“คุณแฟน” เขาเรียกเธอด้วยเสียงทุ้มนุ่ม
“คะ?” หญิงสาวกลืนน้ำลายเอื้อกลงคอก่อนจะทำตาปริบๆใสๆ
“กับข้าววันนี้คือไข่ดาว1ฟอง?” คิ้วเข้มๆเลิกขึ้นสูงพร้อมถามเธอด้วยน้ำเสียงละมุนละไม
“ใช่ค่ะ ไข่ดาวคนละฟอง เป็นอาหารจานด่วนค่ะ คุณจะได้ไม่ต้องหิ้วท้องรอนาน” หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักพร้อมเหล่มองจานข้าวของตัวเองบ้าง
“ด่วนมากมั้ย” เขายังคงถามเธอด้วยเสียงทุ้มนุ่มลึก
“มากค่ะ ทำไมเหรอคะ” หญิงสาวถามเสียงไร้เดียงสา และนั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มตบะแตก เพราะเขาโวยวายลั่นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
“ด่วนจนไหม้เลยใช่มั้ย ไข่ดาวดำจนเกรียมแบบนี้ใครจะไปกินลง”
“เอ๊ะ คุณอย่ามาว่าฉันนะ ไข่ของฉันก็ไหม้เหมือนกัน ฉันยังไม่โวยวายเลย” ประภาพิณเงยหน้าขึ้นเถียงฉอดๆ เล่นเอาธัศไนยต้องผลักจานที่อยู่บนพื้นไปทางเธออย่างโมโห
“ไข่ของผมไหม้มากกว่าของคุณอีกนะยัยคูโบต้า”
“เอ้ะ ไข่ของคุณไหม้น้อยกว่าของฉันต่างหาก ฉันอุตส่าห์ยอมเสียสละเอาไข่ที่ไหม้น้อยๆให้คุณ ส่วนไข่ที่ไหม้มากๆฉันยอมกินเอง”
“คุณดูให้ชัดๆสิ ไข่ของผมดำมาก ถ้าเป็นคุณ คุณจะกินลงเหรอไง” เขาชี้นิ้วไปที่จานที่วางอยู่บนพื้น ข้าวสวยร้อนๆเม็ดสวยงาม มีไข่ดาวนิโกรวางแปะอยู่บนเม็ดข้าวสวย
“ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อคุณหิว คุณก็ฝืนๆกินไปเถอะ” เธอเชิดหน้าขึ้น พยายามยืดคอให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าจะให้เธอยอมแพ้อีตาหน้าโหดคนนี้ล่ะก็..ฝันไปเถอะ
“คุณก็กินให้ผมดูก่อนซี่”
“คุณจะให้ฉันกินไข่คุณเหรอ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง ในขณะที่โหนกแก้มของผู้ชายตรงหน้าชักจะเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ
“คุณจะหน้าแดงทำไม” เธอถามอย่างสงสัย เล่นเอาธัศไนยต้องเกาท้ายทอยตัวเองแกรกๆ
“คุณก็อย่าพูดคำว่า…ไข่ผม…บ่อยนักซี่ ผมเขินนะเนี่ย”
“หะ…” ประภาพิณอ้าปากค้าง แต่เมื่อนึกถึงคำพูดเขาชัดๆแล้ว เธอก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
“พูดแบบนี้ผมคิดลึกนะนั่น” เขายังไม่เลิกหน้าแดง มือก็เกาต้นคอไปมาอย่างเขินๆ
“อ๊ายยยย ทะลึ่ง ทะลึ่งที่สุด” หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างอับอาย ทำเอาธัศไนยต้องเบิกตากว้าง
“เฮ้ย เงียบๆสิคุณ เดี๋ยวไอ้เมก็ตื่นหรอก” เขาทำท่าจุ๊ปากเป็นการบอกให้เธอเงียบๆเสียง ทำให้ประภาพิณต้องเลิกกรี๊ดแล้วยกมือขึ้นมาอุดปากตัวเองไว้แน่น
….
