…THE PRINCE...
มีสมาชิกวงทั้งหมดห้าคน แนวเพลง เค-ป็อปผสม อาร์แอนด์บีและฮิปฮอปรวมไปถึงร็อกอีกด้วย เป็นบอยแบนด์ที่โด่งดังไม่แพ้ต่างประเทศ มีฐานแฟนคลับทั่วโลก …THE PRINCE..ถูกก่อตั้งมาจากบริษัทTEมีหัวหน้าค่ายยักษ์ใหญ่ที่เป็นอดีตนักร้องนักแต่งเพลงและนักดนตรีชื่อดัง นายธยศ ศรีอำนาจ…. …THE PRINCE..ถูกรับคัดเลือกมาจากการแข่งขัน แต่งเพลง เล่นดนตรีและเต้น คนคนหนึ่งจะต้องมีความสามารถครบถ้วนตามที่ธยศต้องการ …THE PRINCE..ถูกก่อตั้งมาได้3ปีเต็ม และได้ผลตอบรับตั้งแต่ครั้งแรกที่่เปิดตัว เจ้าชายทั้ง5ของTHE PRINCE …THE PRINCE….คือคนที่เหนือกว่าคนธรรมดา นำทีมโดย…. 1.เจ้าชาย….สุขุมนุ่มลึกแห่งราชอาณาจักรอันดับหนึ่ง ไดร์ฟผู้ที่ถูกแฟนคลับและเพื่อนๆในวงต่างเรียกขานเขาว่า ท่านไดร์ฟราชาแห่งเดอะพริ้นซ์ เจ้าชายเหนือเจ้าชาย ไดร์ฟมีหน้าที่เป็นลีดเดอร์ของวงรวมไปถึงร้องหลักอีกด้วยและแร็ปนำ เขาจะแต่งเพลงและแร็ปเองรวมไปถึงทำเมโลดี้ของเพลงเองด้วยบางทีก็คิดค้นท่าเต้นเอง เขามีความเป็นผู้นำสูงมีอายุมากกว่าเพื่อนๆในวงแค่ไม่กี่เดือน เขาจึงถูกเพื่อนๆในวงตั้งให้เป็น ลีดเดอร์ของวง 2.เจ้าชาย…เจ้าพ่อคำคมขวัญใจสาวๆแห่งราชอาณาจักรอันดับสอง ฟีฟ่า ฟีฟ่ามีหน้าที่ร้องนำและเต้นเสริม 3.เจ้าชาย….เจ้าพ่อตลก นักสร้างเสียงหัวเราะของวงแห่งราชอาณาจักรอันดับสาม กวิน หนุ่มอีสานบ้านเฮา เขามีหน้าที่เต้นหลักและร้องเสริม 4.เจ้าชาย…หล่อเลอค่าเขามีหน้าที่แค่ทำหน้าหล่อ เจ้าพ่อศัลยกรรมและเจ้าพ่อนำแฟชั่นแห่งราชอาณาจักรอันดับสี่ ธามไฟท์ เขามีหน้าที่แค่เป็นหน้าเป็นตาของวงเพราะการแต่งตัวของเขาก็โดดเด่นพออยู่แล้ว 5.เจ้าชาย…ขี้เล่น ยิ้มหวานเอาใจเก่งแห่งราชอาณาจักรอันดับห้า เอพริ้ว หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสไทย หน้าตาคมคาย เขาอายุน้อยที่สุดแต่เป็นตัวสร้างสีสันของวง เอพริ้วมีหน้าที่เป็นหนุ่มตัวน้อยของพี่ๆและแฟนคลับ เขาจะเต้นนำและแร็ปเสริม มหาลัยประจำนานาชาติ QW อาคารกิจกรรม การดนตรี…. พรึบ “ไอ้ไดร์ฟ!”เสียงเข้มตึงของผู้ชายวัยรุ่นที่อยู่ในชุดกีฬาพร้อมทำกิจกรรมเอ่ยเรียกผู้ชายวัยรุ่นอีกคนที่เขาตั้งหน้าตั้งตาจดโน้ตเพลงและเเต่งเนื้อเพลงรวมไปถึงทำนองด้วยสีหน้ามุ่งมั่นและตั้งใจ “ว่า?”