ในช่วงเวลาเดียวกันที่มาร์คัสเริ่มวางยาพิษวิกเตอร์ การเคลื่อนไหวในเงามืดก็เริ่มต้นขึ้น เขาปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสวนรัตติกาลและซินดิเคทผ่านสายลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มอัศวิน โดยเป้าหมายคือสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มาร์คัสนั่งอยู่ในห้องประชุมลับ ไฟในห้องถูกปรับให้มืดลงสร้างบรรยากาศที่กดดัน ลูกน้องของเขารายล้อมโต๊ะยาวสีเข้ม ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาร์คัสที่กำลังอธิบายแผนการ
“ฉันปล่อยข่าวลือออกไปแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะที่เลื่อนสายตาไปมองลูกน้องทีละคน “อัศวินแห่งสวนจะได้ยินว่าซินดิเคทกำลังเตรียมการโจมตีสวน ส่วนไอเดน...เจ้าหนูผู้ทะเยอทะยานนั่น มันจะถูกล่อให้ไปที่โกดังร้างนอกเมืองด้วยคำบอกเล่าลวงๆ เกี่ยวกับเบาะแสของสวน”
“แต่ถ้าท่านไอเดนเอาชนะสถานการณ์นี้ได้ล่ะครับ เขาอาจพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะ” หนึ่งในลูกน้องยกมืออย่างระมัดระวัง
มาร์คัสหัวเราะในลำคอ “ไม่มีใครรอดกลับมาได้ ไม่ว่าอัศวินหรือไอเดน ฉันมีคนเตรียมพร้อมที่จะกำจัดพวกมันทั้งหมด ฉันจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง แม้กระทั่งไอ้เด็กกำพร้าที่พ่อของฉันโปรดปรานนักหนา”
ในขณะที่มาร์คัสกำลังวางแผนทำลายล้าง ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดอย่างวิกเตอร์กำลังอ่อนแอลงจากพิษที่ลูกชายตัวเองวางใส่ในอาหาร เขานั่งอยู่ในห้องทำงานอันกว้างขวาง แสงจากโคมไฟระย้ากระทบใบหน้าที่ซีดเผือด
“พ่อ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร “ผมนำอาหารบำรุงมาให้ พ่อควรพักผ่อนให้มาก อาการป่วยจะได้ดีขึ้น”
วิกเตอร์พยักหน้าอย่างอ่อนแรง “มาร์คัส พ่อเห็นว่าลูกเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”
มาร์คัสยิ้ม รอยยิ้มที่ซ่อนอาวุธไว้ข้างหลัง “แน่นอนครับพ่อ ผมแค่อยากให้พ่อสบายใจ ไม่ต้องพะวงอะไรอีก”
บรรยากาศมืดมนและเต็มไปด้วยความกดดัน ความมืดปกคลุมทุกการกระทำ ขณะที่มาร์คัสเดินกลับห้องของตัวเอง เสียงฝีเท้าของเขาดังสะท้อนในโถงทางเดิน เงาสะท้อนบนกำแพงเหมือนเงาปีศาจที่กำลังหัวเราะเยาะโลกที่กำลังจะตกอยู่ในกำมือของเขา...
และค่ำคืนแห่งกงล้อของโชคชะตาก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ไอเดนนั่งอยู่ในรถที่ลัดเลาะไปตามเส้นทางมืดมิดของชานเมืองอาราเลีย รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงลมพัดแผ่วเบาที่ดูเหมือนจะกระซิบเตือนถึงภัยบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เขาขยับตัวอย่างกระวนกระวาย พลางมองออกไปยังความมืดเบื้องนอก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความสงสัย
“ถ้าที่นั่นไม่มีอะไรเลยล่ะ? หรืออาจมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึงรออยู่…” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางคิดคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัว ตั้งแต่ชื่อของราชินี สวนรัตติกาล และเจ้าชายที่เขาไม่รู้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไร ความฝันที่เขาเห็นยังคงค้างอยู่ในใจเหมือนปริศนาที่รอการคลี่คลาย
กลุ่มคนสนิทของเขาซึ่งติดตามมาด้วยต่างเฝ้าดูท่าทางของไอเดน แม้ไม่มีใครพูดอะไร แต่พวกเขารับรู้ถึงความสับสนในจิตใจของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“เจ้านายครับ พวกเราควรระวังตัวให้มาก หากนี่เป็นกับดัก...” หนึ่งในคนสนิทเอ่ยเตือน
ไอเดนพยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบอะไร ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความหวังริบหรี่ บางทีค่ำคืนนี้อาจมีคำตอบที่เขาตามหามานาน
