บนถนนคอนกรีตทอดยาวไปไกลมีรถสปอร์ตเมอร์เซเดสสีขาวคันหรูกำลังมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านกลางน้ำ ท่อนแขนกำยำประคองพวงมาลัยอย่างมั่นคง ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นสีดำไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ ในใจประสงค์เพียงไปถึงบ้านของเปรมยุดาก่อนฟ้ามืด
การเดินทางกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้ล่าช้ากว่ากำหนดการไปมาก เดิมที่วางแผนว่าจะออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ทว่าพริมาส่งงานด่วนมาให้อนุมัติกว่าจะคุยรายละเอียดกันเสร็จก็ใช้เวลาพอสมควร ถึงอีกจังหวัดก็เลยเย็นแบบนี้
กระทั่งถึงทางเลี้ยวเข้าหมู่บ้านกลางน้ำการันต์ชะลอความเร็วรถลง มีบางอย่างเกิดขึ้นเบื้องหน้า อาจจะเป็นเรื่องของผัวเมียกำลังง้อกันจึงคิดแซงไป แต่แล้วปลายเท้าก็ต้องแตะเบรกอย่างกะทันหันเมื่อฝ่ายหญิงหลุดจากอ้อมกอดของฝ่ายชายแล้วหันกลับมาทางหน้ารถพอดี
“เปรมยุดา!”
เสียงทุ้มเอ่ยชื่อของคนที่อยู่ในหัวเย็นเยียบ พวงมาลัยหมุนออกขวาควงกลับมาด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว ปลดเข็มขัดตั้งแต่ยังไม่ทันดับเครื่องยนต์ นาทีนี้อยากกระโจนออกไปด้านนอกโดยไม่ต้องอ้อมทางประตู
เปรมยุดาถอดใจกับการรอคอยความช่วยเหลือจากรถที่ขับผ่าน สังคมเสื่อมโทรมลงทุกวันความมีน้ำใจหดหายไปตามกาลเวลา เห็นเหตุการณ์อย่างนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้วหรือไง
มีแต่ต้องสู้ด้วยตัวเองถึงจะรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของคนทรามนี้ได้
“โอ๊ย!”
ฟันซี่คมฝังลงเนื้อของท่อนแขนสีขาวจนจมเขี้ยว ทิมปล่อยมือโอบเรือนกายเล็กด้วยความเจ็บทันที ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์สุดขีด อุตส่าห์ใจดีด้วยแต่หญิงสาวกลับไม่ยอมรับไมตรี ฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำดีเพื่อเอาใจเธออีกต่อไป
“อีเด็กเวรนี่มึงกล้ากัดกูงั้นเหรอ”
คนที่หาญกล้าคิดเอาตัวเองให้รอดหลับตาปี๋ หดคอลงยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าเมื่อเห็นว่าตนเองได้กระตุกต่อมโทสะของอีกฝ่ายให้กระพือขึ้นมาอย่างแรง ทว่ากลั้นหายใจอยู่นานกลับไม่มีแรงปะทะกระทบส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกาย
ไม่เพียงเท่านั้นจากความหวาดกลัวเกาะกุมร่างกายจนสั่นเทาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงเมื่อเสียงทุ้มที่เคยทำให้อุ่นหัวใจดึงอยู่เหนือศีรษะ
“คิดทำร้ายผู้หญิงแบบนี้ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยสักนิด เอาผ้าถุงไปใส่แทนกางเกงหน่อยไหมจะได้ไม่ต้องอายคน”
เจ้าของใบหน้าถมึงทึงจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มซึ่งตัวเล็กกว่าเขามาก สีหน้าราบเรียบทว่าแววตานั้นแข็งกร้าวน่ากลัวประดุจราชสีห์ผู้เป็นเจ้าป่าแผ่รังสีความน่ากลัวยามปกป้องฝูงใหญ่
ก้านนิ้วเรียวยาวกำรอบข้อมือของอีกฝ่ายเปรียบเสมือนกรงเล็บแหลมคมฝังเข้าไปในเนื้อของศัตรู จนทำให้ใบหน้าของคนอายุอ่อนกว่าหลายปีบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกบิดจนผิดรูป
“อะ...โอ๊ยเจ็บ ๆ ปล่อยกู มึงเป็นใครถึงกล้าพูดคำนี้ อ๊ากกก...ยอมแล้ว ๆ ปล่อยแขนผมเถอะครับ”
ทำอวดเก่งเบ่งอำนาจบารมีได้ไม่ถึงประโยคทิมก็เสียการทรงตัวเอนไปตามแรงบิดด้วยทักษะเหนือขั้นของคนตัวใหญ่
“ฉันไม่จำเป็นต้องรู้ว่านายเป็นใคร รู้แค่ว่าคนที่นายกำลังรังแกอยู่เป็นคนของฉันก็พอ”
การันต์เน้นคำในช่วงท้ายด้วยโทนเสียงดุดันจริงจัง ซ้ำยังไม่ผ่อนแรงบิดแม้เพียงน้อย ไม่ใช่ว่าความโกรธจนหน้ามืดแต่เพราะเขาจำชายตรงหน้านี้ได้ว่าคือใคร!