ไดร์ฟเด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีเศษเรือนผมสีน้ำตาลเข้มใบหน้าเรียวไข่ได้รูปผิวขาวใสริมฝีปากสีชมพูสดดวงตาชั้นเดียวเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนสนิทที่เป็นรูมเมทของเขาอย่างสงสัยที่เห็นเพื่อนวิ่งหน้าตาตื่นตะหนกมาแบบนั้น “มีโทรศัพท์เข้ามาหามึง”ชาญเอ่ยบอกไดร์ฟเพื่อนสนิทของเขาไป ไดร์ฟก็ขมวดคิ้วหนาเข้าหากันอย่างงุนงงว่าใครกันที่โทรมาหาเขา “ใครวะ?” “ไม่รู้….รู้แต่ว่าเรื่องสำคัญ…”ชาญทำสีหน้าจริงจังพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวยาวตัวเดียวกันกับไดร์ฟเพื่อนของเขาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบจากการวิ่งมาด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควร “อ่า…เคๆชอบใจมาก…”ไดร์ฟยื่นมือไปตบไหล่ชาญพร้อมกับเอ่ยขอบคุณและเริ่มเก็บของของเขาลงในกระเป๋าเป้เพื่อจะไปยังห้องพักของอาจารย์ที่นั่นเป็นที่ให้นักศึกษาได้ใช้โทรศัพท์สนทนากับทางบ้านได้ ไดร์ฟก็แอบแปลกใจว่าทำไมคนนั้นไม่โทรเข้าเบอร์มือถือของเขาล่ะ “ดรัณภพครับ….”ไดร์ฟเอ่ยขึ้นในขณะที่เขาเดินมาถึงห้องพักของอาจารย์แล้ว “อ่ะ…สายของเธอจ้ะ…” “ขอบคุณครับ…อาจารย์^_^”ไดร์ฟเอ่ยพร้อมคลี่ยิ้มอย่างสดใสขอบคุณอาจารย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าห้องนี้ไปพร้อมกับเดินไปนั่งที่โต๊ะและหยิบโทรศัพท์ของมหาลัยขึ้นมาพูดใส่ปลายสายไป “ฮัลโหล…สวัสดีครับ..ผมไดร์ฟพูดสายอยู่ครับ”ไดร์ฟเอาโทรศัพท์แนบหูและเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ ปลายสายที่เงียบเพื่อรอการตอบรับก็เอ่ยตอบกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงของไดร์ฟ (ไดร์ฟ!…นี่ป้าพร…ป้าข้างบ้านของไดร์ฟนะ)ปลายสายร้อนรนเอ่ยพูดออกมาจนรัวเร็ว ทำให้ไดร์ฟรู้สึกงุนงงและสงสัยว่าป้าพรป้าข้างบ้านที่อาศัยอยู่ติดกับบ้านของเขาโทรมามีธุระด่วนอะไร “ครับ…ป้าพรสวัสดีครับ…” (ไดร์ฟ…ทำใจดีๆไว้นะลูก…) (แม่ของไดร์ฟ…ผูกคอตายแล้ว….) ตุ๊บ ไดร์ฟตกตะลึงเผลอปล่อยโทรศัพท์ของทางมหาลัยหลุดมือ เขากำลังอยู่ในอาการช็อคสุดขีด ทันทีที่เขาได้ยินว่าแม่ของเขาผูกคอตายเหมือนโลกทั้งใบในตอนนี้หยุดหมุนและพังทลายลงเพราะเขารู้ดีว่าแม่ของเขา ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงแล้ว แต่ในการเสียใจในครั้งนี้ทำให้ไดร์ฟกำหมัดแน่นแววตาดุดันอย่างโกรธจัดน้ำตาสีใสเอ่อคลอรอบดวงตาคู่สวย เขาขบกรามแน่นนึกโกรธคนเป็นพ่อที่รู้ว่าแม่ของเขาป่วย แต่กลับไม่พาไปรักษาแถมยังให้เขากลับมาอยู่ที่มหาลัยประจำอีก เขาจะกลับบ้านไปหาแม่ของเขาได้ก็ต่อเมื่อมหลาลัยปิดเทอมหรือมีวันหยุดเยอะๆ งานศพของแม่ไดร์ฟ…… “แม่…แม่ครับ…หลับให้สบายนะครับ…”ไดร์ฟพยายามกลั้นน้ำตาที่มันไหลอยู่เต็มด้านในอกของตัวเองไว้ในวันสุดท้ายที่เขาจะส่งแม่ของเขาไปสวรรค์โดยที่ไร้เงาของผู้ชายที่แม่ของเขารักนักรักหนา “วันสุดท้ายของแม่แล้วแท้ๆ…แต่เขาก็ยังไม่มา….”