เมื่อเธอก้าวเข้าสู่บ้านที่คุ้นเคย เธอรู้สึกถึงความว่างเปล่าและความเงียบสงบที่ทำให้เธอรู้สึกท่วมท้น เธอวางกระเป๋าสะพายลงอย่างอ่อนล้า ก่อนจะเดินช้าๆ ไปที่ชานบ้านที่ทอดยาวออกไปยังสวนดอกไม้ที่เธอชอบ
ในสภาพที่หมดแรงจากการดูแลเพื่อนรักและรับมือกับความสูญเสีย เธอนั่งลงบนเก้าอี้ยาวด้วยท่าทางที่แสดงถึงความเหนื่อยล้าอย่างแท้จริง เธอเอนกายลงและหลับตา ปล่อยให้ความรู้สึกอ่อนเพลียและความเครียดทั้งหมดหายไป
ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านสวนทำให้เธอรู้สึกสบาย แต่ก็ไม่สามารถลบล้างความรู้สึกอ่อนล้าที่สั่งสมมานานได้ ภาคินที่กลับมาถึงบ้านเห็นลลนานอนหลับอยู่ที่ชานบ้าน จึงเดินเข้าไปใกล้เธออย่างเงียบๆ ด้วยความรู้สึกห่วงใย
เขาพบเธอนอนหลับลึกด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า
ภาคินหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ลลนาอย่างเบามือ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและนุ่มนวล ทำให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับที่เหน็ดเหนื่อย
“มีนา อ๊ะ คุณลุง กลับมาแล้วเหรอคะ?”
ลลนาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ยังเต็มไปด้วยความง่วง เธอพยายามลืมตาและมองไปที่ภาคิน
ภาคินยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน และเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเธออย่างเบามือ
“ไม่สบายรึเปล่า?”
ลลนาเกร็งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความอ่อนโยนจากสัมผัสของเขา แต่เธอก็ยิ้มตอบ
“ไม่ค่ะ แค่เหนื่อย
“หิวรึยัง?” ภาคินถามพลางมองลลนาอย่างเป็นห่วง
ลลนาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความเหนื่อยล้า
“ยังค่ะ แต่คุณลุงคะ อีกอาทิตย์ถ้าไม่มีอะไรแล้วหนูจะกลับอังกฤษแล้วค่ะ”
คำพูดของลลนาทำให้ภาคินรู้สึกใจหายวูบ เขาครุ่นคิดถึงคำพูดนั้นอย่างเงียบๆ ความรู้สึกที่เขาต้องเผชิญดูเหมือนจะหนักหน่วงกว่าที่คิด
"ยังจะกลับไปอีกเหรอ?"
ภาคินถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสงสัย เขามองลลนาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่อยากสูญเสียเธอไปอีกครั้ง
ลลนาไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ทันที เธอหลบสายตาของเขา ความรู้สึกสับสนและหวิวหวานปะทะกันในใจ "ค่ะ" เธอตอบเสียงเบา แทบจะกระซิบ
ภาคินขยับเข้าใกล้เธออีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจ
"ฉันไม่อยากเสียเธอไป ลลนา... เธอสำคัญกับฉันมากกว่าที่เธอคิด"
คำพูดของเขาทำให้หัวใจของลลนาเต้นเร็วขึ้น เธอรู้ว่าความรู้สึกนี้มันไม่ง่ายที่จะปล่อยผ่าน แต่ก็ยังคงต้องการเวลาที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง
กริ๊งงง กริ๊งงง...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความรู้สึกที่สับสน ลลนาสะดุ้งเล็กน้อยจากภวังค์ของตนเอง เธอมองไปที่หน้าจอเห็นชื่อ "ไมเคิล" ปรากฏขึ้น สายตาของเธอเต็มไปด้วยความลังเล ไม่แน่ใจว่าจะรับสายหรือไม่
ภาคินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สังเกตเห็นอาการของเธอ เขามองลลนาด้วยสายตาที่หนักแน่น แต่ก็แฝงความไม่พอใจเล็กน้อย
"จะรับสายไหม?" เขาถามด้วยเสียงต่ำ
ลลนาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