โกดังร้างตั้งตระหง่านอยู่ในเงามืดของชานเมืองอาราเลีย สภาพของมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสนิมและความชื้น ไอเดนเดินเข้าไปช้า ๆ เสียงฝีเท้าของเขากระทบกับพื้นไม้ผุที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดในความเงียบ บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้งเหมือนกำลังบอกลางร้าย เขาหยุดอยู่ตรงกลางโกดัง มองไปรอบ ๆ ด้วยความระแวดระวัง แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างทอดเงายาวอย่างน่าขนลุก
“ไม่มีอะไรเลยเหรอ?” ไอเดนพึมพำขณะหยุดฟังเสียงรอบตัว แต่มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงเก่า เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“หรือว่าเราถูกหลอก...” เขาสูดหายใจเข้าลึก สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
ไอเดนยกมือขึ้นให้ทุกคนเงียบ แล้วเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว หัวใจของเขาเต้นแรงเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่ยังไม่ทันได้ขบคิดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและมั่นคงก็ดังขึ้นด้านหลัง
กลุ่มอัศวินในชุดเกราะโบราณปรากฏตัวขึ้นจากเงามืด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความระแวดระวัง พ่อของเคลเดินนำหน้าออกมา ท่าทางสง่างามแต่แฝงไปด้วยความดุดัน ดาบในมือของเขาเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ สายตาของเขาจับจ้องไปยังไอเดนและพรรคพวก
“พวกแกคือใคร! มาที่นี่ทำไม!” พ่อของเคลคำราม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความเคลือบแคลง
“ผมชื่อไอเดน ผมมาเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับสวนและอดีตของผม” น้ำเสียงของไอเดนสั่นเล็กน้อย แต่พยายามแสดงความจริงใจ
“โกหก!” พ่อของเคลตะโกนพร้อมยกดาบชี้หน้า “แกและพวกนั้นเป็นคนของซินดิเคท ที่มาก็เพราะจะวางแผนทำลายสวนสิไม่ว่า!”
ไอเดนตกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวหาเช่นนั้น แต่ยังพยายามอธิบาย “คุณเข้าใจผิด! ผมไม่ได้มาเพื่อทำลายอะไร ผมแค่ต้องการคำตอบเกี่ยวกับอดีตของตัวเองเท่านั้น!”
คำพูดนั้นกระตุ้นบางสิ่งในใจของพ่อของเคล อดีต? อดีตอะไร? อดีตที่เขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองล้มเหลวในการปกป้องครอบครัวของราชินี? หรืออดีตที่ว่าเจ้าชายที่เขาตามหามาทั้งชีวิตอาจไม่มีตัวตนเหลืออยู่อีกแล้ว?
“ราชินีสิ้นไปแล้ว เจ้าชายหายตัวไป…” พ่อของเคลพูดเสียงเบา ราวกับพูดกับตัวเอง “และฉัน…ฉันก็เหลือแค่ความอับอาย”
พ่อของเคลซึ่งตาบอดไปด้วยความรู้สึกผิดและความโกรธ ไม่ฟังเหตุผล เขาชักดาบออกมา น้ำหนักของมันเหมือนหนักกว่าที่เคย ดาบที่เคยใช้ปกป้องราชินีและเจ้าชาย ตอนนี้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลว ไอเดนมองเห็นความเศร้าในดวงตาของชายตรงหน้า ดวงตาที่สะท้อนทั้งความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดอย่างยิ่งยวด เขาตวัดดาบใส่ไอเดนอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนของไอเดนต่างแตกฮือด้วยความตกใจ
เสียงดาบปะทะกันดังก้องไปทั่วโกดัง ไอเดนพยายามหลบหลีกการโจมตีอย่างสุดกำลัง แต่พ่อของเคลกลับเร่งเร้าด้วยความโกรธแค้น เขาเหวี่ยงดาบครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความคับแค้นที่สั่งสมมานาน
“ฉันไม่เชื่อแก! พวกซินดิเคทเป็นคนที่ทำลายสวน! แกเป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน!” พ่อของเคลคำรามอย่างดุดัน
ไอเดนยกมือขึ้นเพื่อป้องกันดาบครั้งแล้วครั้งเล่า เขาหอบหายใจหนัก ขณะที่พยายามอธิบายด้วยความสิ้นหวัง “ได้โปรด! ฟังผมก่อน! ผมไม่ได้มาทำลายสวน!”
“แกรู้หรือเปล่า…ว่าทุกคืนฉันเห็นอะไรในฝัน?!” พ่อของเคลตะโกน “ฉันเห็นดวงตาของราชินี ฉันเห็นเลือด เห็นเด็กชายที่หายตัวไป…ฉันเห็นความล้มเหลวของตัวเอง!”