เงียบฉี่
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสนิท ประภาพิณกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกใหญ่พร้อมภาวนาว่าขออย่าให้เด็กชายตื่นมาตอนนี้เลย
1นาทีผ่านไป
“แง้ๆๆๆๆ” เด็กชายเมธากรแผดเสียงร้องไห้จ้าดังมาจากในเปล เล่นเอาธัศไนยถึงกับหน้าซีด ชายหนุ่มหยิบจานข้าวทั้งสองใบขึ้นมาถือไว้ในมือก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“ผมจะไปทำกับข้าวใหม่ คุณดูแลไอ้เมไปนะ” พูดจบ หนุ่มหน้าโหดก็เดินเร็วๆเข้าครัวไปทันที ทิ้งให้หญิงสาวนั่งอ้าปากค้างอย่างงุนงง
“นี่ฉันต้องเป็นคนปลอบเด็กอีกแล้วเหรอเนี่ย” หญิงสาวคำรามลั่นพร้อมตวัดสายตาไปทางห้องครัวด้วยสายตาแค้นๆ
“หนีเอาตัวรอดคนเดียว จำไว้เลย” เธอบ่นอุบอิบก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เปลพร้อมอุ้มเด็กชายขึ้นมาปลอบ
ธัศไนยคว้าผ้ากันเปื้อนสีฟ้าสดใสขึ้นมาสวมไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปเปิดตู้เย็นเพื่อเลือกของที่ต้องการ
มือใหญ่หยิบหมูที่อยู่ในช่องรองน้ำแข็งออกมาวางไว้บนโต๊ะสะอาด ก่อนจะหันไปหยิบเห็ดหูหนู
“วันนี้คุณจะทำอะไรกินคะ” เสียงใสๆออกปากถาม ทำให้ชายหนุ่มต้องละมือออกจากตู้เย็นแล้วหันไปทางประตูห้องครัวจึงได้เห็นประภาพิณยืนอยู่ ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยที่กำลังฉีกยิ้มโชว์ฟันซี่น้อยๆที่เพิ่งโผล่พ้นเหงือกแดงๆออกมา
“แกงจืด” เขาตอบ พร้อมกับยืนหันหลังให้เธอ แล้วจัดการล้างรากผักชีจนสะอาด
“เขาทำกันยังไงเหรอ” หญิงสาวเดินแท่ดๆมายืนข้างๆเขา โดยมีเมธากรฉีกยิ้มกว้างมองอยู่ตาแป๋ว
“นี่คุณเป็นผู้หญิงหรือเปล่า” เขาหันมาถามเธอ
“เป็นสิ หญิงแท้ๆด้วย ไม่ใช่กะเทยแน่นอน ถึงขนหน้าแข้งจะดกก็ตาม” เธอพูดตรงๆอย่างมั่นใจ เล่นเอาธัศไนยต้องหลุบตาลงมองขาเรียวที่โผล่พ้นชายชุดนอนเนื้อหนาของเธอออกมา
“เออ ดกจริงๆด้วย” เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“เอ๊ะ ไม่ต้องเห็นด้วยก็ได้นะ” หญิงสาวขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจ
“อะไรของคุณ คุณเป็นคนบอกผมเองนะว่าคุณขนหน้าแข้งดก”
“แต่คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย” ใบหน้าเรียวๆงอหงิก ในขณะที่เมธากรหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไม่รู้ประสีประสา
“อะไรวะ คูโบต้าติงต๊อง”
“ถ้าคุณยังว่าฉันอีก ฉันจะไม่เลี้ยงหลานให้คุณ”
“งั้นคุณก็ต้องหาเงินมาใช้หนี้ผมสองล้านครึ่งเดี๋ยวนี้” เขางัดไม้ตายขึ้นมา ทำเอาประภาพิณต้องค้อนตาคว่ำ
“จะบอกฉันได้หรือยังว่าแกงจืดเขาทำกันยังไง” เธอเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น เมื่อเห็นว่าเธอเถียงเขาพ่ายแพ้ย่อยยับจนหน้าชาเห่อๆเพราะเสียฟอร์ม
“ทำกับข้าวไม่เป็นเหรอ” เขาถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง ส่วนมือก็เด็ดรากผักชี พริกไทย กระเทียมลงในครกทรงสูง