ไดร์ฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับความคับแค้นที่อยู่ในใจ เมื่อนึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้นที่ยังคงออกโทรทัศน์ด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านกับการจากไปของแม่เขาเลยสักนิด “เราจะกลับมาอยู่ที่นี้เลยหรือเปล่าล่ะไดร์ฟ…?”เสียงอบอุ่นจากป้าพรเพื่อนข้างบ้านเอ่ยถามไดร์ฟที่เขายืนเกาะอยู่ข้างโลงศพของเขาแม่เขาอยู่จึงต้องค่อยๆละใบหน้าหล่อไปมองหน้าของป้าพร คนเดียวที่มางานศพของแม่เขา “ครับ….ผมคงไม่กลับไปเรียนแล้ว….” “ทำไมล่ะไดร์ฟ…” “ป้าว่าแม่ของไดร์ฟไม่อยากให้ไดร์ฟหยุดเรียนนะ…” “ครับ….ถ้าผมไม่หยุดเรียนก็คงกลับมาอยู่บ้านนะครับ…และหางามเสริมทำเอา…” “อืม…ป้าก็เห็นด้วยนะ….” “อยู่ให้ได้นะ….” “ขอบคุณครับ…ป้าพร…”ไดร์ฟยกมือไหว้ป้าพรไปอย่างเคารพ เพราะเขาอยู่กับแม่เขามาแค่สองคนตลอดเวลา โดยแม่ของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเสียเขาเรียนจนพักหลังๆมา แม่ของเขามีอาการโรคซึมเศร้าทำให้แม่ของเขาต้องหยุดทำงานและรักษาตัวอยู่ที่บ้าน โดยตลอดเวลาคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของเขากลับไม่เคยมาเยี่ยม เพียงแค่ส่งเงินมาให้เขากับแม่แค่นั้นเอง โดยที่เขาก็แทบจะจำหน้าพ่อตัวเองไม่ได้แล้ว….ถ้าไม่เห็นทางโทรทัศน์นั้น เคยไหมครับ…? อยู่ดีๆก็นึกเบื่อ…? เบื่อโลก…. เบื่อคนรอบตัว…. เบื่อตัวเอง…. เหนื่อย…และล้ากับการ…ที่จะหายใจ เบื่อแม้กระทั่งที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกที่เงียบเหงาเช่นนี้…. เหมือนตัวคนเดียวทั้งๆที่มีผู้คนมากมายรายล้อมรอบๆตัว…เซฟเฮ้าส์ของไดร์ฟ…. 20:30น.ไอริส อันฤดี…..พรึบเพลี๊ย“โอ้ย!”ฉันร้องออกมาด้วยความเจ็บและคันขาทั้งสองข้างของตัวเองไปหมด นี่ฉันนั่งตบยุงที่มาดูดเลือดฉันตายไปกี่พันตัวแล้วหนิ!และที่ฉันเจ็บเพราะฉันตบขาตัวเองตรงที่โดนยุงกัดแรงไปน่ะสิ เวรกรรมๆแท้ๆๆเลย“เมื่อไหร่ไดร์ฟจะกลับมานะ….?”ฉันพึมพำขึ้นอย่างสงสัยและค่อยๆชะโงกหน้าเข้าไปมองในกระจกห้องนอนของไดร์ฟที่ตอนนี้ไปในห้องมืดมิดและดูเหมือนจะไม่มีคนอยู่เลย การ์ดชุดดำที่เคยเฝ้าตามจุดต่างๆตอนที่ฉันมาอยู่ที่นี่ครั้งแรกก็ไม่มีแล้ว “หรือ….