ไอเดนหลบการโจมตีด้วยความรวดเร็ว หัวใจของเขาสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของชายคนนี้ถึงส่งผลต่อเขามากขนาดนี้
“คุณ…” ไอเดนพยายามพูด “คุณกำลังสู้กับตัวเองมากกว่าที่จะสู้กับผม…”
พ่อของเคลหยุดชั่วครู่ ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะมองไอเดนใกล้ขึ้น เด็กคนนี้มีบางอย่างที่ดูคุ้นเคย แววตาอ่อนโยนอันคุ้นเคย กลิ่นอายเวทมนตร์แบบเดียวกับที่โรซาลีมี หัวใจของเขาเต้นรัว
“ริน?” เขากระซิบเสียงสั่นเครือ “นายคือรินหรือ?”
“ริน? คุณหมายถึงใคร?” ไอเดนมองกลับด้วยความสับสน
ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อ กลุ่มผู้โจมตีที่ซุ่มอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้นรอบโกดัง มาร์คัสและลูกน้องของเขาก้าวออกมาจากเงามืด พร้อมอาวุธในมือ รอยยิ้มชั่วร้ายของมาร์คัสบ่งบอกถึงความสะใจ
“เป็นฉากที่งดงามจริง ๆ หมากสองตัวที่ฉันต้องการกำจัดมาอยู่ในที่เดียวกัน” มาร์คัสกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ตอนนี้ก็ถึงเวลาจบเกมเสียที”
ในช่วงเวลาเดียวกันที่มาร์คัสเริ่มวางยาพิษวิกเตอร์ การเคลื่อนไหวในเงามืดก็เริ่มต้นขึ้น เขาปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสวนรัตติกาลและซินดิเคทผ่านสายลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มอัศวิน โดยเป้าหมายคือสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มาร์คัสนั่งอยู่ในห้องประชุมลับ ไฟในห้องถูกปรับให้มืดลงสร้างบรรยากาศที่กดดัน ลูกน้องของเขารายล้อมโต๊ะยาวสีเข้ม ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาร์คัสที่กำลังอธิบายแผนการ“ฉันปล่อยข่าวลือออกไปแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะที่เลื่อนสายตาไปมองลูกน้องทีละคน “อัศวินแห่งสวนจะได้ยินว่าซินดิเคทกำลังเตรียมการโจมตีสวน ส่วนไอเดน...เจ้าหนูผู้ทะเยอทะยานนั่น มันจะถูกล่อให้ไปที่โกดังร้างนอกเมืองด้วยคำบอกเล่าลวงๆ เกี่ยวกับเบาะแสของสวน”“แต่ถ้าท่านไอเดนเอาชนะสถานการณ์นี้ได้ล่ะครับ เขาอาจพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะ” หนึ่งในลูกน้องยกมืออย่างระมัดระวังมาร์คัสหัวเราะในลำคอ “ไม่มีใครรอดกลับมาได้ ไม่ว่าอัศวินหรือไอเดน ฉันมีคนเตรียมพร้อมที่
แสงไฟริบหรี่สะท้อนภาพเงาบิดเบี้ยวของมาร์คัสบนกำแพงห้อง เหมือนปีศาจที่คอยล่าเหยื่อ ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของวิกเตอร์ที่แทบจะสิ้นแรง มาร์คัสเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเยือกเย็นแต่เปล่งประกายด้วยความกระหายอำนาจเขาหยุดยืนข้างเตียง มองวิกเตอร์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มพูดเสียงแผ่ว “ท่าน...ท่านไม่เคยคิดเลยสินะ ว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ข้าคือคนที่อยู่เหนือกว่า วันที่ข้าคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”ดวงตาที่อ่อนแรงของวิกเตอร์พยายามลืมขึ้นมาสบตากับลูกชาย ความตกใจและความโกรธเกรี้ยวฉายชัด “มาร์คัส...หมายความว่าอย่างไร?”มาร์คัสหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นเยียบเย็นพอที่จะทำให้เลือดของใครก็ตามที่ได้ยินแข็งตัว เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของวิกเตอร์ “พ่ออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงอ่อนแอลงทุกวัน? มันไม่ใช่ชะตากรรม มันไม่ใช่โรคภัย...มันคือฝีมือผมเอง ผมแค่วางยาพิษในอาหารทุกมื้อของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อดื่มเข้าไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเฟ้นอย่างดีให้มันกัดกร่อนร่างกายพ