“เป็นนิดหน่อย” เธอตอบอ้อมแอ้ม
“ปกติเวลาทานอาหาร คุณจะออกไปกินข้างนอกเหรอไง”
“เปล่าค่ะ เมื่อก่อนแม่ฉันเป็นคนทำกับข้าวให้ ส่วนฉันมีหน้าที่กิน พอพ่อกับแม่ฉันเสีย ฉันก็เลยกินมาม่าบ้าง บางทีก็ไข่ต้ม ไข่ทอด”
“ห๊ะ!!” เขาหันขวับมามองหน้าเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คุณกินแต่ของแบบนั้นเนี่ยนะ ขาดสารอาหารแย่เลย”
“ทำไงได้ล่ะ ก็ฉันทำกับข้าวไม่ค่อยเป็นนี่นา ไม่ชอบทำด้วย” เธอทำสีหน้าจ๋อยๆ ทำเอาชายหนุ่มใจอ่อนยวบ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปที่ครกแล้วเริ่มลงมือโขลกส่วนผสมในครกเป็นจังหวะ
“เหนื่อยมั้ยคะ”เขาหันมามองหน้าเธอก่อนจะตอบเสียงเศร้าๆว่า“ไม่เหนื่อยหรอก ไอ้เอกมันติดยาน่ะ”“อะไรนะคะ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ “ทำไมพี่เอกเขาถึงได้…”“เขาสารภาพออกมาหมดแล้วว่าแวววรรณกลับมาขอคืนดีกับเขาแล้วก็ทิ้งเขาไปอีกครั้ง เขาเลยทั้งเสียใจทั้งผิดหวัง ตอนนั้นมีคนมาเสนอยาบ้าให้เขา เขาเลยลองกินดูเพราะคิดว่าคงไม่ติด แต่ที่ไหนได้…เขาดันติดงอมแงม แล้วเรื่องที่เขามาปล้ำคุณน่ะ เพราะแววจ้างเขาด้วยยาบ้ายี่สิบเม็ดน่ะ”“ตายจริง…ไม่น่าเลยนะ เพราะยาบ้าแท้ๆ” หญิงสาวทำเสียงสลด“ตอนนี้ตำรวจเขาก็ไปจับแววแล้ว เพราะแววเป็นคนบงการ แถมยังมียาบ้าไว้ในครอบครองอีกหลายเม็ด คนรักของแววคนล่าสุดก็ตีตัวออกห่างไปแล้วพอรู้ว่าแววโดนตำรวจจับน่ะ”“เฮ้อ” ประภาพิณถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ ในขณะที่มือใหญ่จับคางเธอให้แหงนหน้าขึ้น“ก่อนที่ผมจะกลับบ้าน ผมขอจูบทีหนึ่งได้มั้ย” เขาขออนุญาต ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไรออกมา ริมฝีปากร้อนๆก็แนบประกบเข้าที่เรียวปากอิ่มอย่างแผ่วเบาและเว้าวอน“แฟนรักคุณนะคะ” เธอบอกเมื่อเขาถอนจุมพิตออก ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืนแล้วรั้งต้นแขนเธอให้ลุกขึ้นด้วย“พอผมไปแล้ว อย่าลืมลงกลอนให้แน่นหนานะ แล้วพ
เธอคิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าสักวันพีระดาจะต้องรักภีรวัทน์ และก็เป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้จริงๆว่าพีระดาคิดจะล้อล่นกับความรู้สึกของตัวเอง แล้วเป็นไงล่ะ...ผลสุดท้ายก็ต้องมารักเขาเพราะความใกล้ชิด แต่เธอคิดว่าพีระดากับภีรวัทน์ก็ดูเหมาะสมกันดี ที่สำคัญ..ในวันแต่งงาน เธอดูออกว่าภีรวัทน์แคร์เพื่อนสาวของเธอมากขนาดไหน บางที...ภีรวัทน์อาจจะรู้สึกเดียวกันกับพีระดาในตอนนี้ก็ได้//ฮือๆๆ// พีระดาไม่ตอบ มีแต่เพียงเสียงสะอื้นไห้ที่ดังแว่วมาทางสายโทรศัพท์จนประภาพิณชักจะเริ่มรู้สึกหนักใจแทน“งั้นอีก1ปีแกก็ต้องเลิกกับเขาน่ะสิ แกควรจะบอกเขาไปตรงๆเลยนะว่าแกรู้สึกยังไงกับเขา อย่าปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉยๆไม่งั้นแกอาจจะต้องเสียใจ”//เขาไม่ยอมทำตามสัญญา// พีระดาพูดด้วยเสียงสะอึกๆ เสียงสูดจมูกดังฟืดฟาดชวนให้นึกเวทนา“ห๋า ไม่ทำตามสัญญา”//ใช่ ไม่ทำตามสัญญา เขาฉีกสัญญาทิ้ง บอกว่าจะให้ฉันอยู่กับเขาต่อไป//“งั้นแกก็ควรจะดีใจสิที่เขาอยากอยู่กับแก แกจะมาร้องไห้คร่ำครวญเพื่อ?”//เขาแค่หวงฉัน ไม่ใช่ว่ารักถึงได้หวงนะ แต่เป็นเพราะ...เขาเห็นฉันเป็นแค่ของชิ้นหนึ่ง ไม่อยากให้ฉันไปตกเป็นของคนอื่น ความสำคัญของฉันมีแค่นี้จริงๆ//“เ