สิ้นคำนั้นใบหน้าเหยเกก็เบนไปหาเปรมยุดา เขาไม่เคยได้ยินข่าวว่าเธอเคยมีแฟนหรือคบใครมาก่อน แล้วยังจำไม่ได้อีกด้วยว่าผู้ชายน่าเกรงขามคนนี้คือใครในละแวกนี้ ถึงได้ประกาศออกมาว่าหญิงสาวเป็นคนของตัวเอง แต่ถึงจะเป็นใครก็ช่าง...
หากไม่ทำให้อารมณ์ของผู้มาใหม่เย็นลงมีหวังเขาไม่มีมือไว้ใช้งานแน่
“อ๊าก ขะ...ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นคนของคุณก็เลยหลงผิดไป คุณช่วยปล่อยผมก่อนเถอะนะ ผมผิดไปแล้ว”
การันต์ยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกำลังลง สายตาเฉียบคมประเมินแล้วว่าทักษะของอีกฝ่ายไม่มีเลยสักนิด นอกจากเป็นลูกผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นแล้วก็คงใช้แต่เงินแก้ปัญหา!
เปรมยุดาหลังจากเรียกสติของตนกลับมาได้ก็ก้าวเข้าไปหาร่างสูงของคุณอา ฝ่ามือเล็กจับแขนเสื้อสีกรมท่าเขย่าเบา ๆ อย่างกลัวว่าหากทำแรงกว่านี้ เธออาจจะถูกลูกหลงแห่งความเกรี้ยวกราดก็เป็นได้
“ปล่อยเขาเถอะนะคะอากาน เกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาจะไม่ดี”
เสียงหวานสั่นพึ่งผ่านเหตุการณ์หวาดกลัวหมาด ๆ ดวงตากลมโตช้อนมองคนตัวสูงละห้อย เพราะเกรงว่าตนอาจเป็นต้นเหตุทำให้ผู้มีพระคุณเดือดร้อน
นัยน์ตาสีดำสนิทกดลงต่ำ ความแข็งกระด้างลดน้อยลงแต่ยังคงความราบเรียบไว้เช่นเดิม เมื่อเห็นว่าเธอเนื้อตัวสั่นเทา สองกรามแกร่งผ่อนแรงลดลง จากนั้นดึงสายตากลับมายังผู้ก่อเรื่องก่อนจะสะบัดมือออก
“กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่ จะทำให้รู้ว่าคนที่กล้าลองดีกับกำนันเทพเป็นยังไง”
ว่าจบก็ล้วงเอามือถือกดหาบิดาด้วยท่าทีโอหัง วางท่าข่มขู่คนต่างถิ่นอย่างลำพองใจในระหว่างที่รอสายจากบิดาของตนเอง
“ถ้าคิดว่าจะมีแต่คนเกรงกลัวอำนาจบารมีของพ่อนายก็เรียกพวกมา อย่าลืมว่าคุกไม่ได้มีไว้ขังหมา!”
[มีอะไรทิม โทรมาแล้วไม่พูด]
คำว่าคุกทำเขาใจเต้นระรัว
“ผม...เปล่าครับพ่อแค่กดผิด”
[อืม แล้วก็อย่าก่อเรื่องนะทิม]
“ครับ”
[รีบเข้าบ้านด้วย อย่าออกไปให้พวกตำ....]
