เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังมาจากนอกโกดัง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นชะงักไปชั่วครู่ แต่แทนที่จะเป็นความช่วยเหลือ กลับเป็นสัญญาณของบางสิ่งที่เลวร้ายกว่าเดิม มาร์คัสยืนอยู่บนที่สูง มือขวายกขึ้นส่งสัญญาณ ลูกน้องของเขาที่เหลือถอยฉากอย่างรวดเร็ว ไอเดนมองความเคลื่อนไหวนั้นอย่างสับสน
‘จะทำอะไรอีก?’ เขาคิดด้วยความระแวดระวัง
ความเงียบที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากนั้น กลิ่นไหม้ของดินระเบิดลอยมาในอากาศ สัญชาตญาณเตือนภัยดังขึ้นในใจของไอเดน
“ระเบิด! ทุกคนถอยออกไปเดี๋ยวนี้!” ไอเดนตะโกนสุดเสียง เสียงสะท้อนนั้นดังไปทั่วโกดัง
พ่อของเคลเงยหน้าขึ้น เสียงของดินระเบิดที่ถูกจุดทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
“พวกมันกำลังวางระเบิด! หนีไป ริน! ท่านไม่มีเวลามากนัก!” เขาตะโกนออกมาพร้อมผลักไอเดนไปทางประตูที่ยังเปิดอยู่เล็กน้อย แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ขยับ ร่างของพ่อเคลก็พุ่งเข้ามาปกป้องไอเดน ขณะที่แรงระเบิดระเบิดขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่น
แรงระเบิดกระแทกเข้ามาเหมือนคลื่นมหาสมุทรที่ซัดเข้าหาฝั่ง เสียงดังกึกก้องดังไปทั่วบริเวณ ผนังโกดังบางส่วนพังถล่มลงมา เปลวไฟและฝุ่นควันแผ่กระจาย เหมือนเงื้อมมือมัจจุราชที่เข้ามากลืนกินทุกสิ่ง
ไอเดนถูกผลักกระเด็นไปด้านข้าง ซากไม้จากเพดานตกลงมาใส่หัว ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่าง เลือดไหลซึมจากหน้าผากลงมาตามแก้มก่อนหยดลงพื้น เขารู้สึกถึงความมึนงงและความอ่อนล้าที่เริ่มจู่โจม แต่ก่อนจะหมดสติ เสียงอ่อนแรงของพ่อของเคลดังขึ้น
“หนีไป ริน...ท่านยังมีโอกาส...พวกมันจะไม่หยุดจนกว่าท่านจะตาย...”
ไอเดนที่แม้จะบาดเจ็บสาหัส ลากร่างของตัวเองออกจากโกดัง เปลวไฟจากระเบิดยังคงแผดเผาอยู่เบื้องหลัง เสียงลมหายใจของเขาหนักและหอบเหมือนเครื่องยนต์ที่กำลังพังทลาย แต่เขารู้ว่าตอนนี้ต้องหนีเท่านั้น
ร่างกายของเขาเจ็บปวดราวกับถูกบดขยี้ เขาใช้มือแตะศีรษะที่ปวดร้าว ขณะที่ภาพความทรงจำแวบเข้ามาในหัวเป็นช่วง ๆ
เสียงกระซิบชื่อ “ริน” ดังขึ้นในหัว ภาพผู้หญิงในชุดคลุมสีขาวและเสียงหัวเราะที่อบอุ่นปะปนอยู่กับเสียงร้องไห้และเสียงดาบ เขาพยายามคว้าความทรงจำนั้นไว้ แต่กลับคว้าได้เพียงแค่อากาศ
“ฉันคือใคร…?” ไอเดนพึมพำ ร่างกายโงนเงนแต่ยังพยายามพยุงตัว สายลมเย็นที่พัดมาปะทะทำให้ได้กลิ่นคาวเลือดที่ยังลอยตลบ เขาหันไปมองรอบ ๆ เห็นเศษซากการต่อสู้ที่กระจัดกระจายไปทั่ว เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ หรือทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่
“ฉัน…ต้องไปจากที่นี่” เขาพึมพำเสียงแหบพร่า ความรู้สึกสับสนและความกลัวเริ่มแทรกซึม ก่อนเดินโซเซออกจากโกดังไปท่ามกลางความมืด เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องในตรอกเงียบราวกับโลกทั้งใบกำลังเฝ้ามองมา
ในส่วนอีกฝั่งของด้านนอกโกดังก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เคลนำกำลังมาสมทบพร้อมเสียงตะโกนของเหล่าอัศวินที่ดังแทรกเข้ามา เสียงดาบกระทบกัน เสียงโล่ปะทะดังไปทั่วบริเวณ
มาร์คัสที่บรรลุเป้าหมายแล้วกำลังเตรียมตัวหลบหนี แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เคลและกลุ่มอัศวินก็มาถึง การปะทะระหว่างกลุ่มของมาร์คัสและกลุ่มของเคลเริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด
เสียงดาบปะทะกันดังสนั่น เปลวไฟจากโกดังเป็นฉากหลังที่ส่องสว่างให้เห็นการต่อสู้ เคลตรงไปหามาร์คัสด้วยความโกรธ “แกมันปีศาจ มาร์คัส! ฉันจะไม่ปล่อยให้แกหนีไปได้!”