โครม!บานประตูห้องนอนถูกถีบออกอย่างแรงก่อนที่คอเสื้อของอเนกจะโดนมือใครคนหนึ่งลากขึ้นมาจากร่างงามที่เขากำลังจะหาความสุขด้วยยังไม่ทันที่อเนกจะได้เห็นหน้าคนที่กล้ามาคว้าคอเสื้อเขา หมัดหนักๆก็ถูกต่อยเข้ามาที่ใบหน้าอย่างแรงจนร่างผอมบางเซแซ่ดๆไปปะทะกับผนังห้อง“คุณธัศ ช่วยแฟนด้วย” ประภาพิณพูดด้วยเสียงสั่นๆพลางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังจุกอยู่ที่ท้องน้อยตาคู่คมตวัดมามองประภาพิณชั่วแว่บหนึ่งก่อนจะยกเข่ากระแทกที่ท้องของอเนกอย่างเดือดดาล พร้อมกับศอกที่กระแทกเข้าที่ศีรษะอเนกอย่างจัง“เมื่อก่อนฉันเห็นนายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง แต่มาวันนี้…นายกลับมาปล้ำแฟนฉัน ฉันไม่ปล่อยให้นายรอดแน่ เอก”น้ำเสียงนี้อเนกจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร…ชายหนุ่มค่อยๆทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นในสภาพหมดหนทางต่อสู้ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหน้าหล่อเหลาของอาจารย์วิทยาศาตร์ที่กำลังมองเขาอย่างบูดบึ้ง“อะ ไอ้ธัศ”“เออ ฉันเอง ทำไมนายถึงทำแบบนี้วะ” ธัศไนยถามเสียงตะคอก ก่อนจะหันไปทางประภาพิณที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง“คุณแฟน โทรหาตำรวจ”“แต่ว่าเขาเป็นเพื่อนคุณ”“ผมบอกให้โทรก็โทรไปสิ” ชายหนุ่มเริ่มเสียงดัง เล่นเอาหญิงสาวต้อง
16.42น.“แฟนจ๋า เราจะมีลูกด้วยกันกี่คนดีครับ” ธัศไนยนั่งสวีตหวานอยู่กับประภาพิณในร้าน beautiful flower มือใหญ่จับกุมมือบางแล้วใช้หัวนิ้วโป้งคลึงหลังมือเธอเบาๆ ตาคมหวานเชื่อมมองหญิงสาวอย่างแสนรัก“สองคนดีมั้ยคะ”“จะดีเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างไม่เห็นด้วย“ทำไมจะไม่ดีล่ะค่ะ ผู้ชายหนึ่งคน ผู้หญิงหนึ่งคน”“แต่ผมว่ามีลูกสักโหลนึงเลยก็ดีนะครับ” เขารั้งร่างบางมาพิงอกกว้างพร้อมจูบขมับหญิงสาวเบาๆ“โห ตั้งโหลนึงเชียวเหรอคะ เยอะเกินไปหรือเปล่า แฟนไม่ไหวหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าหวือ พูดอู้อี้“แต่ผมทำไหวนะ” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้เธอต้องเงยหน้าออกจากอกหนาแล้วขว้างค้อนใส่เขาอย่างมีจริต“มีโหลนึง คุณคงจนกันพอดี”“ไม่จนหรอกน่า อย่างน้อยผมก็มีเงินเลี้ยงคุณและลูกให้มีความสุขได้ไปจนกว่าจะตาย ไม่มีทางปล่อยให้คุณลำบากแน่ๆ” เขาพูดเสียงหนักแน่น“เซี้ยว”“เซี้ยวที่ไหน ผมพูดตามความเป็นจริงนะ แต่ผมจอให้คุณสัญญากับผมสักข้อได้มั้ยครับคุณแฟน” เขาเอ่ยขอเสียงนุ่ม“ขออะไรคะ”“ถ้าแต่งงานกับผมแล้ว คุณห้ามมีสามีน้อยโดยเด็ดขาด”“อีตาบ้า ใครเขาจะมีสามีน้อยกัน” เธอหยิกหน้าอกเขาแรงๆจนชายหนุ่มร้องลั่น ก่อนที่หน้าคมจะตีหน