ตู๊ด ๆ
ไม่รอให้บิดากล่าวจบทิมรีบตัดสายของท่านเสียก่อน หย่อนโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสองโอบประคองกันอย่างหัวเสีย
ความแค้นในครั้งนี้เขาจะจดจำไว้ อย่างไรเสียเปรมยุดาก็อยู่ที่นี่ยังมีเวลาให้แก้แค้นแน่นอน!
“ฝากไว้ก่อนกูไม่เก็บมึงไว้แน่”
พ้นไฟท้ายสีแดงไปแล้วการันต์จึงผละลำกายใหญ่ออกจากคนตัวเล็ก
“ทำไมถึงไม่โทรหาอา!”
คำถามแรกที่เอ่ยออกมาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นกลับเป็นเบอร์โทรส่วนตัวของตนเองอุตส่าห์ทิ้งเอาไว้แทน
เป็นคำถามเรียกความทรงจำของเธอกลับมา เบอร์โทรและชื่อของเขาไม่ได้อยู่ในสาระบบของสมองเลยสักนิด ลืมไปแล้วว่าเอาวางไว้มุมไหนของบ้านด้วยซ้ำ เนื่องด้วยว่าคุณอาเป็นบุคคลอื่นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทางสายเลือด จึงไม่เคยประหวัดไปว่าต้องขอความช่วยเหลือจากเขา!
“เอ่อ...หนูหาเบอร์ของอาไม่เจอ”
ได้แต่บอกไปอย่างนี้ ขืนพูดว่าทำหายเกรงว่ามือที่บิดแขนของลูกชายกำนันเมื่อกี้อาจจะย้ายมาอยู่บนคอเธอแทน
การันต์พรูลมหายใจออกมาอย่างแรงเพื่อลดความโกรธขึ้ง
“เอาเถอะ! อาก็อยู่นี่แล้วกลับบ้านกันดีกว่า” โทนเสียงละมุนหูเอ่ยบอกพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กปลอบโยน เรียกขวัญหนีกระเจิงหายกลับมาที่เจ้าตัว
เปรมยุดาหลุบตากลมโตลงต่ำ ไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่ทำให้หัวใจเหน็บหนาวอุ่นวาบอย่างน่าประหลาด เป็นอีกครั้งที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันเต้นระส่ำ จนเผลอยกมือขึ้นมากอบกุมหน้าอกของตนเองเอาไว้เพราะหวั่นว่ามันจะหลุดออกมาข้างนอกไหม
“เป็นอะไร เจ็บเหรอ”
“ปะ...เปล่าค่ะ”
“แล้วจับหน้าอกตัวเองทำไม หรือไอ้หมอนั่นมันทำอะไรเรา”
“ไม่ใช่นะคะ หนูแค่รู้สึกว่า....”
“...ว่า?”
“อากานบอกว่าจะพาหนูกลับบ้าน” ไม่ตอบคำถามแต่เปลี่ยนเป็นกลับไปยังคำชวนของเขาแทน
การันต์ไม่ถามย้ำเมื่อไม่อยากเอ่ยถึงเขาก็จะไม่ทำให้ลำบากใจ ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจเดินนำเธอไปยังรถของตนแล้วเปิดประตูฝั่งคนนั่งรอ
“แล้วรถหนูล่ะคะ”
“เดี๋ยวอาจัดการเอง”
“แต่ว่าหนูกลัวหาย”
“สภาพนี้ใครมันจะขโมย”
เปรมยุดาหน้ามุ่ย หันกลับไปมองรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองที่มันหงายท้องลงไปอยู่ข้างทาง
ถึงมันจะเก่าแต่ก็เป็นรถคันแรกที่พ่อกับแม่ซื้อให้นี่!
รถสปอร์ตเมอร์เซเดสเบนซ์สีขาวคันหรูจอดเทียบอยู่หน้าบ้านของเปรมยุดา เธอเปิดประตูลงมาจากรถของการันต์เองเดินอ้อมมายังรั้วบ้าน มองเข้าไปข้างในที่เงียบสงัดหากว่าไม่มีแสงไฟเปิดสว่างเธอคงคิดว่าไม่มีคนอาศัยอยู่เลย พลันหัวใจดวงน้อยก็กระตุกวูบ
นี่ป้าไม่คิดจะเป็นห่วงเธอเลยเหรอที่กลับบ้านผิดเวลา แม้แต่เสียงโทรศัพท์สักสายก็ไม่ได้ยิน
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่เข้าไป” การันต์ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเปรมยุดามาครู่หนึ่ง มือที่จับอยู่ขอบรั้วบ้านไม่มีทีท่าว่าจะผลักมันเข้าไป
“เปล่าค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง อาจะเข้ามาดื่มน้ำก่อนไหม”
“หึ! นึกว่าจะไม่ชวนเสียอีก พอดีเลยจะได้จัดการให้จบไปเลยทีเดียว”
“จะ...จัดการอะไรเหรอคะ?”