“ฉันรอแกมานาน เคล ถ้าคิดว่าฉันคือปีศาจ แกก็เตรียมตัวเจอฝันร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้เลย!” มาร์คัสที่ยังคงถือดาบในท่าพร้อมสู้หัวเราะอย่างเหยียดหยาม น้ำเสียงและสายตาแสดงออกอย่างเย้ยหยัน
เคลพุ่งเข้าหา มาร์คัสรับมืออย่างง่ายดาย ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด เสียงดาบกระทบกันสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ทุกจังหวะที่ดาบกระทบ เคลที่เต็มไปด้วยความโกรธพยายามจู่โจมไม่หยุด แต่สิ่งที่เขากังวลคือภาพของพ่อในโกดังที่ถูกระเบิดอาจกำลังต้องการความช่วยเหลือ
“มาร์คัส! ฉันจะกำจัดแก! ฉันจะไม่ปล่อยให้แกทำร้ายใครอีกต่อไป!” เคลตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด แต่ความคิดถึงพ่อก็เริ่มแทรกเข้ามาในหัวใจ
มาร์คัสชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาของอีกฝ่ายลุกโชนใน ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“จะกำจัดฉัน? หึ แกยังต้องพัฒนาอีกมาก เคล! ฉันไม่มีเวลาสำหรับการต่อสู้ไร้สาระเช่นนี้” เขาแสยะยิ้มแล้วทำสัญญาณให้ลูกน้องล่าถอย
เคลที่เห็นโอกาสนี้ ตัดสินใจปล่อยการต่อสู้ไว้ก่อน ความคิดถึงพ่ออยู่เหนือความโกรธ เขาหันหลังกลับไปยังโกดังที่กำลังลุกไหม้
“หนีไปเถอะมาร์คัส! แต่จำไว้ ฉันจะตามล่าแก! ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก ฉันจะกำจัดแกด้วยมือตัวเอง!” เสียงของเขาก้องกังวานในความมืด
“ฉันรออยู่ เคล อย่าทำให้ฉันผิดหวัง!” มาร์คัสเพียงหัวเราะเยาะ แล้วหลบหนีไปพร้อมกับกลุ่มลูกน้อง
เคลวิ่งกลับเข้าไปในโกดังที่เต็มไปด้วยเศษซากและกลิ่นไหม้ เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำในอก เสียงเปลวเพลิงที่ลุกโชนดังก้องรอบตัว
“พ่อ! พ่ออยู่ที่ไหน!” เสียงที่ตะโกนเรียกเจือไปด้วยความหวังและความกลัว
และแล้ว เขาก็พบร่างของพ่อที่ล้มอยู่กลางเศษไม้และซากระเบิด เคลรีบเข้าไปคุกเข่าข้างร่างนั้น
“พ่อ! ผมขอโทษ...ผมมาช้าเกินไป” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือขณะที่ประคองผู้เป็นพ่อไว้ในอ้อมแขน
ดวงตาของพ่อเปิดขึ้นอย่างอ่อนแรง “เคล...มาด้วยหรือ...พ่อ...” เขาพยายามพูด แต่ลมหายใจเริ่มแผ่วอ่อน “พ่อขอโทษ พ่อ...ไม่ได้ปกป้องสวน...และเจ้าชาย”
“ไม่ต้องพูดอีก พ่อ” เคลตอบพลางน้ำตาไหลพรั่งพรู “ผมจะทำหน้าที่ของพ่อแทน ผมสัญญา”
พ่อของเขาเผยยิ้มเล็กน้อย ก่อนดวงตาจะปิดลงอย่างช้า ๆ ลมหายใจสุดท้ายหลุดลอยไปในอากาศ เคลร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงสะอื้นของเขาสะท้อนในโกดังที่เงียบสงัด โลกของเขาพังทลายลงอีกครั้ง
เมื่อรุ่งสางมาถึง เคลยืนอยู่ที่สวนรัตติกาล ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของเขาแดงก่ำจากการร้องไห้ตลอดทั้งคืน เขามองไปยังหลุมศพของพ่อที่เพิ่งฝังร่างลงข้างหลุมศพราชินีโรซาลี ดอกไม้รอบ ๆ หลุมศพดูเหมือนจะโน้มลงราวกับไว้อาลัย
“ผมสัญญา พ่อ…” เคลพูดเสียงแผ่ว “ผมจะตามหาเจ้าชายให้พบ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ผมจะทำให้สวนนี้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และจะนำความยุติธรรมกลับมาให้ทุกคน”