"ฮัลโหล ไมเคิล" เธอพูดด้วยเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ แม้ว่าในใจจะยังคงสั่นไหว
ลลนาคุยโทรศัพท์ไป แต่ใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนที่ไม่อาจห้ามได้ ภาพของภาคินที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อแปดปีก่อน เขาเป็นคนที่เคยผลักไสเธอออกไปโดยไม่ลังเล ตอนนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน เธอไม่เคยลืม
เสียงของไมเคิลในสายค่อยๆ เลือนลางไป เพราะความคิดของเธอกลับวนเวียนไปที่ภาคิน ความรู้สึกที่เคยถูกทิ้ง ความเจ็บปวดที่เธอพยายามเก็บซ่อนไว้ตลอดหลายปี กลับพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
ภาคินยืนอยู่ตรงนั้น มองเธอด้วยสายตาที่แฝงความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่อาจอ่านได้ ราวกับว่าเขาก็ถูกความรู้สึกเหล่านั้นกัดกินเช่นกัน ความทรงจำและความรู้สึกทั้งหมดถาโถมเข้ามาในใจของลลนา ทำให้เธอยิ่งสับสนมากขึ้นกว่าเดิม
“ค่ะ ที่รัก”
ลลนาตอบปลายสาย แต่ยังไม่ทันขาดคำ ภาคินที่มองเธอด้วยสายตาหลากอารมณ์ก็ย่างสามขุมเข้ามาหา มือใหญ่จับหน้าของเธอเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้มลงจูบเธออย่างเรียกร้อง
ลลนาตกตะลึงเมื่อถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่มือยังถือโทรศัพท์อยู่ เธอพยายามดิ้นรนเพื่อหนีจากอ้อมแขนของเขา แต่ภาคินยิ่งกดจูบอย่างเรียกร้องและเร่าร้อนจนทำให้เธอเริ่มหลงลืมตัว ความร้อนแรงและแรงปรารถนาที่ถูกส่งผ่านมาทำให้เธอรู้สึกสั่นคลอน โทรศัพท์ในมือค่อยๆ หลุดร่วงลงพื้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว ดวงตาเธอพร่ามัวและจมอยู่ในความรู้สึกที่เขาปลุกเร้าในหัวใจของเธออีกครั้ง
เสียงลมหายใจหนักขึ้นเมื่อทั้งสองเข้ามาใกล้กันมากขึ้น แสงสลัวจากหน้าต่างส่องผ่านเข้ามาในรถ ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นและเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาใช้ปลายนิ้วไล้เบาๆ ไปตามลำคอของเธอ ความร้อนจากผิวกายของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิดเธอหลับตาลง หายใจติดขัดเล็กน้อยเมื่อเขาโน้มเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับเธอเบาๆ ในตอนแรก ก่อนที่ความร้อนแรงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อร่างทั้งสองแนบชิดกันมากขึ้น ภาคินดึงลลนาเข้ามาใกล้ ขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถ เขาจับเธอไว้แน่น จูบเร่าร้อนที่ไม่ต้องการคำพูดใดๆ เสียงลมหายใจถี่ๆ ดังสอดคล้องกันในความเงียบของรถที่หยุดนิ่ง ลลนาตอบรับจูบของภาคินอย่างเผลอไผล เธอรู้สึกได้ถึงความกระหายและความต้องการในท่าทีของเขา ริมฝีปากของพวกเขาเคลื่อนไหวรุนแรงและเต็มไปด้วยความปรารถนา มือของภาคินลูบไล้ไปตามร่างกายของลลนา ขณะที่เขาเริ่มปลดชุดของเธอออกช้าๆ ลลนาหอบหายใจแรง ขณะที่ความรู้สึกเร่าร้อนจากจูบและสัมผัสของเขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ“คุณลุงคะ...” เธอพึมพำเบาๆ แต่เขาไม่ตอบ เพียงแต่จูบลึกลงไปอีก เสียงหายใจและสัมผัสร้อนแรงปกคลุมทั้งคันรถ ภาคินยังคงกดริมฝีปากจูบลลนา