ไดร์ฟจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วนะ…”ฉันพึมพำอีกครั้งอย่างคนที่ใจเสียเพราะมันเงียบเกินไป ถ้าไดร์ฟอยู่ที่นี่มันต้องมีคนเดินไปเดินมาบ้างแหละ ป้าแม่บ้านไง“เอ่อใช่!”ฉันว่าอย่างนึกขึ้นได้ก่อนลุกขึ้นยืนทันที ฉันมานั่งโง่ให้ยุงกินเลือดอยู่ได้ไงเนี่ยตั้งนานสองนานตึกๆๆๆๆออดดดดดดดดดดเมื่อฉันนึกได้ว่าฉันพอจะรู้จักป้าแม่บ้านและป้าแม่บ้านก็พอจะรู้จักฉันอยู่บ้าง ฉันก็เดินมากดกริ่งหน้าประตูทางเข้าเซฟเฮ้าส์ทันที ตอนนี้ฉันอยู่ในตัวของบ้านหลังใหญ่นี้แล้วนะ ฉันแอบปีนรั้วเข้ามาก่อนน่ะ นึกว่ามีการ์ดชุดดำอยู่เยอะเหมือนเมื่อก่อนที่ไหนกล
2วันต่อมา…. คาเฟ่Aไอริส อันฤดี….พรึบ“ไอ….”“ยัยไอ…”“ไอริส!!!”“ห๊ะ!”ฉันร้องเสียงหลงพร้อมกับสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจที่อยู่ดีๆยัยลูกหว้าก็มาตะโกนใส่หูของฉัน พรึบ“มีอะไรลูกหว้า…?”ฉันหันไปถามเธอพลางยกมือขึ้นมาจับหูตัวเองไปด้วยเพราะฉันรู้สึกแสบเเก้วหูเหลือเกินก็ยัยลูกหว้าเล่นตะโกนใส่หูฉันซะเสียงดังขนาดนั้น“แกนั้นแหละ…เป็นไร….เห็นนั่งเหม่อมาสองวันแล้ว..?”ลูกหว้าทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับฉันพลางมองหน้าฉันและเอ่ยถามฉันด้วยความเป็นห่วง ฉันก็มองหน้าเธอด้วยแววตาสั่นไหวและเศร้านิดๆ ก็ตั้งแต่วันนั้นที่ไดร์ฟมาหาฉันที่คาเฟ่ลูกหว้าเขาก็ไม่เคยโทรหาฉันอีกเลย ฉันทักไลน์ไปก็อ่านแต่ไม่ตอบอะไรกลับมา โทรไปไดร์ฟก็ตัดสายฉันทิ้ง“ทำอย่างกับคนอกหัก…”ลูกหว้าว่าพลางดูดน้ำส้มในแก้วของเธอด้วยท่าทางมีจริต ฉันก็ไว้อาลัยให้กับชุดของเธอวันนี้ ฉันไม่รู้ว่าเป็นชุดหรือผ้าสีที่เขาใช้ผูกกันตามต้นไม้เพื่อขอเลขเด็ดกันแน่ หลายสีซะ“นี่…ตกลงแกกับท่านไดร์ฟเป็นอะไรกัน?”ลูกหว้าเอ่ยถามฉันเสียงเเข็งอย่างคาดคั้นเอาคำตอบจากฉันหลังจากที่เธอดื่มน้ำส้มในแก้วของเธอหมดไปครึ่งแก้วแล้ว ฉันก็มองหน้าลูกหว้าพร้อมกับถอนหายใจ
“มาได้ไงเนี่ย?”ฉันถามไดร์ฟไปอย่างสงสัยในขณะที่เราทั้งคู่กำลังเดินตามหลังของธามไฟท์เพื่อนของไดร์ฟที่อุ้มร่างที่ไร้สติของยัยลูกหว้าด้วยท่าเจ้าหญิงเพื่อพาเธอไปนอนพักยังที่ห้องนอนของเธอ “ตามเสียงหัวใจมา…หาจนเจอ^_^”ไดร์ฟตอบเสียงสดใสพร้อมยิ้มกว้าง ฉันก็ส่ายศีรษะไปมากับความทะเล้นของไดร์ฟ“ฉันถามจริงๆ!”“อ่ะๆๆไม่เห็นต้องอารมณ์เสียเลย^_^”ไดร์ฟว่าพร้อมกับยื่นมือมาลูบต้นแขนของฉันให้ฉันใจเย็นลง“ฉันตามจีพีเอสโทรศัพท์เธอมา^_^”ไดร์ฟตอบเสียงใสพร้อมกับยกหน้าจอโทรศัพท์ของเขาที่มีรูปหน้าของฉันกับรูปหน้าของไดร์ฟปรากฏอยู่บนหน้าจอสาร์ทโฟนเครื่องหรู โดยบอกที่ตั้งตำแหน่งเสร็จสรรพพร้อม“นี่นายแอบเอาโทรศัพท์ฉันไปเชื่อมกับโทรศัพท์ของนายหรือไง?”