เสียงฝีเท้าอันน่าเกรงขามของมาร์คัสดังก้องภายในโกดังร้างพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ใบหน้าของมาร์คัสเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจที่เขาไม่อาจเก็บซ่อน
“แกสองคนไม่รู้เลยใช่ไหมว่ากำลังอยู่ในกับดักของฉัน” มาร์คัสเอ่ยขึ้น ขณะเดินออกมาจากเงามืด เขาโบกมือให้กลุ่มลูกน้องที่ติดอาวุธหนักเข้ามาล้อมวงไอเดนและพ่อของเคลอย่างไม่เปิดโอกาสให้หลบหนี
ไอเดนที่ยังคงบาดเจ็บจากการปะทะกับพ่อของเคลมองมาร์คัสด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและโกรธ “นี่นายกำลังทำอะไร มาร์คัส?”
มาร์คัสหัวเราะลั่น “ฉันกำลังทำในสิ่งที่ควรทำตั้งนานแล้ว ฉันจะกำจัดแก ไอ้เด็กกำพร้าจอมแสแสร้ง และแก อัศวินเฒ่าจอมอวดดี พวกแกไม่มีทางรอดไปจากที่นี่แน่!”
มาร์คัสยืนเด่นเป็นสง่า ราวกับนักแสดงหลักบนเวทีที่มีแสงสปอร์ตไลต์ส่องลงมา เขายกมือขึ้นเบา ๆ ราวกับเชิญชวนให้ทุกสายตาในโกดังนี้จับจ้องมาที่เขา ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า เสียงรองเท้าบูตกระทบพื้นซีเมนต์อย่างจงใจ ท่วงท่าของเขาราวกับราชาผู้กำลังกล่าวสุนทรพจน์ในวาระสำคัญ
“คืนนี้…” มาร์คัสเริ่มพูด เสียงของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “เป็นค่ำคืนที่ยอดเยี่ยม! พวกแกรู้หรือไม่ว่าฉันได้ทำอะไรลงไปบ้าง?”
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเยาะ ราวกับความคิดที่เพิ่งพูดออกมานั้นเป็นเรื่องตลกขบขันที่สุดในชีวิต “วิกเตอร์…ท่านพ่อที่ฉันรักสุดหัวใจ! ตอนนี้เขาไปอยู่ในที่ที่สงบสุขแล้ว ฉันช่วยส่งเขาไปด้วยมือของฉันเองเชียวนะ!”
เขาเว้นจังหวะให้คำพูดสะท้อนไปทั่วโกดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสะใจ ก่อนจะมองตรงไปยังไอเดนและพูดต่อ “และแน่นอน พวกคนสนิทของแกด้วย ไอ้พวกมดปลวกที่คอยล้อมรอบแก…โดยเฉพาะเคียแรน พี่ชายที่แสนดีของแก! ฉันจัดการพวกมันหมดแล้ว ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเหลือรอดมาขวางทางฉันได้อีก!”
ไอเดนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากคำพูดเมื่อครู่
“นาย…นายกำจัดพวกเขา?!” เสียงไอเดนสั่นเครือ ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
มาร์คัสยักไหล่ ราวกับสิ่งที่เขาทำเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย “ใช่ ฉันกำจัดพวกมันหมดแล้ว ไอ้พวกมดปลวกที่กล้าขัดขวางเส้นทางของฉัน ไม่ควรมีชีวิตรอด และแกรู้ไหม ฉันก็คิดว่า…ควรทำเรื่องนี้มาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ! รู้แบบนี้ไม่รอจนถึงตอนนี้แน่!”
เขาก้าวเข้ามาใกล้ไอเดน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสะใจ “และตอนนี้…ถึงตาแกแล้ว ไอเดน ฮ่า ๆ อย่าห่วงไป ฉันจะส่งแกไปสมทบกับไอ้พวกนั้นในนรกเร็ว ๆ นี้ แกไม่ต้องรอนานแน่นอน!”
มาร์คัสเดินวนไปรอบ ๆ เหล่าลูกน้องของเขามองมาด้วยความหวาดหวั่น เขายกมือขึ้นราวกับเป็นนักมายากลที่กำลังเริ่มทำการแสดง
“พวกแกรู้ไหม ฉันอยากบอกพวกมันสักคำก่อนที่ฉันจะส่งพวกมันลงนรก…” เขาหยุดและหันไปมองที่ว่างราวกับกำลังพูดกับวิญญาณที่มองไม่เห็น “เตรียมพรมแดงไว้ต้อนรับไอเดนให้ดีนะ! เพราะเขากำลังจะตามไปสมทบกับพวกแก!”
เสียงหัวเราะสะใจของมาร์คัสดังลั่น เสียงสะท้อนของมันราวกับเป็นเสียงหัวเราะของปีศาจในนรกที่ส่งมายังโลกมนุษย์เพื่อฉลองการทำลายล้าง “ตอนนี้ไม่มีใครหยุดฉันได้อีกต่อไปแล้ว! ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่เคียแรน และแน่นอน ไม่ใช่แก ไอ้เด็กกำพร้าจอมแสแสร้ง!”
เขาชี้นิ้วไปที่ไอเดน ราวกับกำลังตัดสินโทษครั้งสุดท้าย “แกคือมดปลวกตัวสุดท้ายในแผนการของฉัน และฉันจะบี้แกให้แหลกด้วยมือคู่นี้เอง!”
มาร์คัสหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ราวกับเสียงสะท้อนของมันจะไม่หยุดลงง่าย ๆ เขาหันกลับไปยังลูกน้องและสั่งการเสียงดัง
“จัดการซะ! ทำให้มันจบ!” เสียงคำสั่งของมาร์คัสดังก้อง “ฆ่ามันให้หมด!”
เสียงนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดกลางโกดังร้างที่มืดมิด เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังก้อง กลิ่นควันจากคบไฟอวลในอากาศ บรรยากาศภายในโกดังเต็มไปด้วยรังสีของการฆ่าฟันและเอาตัวรอด
เคร้ง!
ดาบแรกที่ฟาดลงมาสร้างเสียงโลหะกระทบกันดัง ไอเดนยกดาบขึ้นป้องกันโดยสัญชาตญาณ แขนของเขาสั่นสะท้านจากแรงกระแทก ความเจ็บปวดจากบาดแผลก่อนหน้านี้ย้ำเตือนให้รู้ว่าตัวเขาไม่มีเวลาพักหายใจ
กลิ่นเหล็กในอากาศเริ่มอบอวล เลือดหยดลงพื้นเป็นจุด ๆ พร้อมเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงโลหะเสียดสีกันดังไปทั่ว เสียงร้องตะโกนของผู้คนที่ต่อสู้กันดังระงม ปะปนไปกับเสียงของการฟาดฟัน
ไอเดนสะบัดดาบไปด้านข้างอย่างแรง ดาบของเขาฟันเฉียดใบหน้าของชายคนหนึ่งจนเกิดรอยเลือดซึม ขณะที่เขาหมุนตัวกลับเพื่อตั้งรับการโจมตีที่มาจากอีกทิศหนึ่ง เสียงหายใจหอบหนักผสมกับเสียงหัวใจเต้นดังตุบ ๆ ในหูเหมือนกลองรบ เขารู้ดีว่ายามนี้ไม่สามารถพลาดได้แม้แต่ครั้งเดียว
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอก!” ไอเดนคำราม ขณะฟาดดาบใส่ศัตรูตรงหน้า แรงปะทะทำให้ดาบของอีกฝ่ายกระเด็นหลุดจากมือ เขาไม่รอช้า หมุนตัวและกระแทกดาบลงบนดาบของอีกคน เสียงโลหะดังสะเทือนพื้นใต้ฝ่าเท้า
พ่อของเคลถูกวงล้อม ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยหยาดเหงื่อ เลือดและฝุ่นจากการต่อสู้ แต่ดวงตายังคงเปี่ยมด้วยความตั้งใจ แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้า มือที่จับดาบของเขายังคงมั่นคงเหมือนหินผา เขาปัดป้องการโจมตีจากศัตรูที่เข้ามาใกล้อย่างชำนาญ
ปัง!
เสียงดาบฟาดลงบนโล่ของศัตรูดังสนั่น สะเทือนจนมือของคู่ต่อสู้ชาดิก
“แกไม่มีวันชนะ! ฉันยังไม่หมดแรงง่าย ๆ หรอกโว้ย!” เขาตะโกน ทั้งที่ใจเริ่มรู้ว่าพลังของตนกำลังถดถอย
มาร์คัสยืนอยู่เหนือการต่อสู้ เหมือนผู้บัญชาการบนบัลลังก์แห่งความวุ่นวาย รอยยิ้มเยาะปรากฏบนใบหน้า เสียงหัวเราะลอดผ่านเสียงคำสั่ง
“พวกแกมันไร้ค่าจริง ๆ ไอเดน แกคงคิดว่าตัวเองจะเอาชนะฉันได้งั้นสิ? จะบอกอะไรให้นะ คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของแก!”
“จัดการมันซะ!” เขาชี้ไปที่ไอเดนพร้อมตะโกนสั่งลูกน้อง
ลูกน้องหลายคนพุ่งหาไอเดนพร้อมอาวุธในมือ เสียงโห่ร้องและเสียงคำรามดังขึ้นเหมือนสัตว์ป่าที่ล่าเหยื่อ
ไอเดนและพ่อของเคลต้องต่อสู้เคียงข้างกัน แม้ว่าความเข้าใจผิดระหว่างพวกเขาจะยังไม่ได้รับการคลี่คลาย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น การป้องกันจากทุกทิศทางทำให้เสียงดาบกระแทกดังต่อเนื่องกัน
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วแขนของไอเดนเมื่อรับการโจมตีจากศัตรูอีกคนหนึ่ง เขากัดฟันไว้ ขณะที่เสียงร้องเจ็บปวดจากลูกน้องเขาดังแว่วมาในอากาศ ความสิ้นหวังพยายามเกาะกินหัวใจ แต่เขาปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นสู้
“ฉันต้องรอด!”
พ่อของเคลที่ฟาดฟันศัตรูหลายคนเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าชัดเจน เขาถูกดาบฟันเข้าที่แขน แต่ยังคงฝืนตัวเองลุกขึ้นสู้ เสียงโลหะที่กระแทกกันดังสะท้อนไปทั่ว เขากัดฟันแน่นขณะที่สายตาจับจ้องไปยังมาร์คัสที่ยืนหัวเราะอยู่ไกล ๆ
“แกคือความชั่วร้ายที่ฉันต้องกำจัด!” พ่อของเคลตะโกนด้วยเสียงที่แหบพร่า
“ข้าแค่ใช้ประโยชน์จากความมืดในใจแก และมันสนุกกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก!” มาร์คัสเพียงหัวเราะและยักไหล่
การต่อสู้ในโกดังร้างยังคงดำเนินต่อไป ไอเดนเริ่มรู้สึกถึงขีดจำกัดของร่างกาย แต่เขายังคงกวัดแกว่งดาบ ขณะที่พ่อของเคลเองก็เริ่มหมดแรง และศัตรูของพวกเขาดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
ในขณะที่ความหวังเริ่มเลือนราง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากนอกโกดัง ใครบางคนกำลังมา และนั่นอาจเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่สำหรับพวกเขา...
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่