“เข้าไปข้างในเดี๋ยวก็รู้เอง”
“....!!”
การันต์ดีดตัวจากเก้าอี้ตัวยาวเร่งรุดไปหยุดตรงหน้าคุณหมออย่างรวดเร็ว “ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” ความตื่นเต้นระคนกังวลทำเสียงที่เอ่ยถามนายแพทย์ออกมาสั่นไหว “ยินดีกับคุณพ่อด้วย คุณแม่และ ‘ลูกชาย’ ปลอดภัยและแข็งแรงทั้งคู่ครับ อีกเดี๋ยวเราจะย้ายพวกเขาไปห้องพักฟื้น ถ้ามีอะไรต้องการเพิ่มก็แจ้งพยาบาลได้เลยครับ” นายแพทย์กล่าวเสียงละมุน เห็นสีหน้าของสามีคนไข้แล้วคงกระวนกระวายใจไม่น้อย “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” การันต์ไม่อาจกลั้นความปรีติยินดีเอาไว้ได้ น้ำตาแห่งความดีใจหล่นออกมาอย่างไม่นึกอายพอได้ยินกับหูตัวเองแล้วว่าคนที่ตนเองรักสุดชีวิตทั้งสองปลอดภัย “กูบอกแล้ว สองคนนั้นเก่งจะตาย” ดลธีตบไหล่ปลอบเพื่อน “ต้องอยากเจอหน้าหลานจังเลยค่ะ งั้นขอไปรอหน้าห้องเด็กนะคะ” “ไปด้วย ผมกับต้องไปทางนู้นนะครับ” ขุนพลหันมาบอกคุณอาทั้งสองก่อนจะวิ่งตามต้องใจไป ดลธีมองกระทั่งภาพหลังหนุ่มสาวทั้งสองลับสายตาจึงหันกลับมาหาเพื่อนรักที่เช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็ว “ยินดีด้วย ต่อไปก็เป็นพ่อเต็มตัวแล้วนะ ดีที่ไม่ต้องไว้หนวดตั้งแต่ตอนนี้” คุณพ่อป้ายแดงหันมาทางเพื่อนยืนอยู่ข้างกัน ดวงตาแดง ๆ ของเขาจ้
เดือนต่อมา...รถเมอร์เซเดสสีขาวของการันต์มุ่งหน้าไปยังหมูบ้านกลางน้ำอีกครั้ง ความตั้งใจของเขาในวันนี้ก็เพื่อจะพาคนรักนั่งข้างกันมีสีหน้าราบเรียบทว่าดวงตากลมโตมีแววสั่นไหวอย่างคนเป็นกังวล “อาจะพาหนูไปวัดแล้วกลับเลย ไม่ต้องกลัว” อุ้งมือใหญ่วางทาบมือเล็ก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลของเธอ ถึงจะผ่านไปแล้วหลายปี หากแต่ว่าความทรงจำของเปรมยุดาก็อยู่ที่นี่ไม่น้อย “ขอบคุณนะคะ” ยิ้มอ่อน ๆ พลางหันมาทางคุณอา สายตาอบอุ่นของเขาทำให้ใจว้าวุ่นตลอดทางผ่อนคลายลงไปมาก คราแรกที่รู้ว่าเขาจะพากลับมาไหว้พ่อกับแม่น้ำตาเธอนองเต็มหน้า คิดถึงพวกท่านจับหัวใจ ต่อให้ไม่ได้พบหน้ากันอีกแค่ได้ไหว้กระดูกคนเป็นลูกอย่างเธอก็ซาบซึ้งใจ“ไม่ต้องขอบคุณ อาตั้งใจจะมาพบพ่อกับแม่หนูอยู่แล้ว”เปรมยุดายิ้มกว้าง คนรักทำราวกับจะได้พบหน้ากัน...คงไม่ต่างจากเธอ!ทั้งสองใช้เวลาชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงที่หมาย ฝ่ายลูกสาวของผู้ลาลับหอบช่อดอกไม้สีสันสดใสกับผ้าหนึ่งผืนเดินนำเจ้าของเรือนกายภูมิฐานไปยังเจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ “หนูกลับมาหาพ่อกับแม่แล้วนะคะ” วางช่อดอกไม้ตรงฐานกว้าง เช็ดฝุ่นออกจากกรอบรูปที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใค
กว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ใช้เวลาไปหลายนาที ดีที่ไม่มีใครแซวหรือพูดอะไร จึงทำให้พวกเรากลับมาสนุกกันต่อ เวลา 00.41 น.“รอกันตรงนี้เรียกรถให้แล้ว” ดลธีบอกขุนพลและต้องใจหลังจากงานเลี้ยงจบลง เขาดูแลทั้งสองเปรียบเสมือนน้องนั่นก็เพราะเปรมยุดาได้กำชับไว้ก่อนที่เธอจะแยกไปกับเพื่อนเขาดีจริง ๆ เลยทั้งหลานทั้งเพื่อน!“ขอบคุณนะครับ” ขุนพลไหว้ผู้ใหญ่ใจดี มื้อนี้เจ้ามือหมดไปไม่น้อย “ไม่เป็นไร ต่อไปถ้ามีงานทำก็กลับมาเลี้ยงฉันบ้างก็แล้วกัน” ดลธีหันไปตอบเพื่อนหลานด้วยใบหน้าทะเล้น“ต้องคิดเป็นบุญคุณด้วยเหรอคะ?” คนที่แม้แต่จะทรงตัวก็ลำบากยังอุตส่าห์หันมาถามเสียงอ่อน “ต้อง! เงียบบ้างก็ได้” ขุนพลห้ามเพื่อนพลางประคองไหล่เล็กให้ยืนได้ตรงเสียก่อนจะปากดี ไม่ดูตัวเองบ้างเลย! ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว“แค่บอกว่าให้เลี้ยงคืน? เป็นบุญคุณเหรอ ถ้าบอกให้เอาเงินมาคืนก็ว่าไปอย่าง หรือเธอจะคืนฉันล่ะยัยขี้เมา” “ก็เอาบัญชีมาสิ เดี๋ยวโอนให้ตอนนี้เลย ชิ!” “มือถือ?”“เอาไป”“ต้อง!”“นายเงียบเลยขุน” จะว่าเหมือนเด็กก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ทว่าคนทั้งสองต่างไม่มีใครยอมกัน คนกลางอย่างขุนพลจึงได้แต่ยิ้มแห้งให้คุณอาขอ
ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาของเปรมยุดาและเพื่อน ๆ ต่างก็ดีอกดีใจเมื่อเดินทางมาถึงจุดสำเร็จสาขาบัญชีรวมตัวถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก เปรมยุดา ต้องใจและขุนพลฉีกยิ้มให้กับกล้อง เสียงกดชัตเตอร์รัวติดต่อกัน พร้อมกับช่างภาพยกนิ้วขึ้นโอเค ทุกคนก็ร้องเฮ คละเคล้าเสียงโห่ร้องตะโกนด้วยความดีใจต่างโอบกอดลากันด้วยน้ำตานองหน้า สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาความผูกพันแน่นแฟ้นจนอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องแยกจากเพื่อไปเติบโตใช้ชีวิตวัยทำงานไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันลืมมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เลย“เร็วนะว่าไหม? ไม่อยากจากพวกแกไปเลย”ต้องใจนั่งจับมือเปรมยุดา และมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งห่างออกไป เธอเห็นสายตาอาวรณ์ที่ขุนพลใช้มองเปรมยุดา ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือกระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ก็คงทำได้แค่นั้นเพราะตอนนี้เพื่อนรักของเธอมีเจ้าของแล้ว และไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นคุณอาสุดหล่อที่กำลังถือช่อดอกไม่ช่อใหญ่เดินเคียงคู่มากับอิตาคุณอาขี้เก๊กนั่นเอง“เรายังเจอกันได้ แค่เรียนจบไม่ได้จากไปไหนไกลนี่น่า จริงไหมขุน” “ใช่ทำอย่างกับจะจากกันไปไหนไกลเว่อร์จริง ๆ เลยเธอเนี่ย”“โดนรุมอีกละ!”“เรียนจบแทนที่จะดีใจกลับทำหน้าบูด
กายโชกไปด้วยเหงื่อทรุดลงทาบทับร่างเปลือยเปล่าหอบหายใจโยนป้อก⁓“อะ” เปรมยุดารู้สึกกึ่งกลางกายวูบโหวงเมื่อคุณอาถอดถอนตัวตนลำใหญ่ออกไปจากตัวเธอ การันต์หายใจหอบใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ ดึงผ้าห่มคลุมกายเปลือยเปล่าทั้งสองจนถึงอก “มีคำหนึ่งใช่ไหมที่อายังไม่ได้บอกหนู” เกลี่ยปอยผมปกใบหน้ารูปไข่เล่น “อะไรเหรอคะ” ตะแคงตัวโอบกอดกายใหญ่ ซุกหน้าเข้าซอกคอแกร่ง ทำให้คุณอาหัวเราะในลำคอพลอยให้เธอยิ้มตามไปด้วย“อารักหนูเปรม รักมาก รักเกินกว่าใคร ๆ ฉะนั้น...อย่าพูดว่าจะให้อามีคนอื่นหรือคิดว่าอาจะไปมีใคร เพราะแค่มีหนูเปรมคนเดียวก็พอแล้ว” “อาบอกว่ารักหนูเหรอคะ” แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคาย วางฝ่ามือบนใบหน้าเริ่มมีตอหนวดขึ้นบาง ๆ มิน่าเมื่อครู่ถึงได้รู้สึกระคาย “อารักหนูเปรม” ทาบฝ่ามือใหญ่บนหลังมือเล็ก ย้ำให้คนจ้องหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสดใสสุขล้นฉายชัด เขาชอบเปรมยุดาเป็นแบบนี้มากกว่า ต้องโทษที่ตนไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกจนทำให้เธอเข้าใจผิด“หนูก็รักอา รักมาก ๆ รักที่สุด รักกว่าใครในโลกเลย” ปีนขึ้นไปอยู่เหนือกายใหญ่ อกฟูบดเบียดหน้าอกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนใต้ร่าง สอดแขนไปใต้ไหล่กว้างก่อนจะซุกหน้าลงหาควา
“อื๊อ” ห้ามยังไงทันเมื่อปลายนิ้วก้านยาวไล้กลีบดอกไม้ผ่านเนื้อผ้า ซ้ำยังคลึงจนเธอสะท้านเฮือกสยิวเสียวซ่านต้องยกสะโพกขึ้นรับความดุดันทันที“หนูเปรมของอาแฉะเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ‘อยาก’ เหมือนกันใช่ไหมเด็กน้อย”ลมร้อนพ่นผ่านซอกคอหอม กดเรียวปากร้อนแนบชิดผิวละมุน ดอมดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย“อ๊าส์...” ครางกระเส่าเสียงหวิวเมื่อคุณอาสอดนิ้วเข้ามาในร่องคับแคบและมันตอบรับเขาอย่างดี ตอดรัดทักทายความแข็งแกร่งราวกับว่ารอคอยในสัมผัสเร่าร้อนนี้มานานเสียงครางผะผ่าวกระตุ้นข้อมือใหญ่สอดใส่ท่อนนิ้วเพิ่ม เขาเกร็งกระแทกเข้าใส่ดุดันจนเส้นเลือดรายล้อมข้อแขนขึ้นปูดบวม ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสมองเรือนร่างส่ายเร้า เขาถอนก้านนิ้วออกหลังจากทนความปรารถนากำลังเผาไหม้ตนเองไม่ไหว ต้องการให้ความอึดอัดเบื้องล่างเข้าไปแทนที่ท่อนนิ้วแกร่งของตัวเองชุดนักศึกษาถูกถอดออกด้วยชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเตียง ไม่นานกายเปลือยเปล่าสวยงามก็ปรากฏแก่สายตา ผิวเนียนละเอียดอมชมพูสวยกระแทกใจการันต์ “หนูเปรมของอาสวยเหลือเกิน” “อาอย่ามองนานนักได้ไหม”“มากกว่ามองก็ทำมาแล้ว”มุมปากหยักกระตุกให้กับเจ้าของมือที่ยกขึ้นปิดส่วนสวยงามเอาไว้ ทั้งขาเร