มาร์คัสนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถงมืดสลัว ความเงียบงันในห้องตัดกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ลอยมา ดวงตาของมาร์คัสเปล่งประกายด้วยความอาฆาต ขณะจ้องมองไปยังไอเดนและเคียแรน รอยยิ้มที่เปื้อนหน้าไอเดนเป็นเหมือนเปลวไฟที่โหมกระพือความโกรธในใจให้ลุกโชน“แกมันชอบทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชายในนิทาน... แกก็แค่หมากตัวหนึ่งในกระดานของพ่อ ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงหลงแก แต่ฉันจะทำให้มันจบลงเอง” มาร์คัสคิดขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบเสียงคำพูดของไอเดนเกี่ยวกับ “สวน” และ “อัศวิน” ลอยเข้ามาในหู แม้มาร์คัสจะไม่ได้ยินชัดเจนทุกคำ แต่ความหมายก็กระตุ้นความสนใจขึ้นทันที ราวกับว่าคำเหล่านั้นเป็นกุญแจไขปริศนาที่เขาเฝ้าตามหา“สวน...อัศวิน...” มาร์คัสพึมพำกับตัวเอง เสียงของเขาเบาราวกับกระซิบ ขณะครุ่นคิดถึงตำนานและพลังลึกลับที่ถูกกล่าวขานเกี่ยวกับสวนรัตติกาลเขาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วฉีกยิ้มเย็นเยียบ รอยยิ้มนั้นเย็นชาจนสามารถทำให้อากาศในห้องเย็นลง “ฉันจะใช้มันทำลา
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงจันทร์ลอดผ่านม่านโปร่งผืนบางที่หน้าต่างห้องของไอเดน แสงสีนวลนั้นทาบเงาจาง ๆ บนผนัง ความเงียบดูเหมือนจะกดทับทุกสิ่ง ราวกับเวลาในโลกภายนอกหยุดนิ่ง บรรยากาศชวนให้อึดอัดและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เสียงลมพัดเบา ๆ กลายเป็นดนตรีพื้นหลัง ขณะที่ไอเดนนอนอยู่บนเตียง เขาหลับตา แต่จิตใจกลับวิ่งพล่าน ภาพจากบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ยังคงดังก้องในหัว“ราชินี...เจ้าชาย...สวนรัตติกาล...”เสียงเหล่านี้เหมือนกระแสคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระลอก ๆ กระตุ้นบางสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในใจในฝัน ไอเดนพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสวนที่งดงามเกินจริง ทุกอย่างดูเรืองรองภายใต้แสงจันทร์ ดอกไม้หลากสีเปล่งแสงนุ่มนวล ราวกับมีชีวิต อากาศอวลด้วยกลิ่นหอมละมุนของมวลบุปผา แต่มันกลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนฤดูใบไม้ร่วงที่เงียบเหงาเขาก้าวเท้าเดินไปอย่างลังเล เสียงกระซิบจากดอกไม้รอบตัวดังก้องเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ไม่จบสิ้น หญิงสาวในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง
ในคืนที่เงียบสงัด กลางฤดูใบไม้ร่วงอันเยือกเย็น แสงจันทร์สีเงินส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่เรียงรายอยู่ตามทางเดินของคฤหาสน์ซินดิเคท สะท้อนแสงเป็นเงารูปทรงแปลกตาบนพื้นหินอ่อน ความเงียบไม่ได้ให้ความรู้สึกสงบ แต่กลับแฝงไปด้วยความอึดอัดกลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นเทียนที่กำลังมอดไหม้ในโคมระย้าด้านบนกระจายตัวในอากาศ เสียงหวีดหวิวของลมหนาวพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ เพิ่มความเย็นเยียบที่สัมผัสผิวไอเดนอย่างแผ่วเบา ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ ไอเดนเดินเท้าเปล่าอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าของเขาแทบไม่ดังไปกว่าเสียงเข็มนาฬิกาในความเงียบก่อนจะออกมาเดินในเวลานี้ ไอเดนไม่สามารถหลับลงได้ แม้จะอยู่ในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบแต่ความคิดในหัวของเขายังคงตีกันวุ่นวาย ความทรงจำราง ๆ ที่แฝงความเจ็บปวดทำให้เขาต้องหาที่หลบหนี ความมืดรอบตัวไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัย และจะมีสิ่งหนึ่งที่เขามักทำยามค่ำคืนที่เขาไม่อาจข่มตานอนได้คือ การวาดรูปโต๊ะในห้องของไอเดนเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษขาวสะอาด บางแผ่นมีลายเส้นสีสดใสของดอกไม้ที่แบ่
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว