยิบหมอนใบใหญ่มากระหน่ำฟาดไปยังคนใต้ร่าง"ข้ากำลังโกรธท่านอยู่มิใช่หรือ ไยถึงได้ยังกล้าทำตัวลามกอีกเล่า""โอ๊ยๆ ฝานฝานให้อภัยข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจแต่ข้าสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ" มือหนายกมือขึ้นปัดป้อง สวีอี้ฝานจัดการเขาด้วยหมอนใบใหญ่จนเหนื่อยหอบ นางจึงหยุดพักนั่งหอบหายใจสะท้านโดยที่ยังนั่งคร่อมคนตัวโตอยู่"อึ่ก!" สวีอี้ฝานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันออกมาผ่านเนื้อผ้าและตอนนี้มันกำลังทิ่มแทงไปที่กลางกายของนาง"ฝานฝาน ข้า..." เปาอี้ส่วงขานเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังแก่นกลางกายที่นางกำลังนั่งทับอยู่สวีอี้ฝานก้มลงมองตามสายตาของเขาจึงได้เห็นแท่งหยกอันใหญ่ตั้งแข็งชี้โด่ขึ้น"ว้าย!" หญิงสาวอุทานร้องลั่นรีบปีนลงจากตัวเขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมเปาอี้ส่วงหยัดกายลุกขึ้นตาม เขาเดินตามเข้ามาใกล้
ข่าวเรื่องจอมโจรชุดดำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง สีหน้าของบรรดาเหล่าชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาต่างพากันเปล่งวาจาชื่นชมแม่ทัพเปาอี้ส่วงอย่างไม่ขาดปาก จอมโจรชุดดำเปรียบเสมือนหนามยอกตำใจของชาวเมืองแคว้นฮั่นมาหลายปี พวกเขาต้องคอยอยู่อย่างหวาดผวาเพราะกลัวจอมโจรชุดดำออกอาละวาด ทว่ายามนี้ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวหน้าจอมโจรชุดดำถูกจับตัวได้แล้ว อีกทั้งแหล่งกบดานของพวกมันยังถูกแม่ทัพเปาอี้ส่วงทำลายจนไม่เหลือซากฉีกังหรืออดีตท่านอาจารย์ฉีคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหล่าจอมโจรชุดดำนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใครต่างพากันตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคนที่สุภาพเปี่ยมไปด้วยความรู้และคุณธรรมอย่างท่านอาจารย์ฉีจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริงไปเสียได้ ทว่าคนผิดก็ต้องได้รับโทษ หลักฐานที่มีมัดตัวฉีกังจนดิ้นไม่หลุด ยามนี้เขาถูกคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอการตัดสินโทษต่อไปหวางฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมายให้เปาอี้ส่วง ทว่าเขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะสวีชางหมิงก็มีส่วนช่วยให้เขาปราบจอมโจรชุดดำได้สำเร็จเช่นกันวันนี้ที่จวนสกุลสวีจึงมีรถม้าคันใหญ่หลายคันทยอยเข้าออก เบื้องหน้า
เช้ามืดเปาอี้ส่วงได้เคลื่อนกำลังพลไปยังป่ามืดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแหล่งกบดานของพวกจอมโจรชุดดำ เปาอี้ส่วงสั่งให้กองกำลังซุ่มอยู่บริเวณแนวเขารอบๆ ก่อนจะจัดการยิงธนูไฟไปที่กระโจมของพวกมันจนไฟติดพรึ่บฟ้ายังไม่ทันสางดีก็บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วกระโจมของพวกมัน เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น บรรดาจอมโจรชุดดำต่างวิ่งวุ่นพากันช่วยดับไฟ เปาอี้ส่วงอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนส่งสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนลงไปโจมตีพวกมันในขณะที่กองทัพของแม่ทัพเปาอี้ส่วงกำลังเป็นต่อกลับมีกองกำลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาห้อมล้อมคนของเปาอี้ส่วงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เปาอี้ส่วงจำได้ว่าหัวหน้ากองกำลังผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ผู้ติดตามของท่านอาจารย์ฉีกัง"คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ฉีก็เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรชุดดำจริงๆ""รู้แล้วท่านแม่ทัพจะทำอย่างไรได้ ป่านนี้ท่านอาจารย์ฉีคงพาพวกบรรดาเหล่าคุณชายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว" ซุนเชากล่าวอย่างยิ้มเยาะในทุกๆปีท่านอาจารย์ฉีกังจะทำการคัดเลือกบรรดาคุณชายสกุลต่างๆไปที่วัดบนภูเขาอันเป็นแหล่งกบดานชั้นดีอีกที่หนึ่ง โดยนำวิชา