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งสามคนก้าวออกมาและเข้าสู่ผับหรูที่ตั้งอยู่บนยอดตึกสูง ดีเจที่อยู่หลังโต๊ะเปิดแผ่นกำลังเล่นเพลงมันส์ที่เต็มไปด้วยจังหวะที่กระฉับกระเฉงและเบสที่หนักหน่วง ทำให้บรรยากาศของผับเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา ทุกคนในร้านกำลังเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนานขณะที่เพลงมันส์จากดีเจและแสงไฟที่หมุนเวียนไปทั่วร้านเพิ่มความรู้สึกเซ็กซี่และเต็มไปด้วยพลัง เฟอร์นิเจอร์หนังสีดำและทองคำถูกจัดวางอย่างมีสไตล์ เพิ่มความหรูหราให้กับสถานที่ ผนังของร้านประดับด้วยไฟสีทองที่สลัว ส่องสว่างไปที่โต๊ะและบาร์ ทำให้บรรยากาศดูลึกลับและน่าหลงใหลคีธเดินนำหน้าในชุดสูทสีเข้มที่ดูเนี๊ยบแต่เต็มไปด้วยสไตล์ เขาไม่ผูกเน็กไทและปล่อยให้เชิ้ตด้านในเปิดลงสามเม็ด ทำให้เห็นความเซ็กซี่และมั่นใจในรูปร่างของเขา ทำให้เขาดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์ในแบบที่ไม่พยายามแอนนาและลลนาเดินตามมาในเดรสสั้นสีดำที่โดดเด่นและเซ็กซี่ แอนนาในเดรสที่เน้นการตัดเย็บเรียบหรูและตกแต่งด้วยลายละเอียดที่เพิ่มความมีเสน่ห์ ขณะที่ลลนาในเดรสที่ท้าทายและทันสมัย ชุดของเธอเน้นรูปร่างได้อย่างดี ทำให้เธอดูเซ็กซี่และสง่างามอย่างเห็นได้ชัด เครื่องป
บรรยากาศในร้านอาหารหรูสไตล์โมเดิร์นที่ทั้งสามนั่งกันนั้นเต็มไปด้วยความทันสมัยและความเรียบหรู ร้านตกแต่งด้วยเส้นสายที่คมชัดและเน้นความเรียบง่าย แต่ยังคงความสง่างามไว้ได้อย่างดี โทนสีหลักของร้านคือสีขาว ดำ และเทาเข้ม ตัดด้วยแสงไฟนีออนสลัวที่ส่องจากเพดานและผนังกระจกขนาดใหญ่ที่เปิดรับวิวทิวทัศน์ของเมืองยามค่ำคืนโต๊ะที่พวกเขานั่งเป็นโต๊ะไม้เรียบๆ ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้สดสไตล์มินิมอล พร้อมกับเก้าอี้ที่ออกแบบมาให้ดูหรูหราแต่ยังคงความสบาย เมนูที่เสิร์ฟบนโต๊ะเป็นอาหารฟิวชั่นที่จัดเรียงอย่างประณีตในจานเซรามิกเรียบหรู เครื่องดื่มค็อกเทลหลากสีถูกเสิร์ฟมาในแก้วคริสตัลดีไซน์เก๋ ที่โต๊ะริมหน้าต่างบานใหญ่ในร้านอาหารหรูบนยอดตึกสูง สามเพื่อนรัก คีธ แอนนา และลลนา นั่งอยู่ด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง เสียงหัวเราะของพวกเขาดังขึ้นเป็นระยะ ขณะที่พวกเขาเล่าเรื่องราวเก่าๆ และแซวกันด้วยความสนิทสนม วิวด้านนอกเผยให้เห็นแสงไฟของเมืองที่ระยิบระยับใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน สะท้อนกับกระจกบานใหญ่ที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังลอยอยู่เหนือเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาพวกเขาพูดคุยถึงเรื่
เคนนั่งหลังพวงมาลัย บึ่งรถหรูของเขากลับบ้าน แต่คำถามของภาคินยังคงก้องอยู่ในหัว "นายกับแอนนา... ไปถึงไหนกันแล้ว?" แม้จะตอบไปแบบคร่าวๆ แต่เขายังคงคิดถึงเหตุการณ์ที่ทะเล ความทรงจำนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในใจเขา เขาหันกลับมานึกถึงค่ำคืนนั้น ภาพของแอนนาภายใต้แสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำ เสียงคลื่นที่กระทบฝั่ง กับแรงปรารถนาที่ทั้งสองต่างไม่อาจต้านทานได้ เคนขบกรามแน่นเล็กน้อย ขณะที่ความรู้สึกที่เขามีต่อแอนนาค่อยๆ ทวีความซับซ้อนมากขึ้น เขาหัวเราะในลำคอ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ภาพแอนนาท่ามกลางแสงจันทร์ริมทะเล แทบจะไม่สวมอะไรเลย ยังคงติดตรึงในหัวเขา คืนที่เร่าร้อนและไม่มีใครลืมได้ง่ายๆ เคนไม่ใช่คนที่จะติดใจใครง่ายๆ แต่กับแอนนา เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ท้าทายและยั่วยวนเกินจะต้านทาน……………………………………………………..