ฉันถามเสียงเเข็งอย่างไม่ค่อยพอใจไดร์ฟเท่าไหร่ ที่เขาแอบแชร์โลเคชั่นและแอบตามติดว่าโทรศัพท์ฉันอยู่ที่ไหน นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ไดร์ฟก็สามารถรู้หมดเลย“ก็ฉันเอาไว้ดูเวลาคิดถึงเธอ…จะได้ตามมาหาถูกไง^_^”คำตอบของไดร์ฟทำให้ฉันถึงกับต้องเปลี่ยนสีหน้าทันที หัวใจก็พองโตเต้นตึกตักมาดื้อๆซะอย่างงั้น ความโกรธก่อนหน้านี้หายไปหมดเลย“^_^”ไดร์ฟยิ้มให้ฉันก่อนจะเอื้อมมือมา
16:30น. คาเฟ่Aไอริส อันฤดี……..พรึบ“นี่แก….”“ว่า?”ฉันขานรับพร้อมกับหันไปมองหน้าลูกหว้าที่ตอนนี้เธอกำลังง่วนอยู่กับการเก็บของตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่ประจำของเธอเพราะเวลานี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ลูกค้าก็ไม่มีแล้วและอีกสักพักก็ถึงเวลาปิดร้านของลูกหว้าแล้วด้วย วันนี้คุณแม่ของลูกหว้าและลูกน้องในร้านไปเปิดบูธที่ห้าง เลยเหลือแค่ยัยลูกหน้าเฝ้าร้านคนเดียว โดยมีฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอและยังคอยเป็นเด็กเสิร์ฟให้เธออีกด้วย ในตอนที่ลูกค้าเยอะๆน่ะ“แกไม่สบายเหรอ?”ลูกหว้าเดินดุ่มๆมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับฉันพร้อมกับใบหน้าที่สงสัยและจับผิดฉันสุดๆที่ฉันใส่ผ้าปิดปากสีชมพูเพราะปกปิดริมฝีปากที่บวมเจ่อของฉันที่โดนไดร์ฟจูบไม่พักไปเมื่อคืนน่ะสิพูดแล้วโมโห!!!“อืม…แค่เจ็บคอน่ะ…ฉันกลัวว่าแกจะติดไปด้วย…”“เลยใส่แมสกันไว้เพื่อความปลอดภัย^_^”“จริงเหรอ?”ลูกหว้ามองหน้าฉันด้วยสายตาไม่เชื่อ เอาแล้วไง ฉันยิ่งเป็นคนที่โกหกไม่เนียนอยู่ด้วย“ก็อีกไม่กี่วันจะคอนเสิร์ตแล้ว….กลัวแกเจ็บคอและไม่มีเสียงกรี๊ดอ่ะ…”ฉันเลยหาข้ออ้างโดยใช้งานคอนเสิร์ตของวงเดอะปรินซ์ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี่มาเพื่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
วันต่อมาห้องประชุม ค่ายTEชั้นที่20ไดร์ฟ ดรัณภพ….พรึบ“วันนี้ที่เรียกพวกเรามาประชุม…เพื่อจะจับฉลากกันเหรอครับ?”เอพริ้วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่สายตาของเขาเพิ่งจะละมาจากหน้าจอสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของเขาเอง“ใช่….”