ทันทีที่อเนกกลับถึงบ้าน เขาก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นรถคันหรูมาจอดอยู่หน้าประตูบ้านของเขา ก่อนที่คนในรถจะเปิดประตูออกมา“แวว…” อเนกเรียกชื่อเธอเสียงแผ่ว มองหน้าสะสวยที่มีแว่นสีดำอันใหญ่ปกปิดอยู่อย่างเจ็บปวด“ใช่ค่ะ ขอบคุณที่ยังจำแววได้” แวววรรณเหยียดปากอย่างเยาะหยัน กวาดตามองอเนกอย่างสมเพซ“ผมไม่ได้ความจำเสื่อมนี่ครับ จะได้ลืมอะไรง่ายๆ ไม่เหมือนคุณหรอก พูดอะไรก็ลืม…”“ตายจริง นี่คุณหลอกด่าแววเหรอคะ” แวววรรณยกมือทาบอกอย่างมีจริต“แล้วแววเป็นอย่างที่ผมว่าหรือเปล่าล่ะครับ” ย้อนถามอย่างเจ็บแสบแต่แวววรรณไม่อยากถือสา เพราะ…ความแค้นที่เธอมีอยู่ตอนนี้มันสำคัญมากกว่าการต่อล้อต่อเถียงกับอดีตคู่นอนอย่างเขา“วันนี้แววมีเรื่องจะมาคุยกับคุณค่ะ”“นั่นสินะ ถ้าไม่มีธุระ คุณคงไม่มาหาผมหรอก”“คุณเลิกด่าแววสักทีได้มั้ยคะ” แวววรรณเริ่มขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจ“ผมไม่ได้ด่า ผมพูดความจริง”“ความจริงของคุณ แววไม่อยากฟัง”“ ถอยไป ผมจะเข้าบ้าน” อเนกผลักร่างอวบอิ่มที่เขาเคยหลงใหลในอดีตให้พ้นทางพร้อมกับไขกุญแจประตูบ้านแล้วเปิดออก“แต่แววมั่นใจว่าคุณจะต้องสนใจในสิ่งที่แววมาเสนอ” แวววรรณเดินตามเขาเข้าไปในบ้า
“ว้าย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะคุณธัศ”“ไม่เอา ผมคิดถึงคุณจะแย่ รู้มั้ย?”“ฉันจะกลับแล้วนะคะ มันมืดแล้ว คุณไม่เห็นเหรอไง”“คุณนอนที่นี่ก็ได้นี่นา” เขาทำเสียงออดอย่างเอาแต่ใจ“ไม่ได้แล้วค่ะ เพราะตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงเด็กเหมือนเคย จะให้มาอยู่ที่บ้านคุณได้ไง เห็นฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายเหรอคะ”ได้ฟังประโยคนี้เข้าไป ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกอย่างยอมจำนน“โอเคๆ ผมยอมก็ได้ แต่ว่าคุณต้อง…” เขาเริ่มมีเงื่อนไขเล่นเอาประภาพิณต้องถามกลับอย่างหวาดระแวง“แต่ว่าอะไรคะ” เธอช้อนตาขึ้นมองเขา“แต่ว่า…จูบผมก่อนสิ แล้วจะปล่อย”“ไม่เอาหรอก ตาบ้า” เธอเบือนหน้าไปอีกทางอย่างขัดเขิน“ก็ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนี่นา แค่จูบเองนะ นะครับ” เขาอ้อนเสียงอ่อน ตาคู่คมพราวระยับจนหญิงสาวใจอ่อนยวบ“ก็ได้ค่ะ” เธอพูดพร้อมโน้มต้นคอเขาให้ก้มลงต่ำมากขึ้นแล้วยกศีรษะขึ้นจุมพิตปากเขาเบาๆแล้วรีบถอยหน้าออกห่าง“ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ”“เดี๋ยวสิ เรียกตัวเองว่าแฟนก่อน” เขายังมีเงื่อนไขอีกข้อ ทำเอาหญิงสาวตีหน้าบูด“เอาน่า อย่าหน้างอสิครับ น่านะ เรียกตัวเองว่าแฟน ผมว่ามันฟังดูน่ารักดีออกนะ” เขาก้มหน้าลงพูดใกล้ๆเธอโดยไม่สนใจสักนิดว่าร่างบางที่เข