ค่ำคืนนั้น........ แอนนาที่ดื่มจนได้ที่ รู้สึกถึงความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นทุกวินาที ค่ำคืนนี้เธอตัดสินใจไม่ยับยั้งความรู้สึกของตัวเอง สวมชุดชั้นในสีดำบางเบาที่แสนวาบหวิว รัดรูปเผยให้เห็นทุกสัดส่วนของร่างกายอย่างยั่วยวน เธอเดินช้าๆ ด้วยท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ตรงไปที่ห้องของเ
เคนเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจในห้องทำงานของภาคิน พอได้ฟังเรื่องทั้งหมด เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง“ห๊ะ? สารภาพรักแล้วจูบกันนิดหน่อย แล้วก็แค่กอดกันทั้งคืนเหรอ?” เคนพูดเสียงหลง ก่อนจะทำท่าจะบ้าตาย “ภาคิน ไอ้บ้านี่ อายุอานามเท่าไหร่แล้ววะ? มาเล่นบทหนุ่มน้อยอยู่ได้ บอกว่าให้จัดการให้อยู่หมัดไงวะ!”เขาส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ “เดี๋ยวเธอก็หนีไปอีกหรอก อย่ามาทำแบบนี้! ต้องทำอะไรให้ชัดเจนสิ ไม่งั้นจะกลายเป็นเรื่องไม่จบไม่สิ้น”เคนเดินไปมาเหมือนเป็นคนขาดสติ เขามองภาคินด้วยความคาดหวังและความผิดหวังในเวลาเดียวกัน “เอาให้เด็ดขาด! อย่ามาเล่นตัวแบบนี้ ถ้ารักจริงต้องทำให้เธอเห็นสิ!”ภาคินยิ้มให้กับความร้อนใจของเคน แต่เขาก็รู้ดีว่าเคนพูดถูก ในใจเขายังคงรู้สึกถึงความไม่มั่นคงและความหวั่นใจ แต่เขาต้องหาทางจัดการกับความรู้สึกนี้ให้ได้“ขอบใจที่เตือน” ภาคินพูดเบาๆ “แต่บางครั้งก็ต้องให้เวลาหัวใจตัวเองได้คิดบ้าง”เออ แล้ววันนั้นแกกับแอนนาไปพักที่ไหน ไม่ใช่ว่าแกทำอะไรเกินไปแล้วนะเว้ย พูดมา ภาคินคาดคั้น เคนละล่ำละลักจะปฏิเสธ แต่โดนเพื่อนรักไล่ต้อนจนในที่สุดก็เล่าถึงสถานการณ์ของเขากับแอนนาให้ภาคินฟัง ภาคินฟังแ
ภาคินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นหลังจากมื้อค่ำและการโต้เถียงกับลลนา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นชื่อ "เคน" ปรากฏอยู่บนหน้าจอ เขากดรับสายด้วยความรู้สึกหนักหน่วง"อย่าปล่อยโอกาสนี้เสียเปล่าไปนะเพื่อน" เคนพูดขึ้น เสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและแรงกระตุ้นภาคินถอนหายใจ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เขาพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเอง"ปล้ำเลยสิ" เคนพูดอีกครั้งอย่างเร่งรีบภาคินส่ายหัวเบา ๆ ในใจ เขาไม่อยากทำร้ายลลนา เขารู้ว่าเรื่องนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง"หรือจะยอมปล่อยไปล่ะ" เคนกล่าวต่อ"ไม่" ภาคินตอบกลับสั้น ๆ"อาทิตย์หน้าเขาก็จะหนีไปตลอดกาลเลยนะ คิดดูดี ๆ ถ้ารักก็ทำเลย" เคนบีบให้ภาคินคิดให้รอบคอบ ภาคินนิ่งเงียบในขณะที่เสียงของเคนสิ้นสุดลง เขารู้ว่าเคนพูดถูก แต่ความรู้สึกที่แสนสับสนและความกดดันทำให้เขายังไม่สามารถตัดสินใจได้ เขากดวางสายโทรศัพท์อย่างเงียบ ๆ ก่อนยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มเพื่อพยายามปลอบประโลมตัวเองในขณะที่ความคิดวิ่งวนในหัว………………………………………..ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ลลนาเดินไปเปิดประตูและพบกับชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านนอก ภาคินที่ดูไม่ค่อยเหมือนค