คุณมิตรหรือผู้จัดการประจำวงและมีหน้าที่คอยดูแลพวกเราทั้งห้าคนเอ่ยขึ้น ผมที่นั่งอยู่คนสุดท้ายในโต๊ะประชุมก็มองไปที่หน้าตาของเพื่อนร่วมวงแต่ละคน ทุกคนมีสีหน้าที่ตื่นเต้นและรอลุ้นกันอย่างใจจดใจจ่อตอนนี้ผมกลับไปเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว ไม่ใช่เอาแต่เก็บตัวเงียบและปลีกตัวไปอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน“ตื่นเต้น…จังเลยครับ…ที่ผมจะได้จับฉลาก…”“ว่าแต่….นางเอกของเราเป็นใครกันเหรอครับ?”ธามไฟท์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแววตาเป็นประกาย คุณมิตรก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาอย่างมีเลศนัย“เธอคนนี้กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้….”คุณมิตรเอ่ยต่อพร้อมกับกดเปิดจอมอนิเตอร์จ่อใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของห้องประชุมด้านหน้าของพวกเราขึ้นมาด้วย ผมก็จ้องมองอย่างไม่ค่อยใส่ใจ เพราะผมคงไม่ร่วมจับฉลากเหมือนเช่นทุกทีนั่นแหละครับ…“ว้าวววววววววว”เสียงของเพื่อนร่วมวงของผมต่างร้องออกมาด้วยความตกใจและตื่น
มีผู้คนอยู่มากมายแต่หัวใจมันกลับเหงาขึ้นทุกทีแต่เมื่อฉันได้พบกับเธอสิ่งที่เธอให้ฉันไม่รู้มันคืออะไรโลกใบใหญ่ใบเดิมกลับไม่เคยต้องเหงาใจแค่ฉันนั้นยังมีเธออยู่ตรงนี้เธอเป็นมากกว่ารักเพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิตฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนานและสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจจากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ….ไดร์ฟหันมายิ้มและมองหน้าฉันตลอดเวลาเสียงของเขาที่ขับร้องเพลงนี้ มันช่างเต็มไปด้วยความละมุนนุ่มนวลและความรักที่เขาต้องการจะสื่อความหมายและความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของเขาเพื่อขับร้องออกมาเป็นเนื้อเพลงจริงๆหากว่าเธอนั้นคือความรักก็เป็นรักที่ดีจนไม่มีคำบรรยายฉันโชคดีเหลือเกินที่มีเธอเดินข้างกายชีวิตนั้นได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายเสียงของเพลงได้เงียบลงไปแต่ไดร์ฟกลับยิ้มให้ฉันและร้องเพลงด้วยเสียงที่ไร้ดนตรีและท่วงทำนองให้ฉันฟังแบบสดๆ“เธอเป็นมากกว่า…เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต…”“ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรอ…เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน”“และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ”“จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ….”ไดร์ฟร้องจบก็ขยับใบหน้าของเขาเข้ามาหาฉันจ