เสียงกระซิบของสายลมแผ่วผ่าน ราวกับสวนกำลังตอบรับคำสัญญาของเขา ต้นไม้ดูเหมือนจะสั่นไหวเบา ๆ ดอกไม้บางชนิดที่เคยเหี่ยวเฉาเริ่มแบ่งบานอีกครั้ง ราวกับสะท้อนถึงความหวังที่ยังคงอยู่
ในขณะเดียวกัน ไอเดนยังคงเดินทางต่อไปในเมืองอาราเลีย ร่างกายของเขาอ่อนล้า สองขาเดินผ่านตรอกซอกซอยที่มืดมิดและเงียบสงัด ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความหวังใด เสียงในหัวของเขาดังก้องด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบ
“ฉันคือใคร…? กำลังหนีอะไร…?” ความทรงจำที่หลุดลอยทิ้งเขาไว้กับความว่างเปล่าในหัวใจ แต่ลึก ๆ เขายังรู้สึกถึงแสงสว่างบางอย่างที่รอคอยเขาอยู่ แม้ว่าทางข้างหน้าจะมืดมิดและเต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม
โลกยังคงเดินต่อไป ความสูญเสียของเคลและความสับสนของไอเดนกลายเป็นเส้นทางคู่ขนาน ที่ยังไม่รู้ว่าจะมาบรรจบกันเมื่อใด แต่ทั้งคู่ต่างรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับ ชะตากรรมของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับเสียงกระซิบจากสวนที่ยังคงสะท้อนในสายลม
หลายเดือนผ่านไป ไอเดนซึ่งตอนนี้ใช้ชื่อว่าริน อาศัยอยู่ริมถนน ใช้ความสามารถพิเศษส่วนตัวในฐานะศิลปินเพื่อความอยู่รอด เขาวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังและขายภาพสเกตช์เพื่อเลี้ยงตัวเอง ศิลปะของเขากลายเป็นเส้นชีวิตในสภาพที่ยุ่งเหยิงนี้
แม้จะสูญเสียความทรงจำ รินก็แสดงความแข็งแกร่งและความสามารถตามธรรมชาติออกมา งานศิลปะของเขาเริ่มได้รับความสนใจ และเขาพบความมั่นคงในชีวิตใหม่ แต่เงาของซินดิเคทและการทรยศที่เคยพานพบในอดีตยังคงคอยหลอกหลอน ภายในตัวเขา ความแข็งแกร่งและความกล้าหาญที่ผู้เป็นแม่มอบให้ยังคงส่องแสง รอวันที่เขาจะทวงคืนตัวตนที่แท้จริงและเติมเต็มตำแหน่งผู้สืบทอดแห่งสวนรัตติกาล
ในยามเช้าของสวนรัตติกาล แสงอาทิตย์แรกแย้มอาบไล้ไปตามพื้นดิน เคลยืนอยู่เงียบ ๆ หน้าหลุมศพสองหลุม หลุมหนึ่งคือหลุมของราชินีโรซาลี และอีกหลุมคือพ่อของเขา อัศวินผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นทั้งผู้นำและผู้เสียสละชีวิตเพื่อหน้าที่เขาก้มมองแผ่นจารึกของราชินีโรซาลี แผ่นจารึกที่บันทึกความรัก ความเสียสละ และความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืมเลือน สายตาของเคลเต็มไปด้วยความเศร้า“ฝ่าบาท...” เขากระซิบเสียงเบา ราวกับไม่ต้องการให้เสียงนั้นรบกวนความสงบของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ “ผมทำทุกอย่างเพื่อสวน เพื่อเจ้าชาย แต่ตอนนี้...ผมไม่แน่ใจแล้วว่าผมทำถูกไหม”เขาหันไปมองหลุมศพของพ่อ ราวกับจะขอคำตอบจากใครสักคน “พ่อ...ท่านเคยบอกผมว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเสียสละ แต่ตอนนี้ผมสงสัย...ว่ามันคือการเสียสละทุกอย่างจริงหรือ? แล้วผมจะเสียสละหัวใจตัวเองเพื่อหน้าที่นี้ได้จริงหรือ?”เคลเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีจากฟ้าสางเป็นทองแดง ความทรงจำในวัยเด็กหมุนวนในหัว ราวกับคลื่นทะเลซัดเข้าหา
รุ่งเช้าวันใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม รินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่รายล้อมไปด้วยบรรยากาศของดอกไม้และต้นไม้ภายในสวนรัตติกาล ดอกไม้หลากสีแบ่งบานอยู่รอบ ๆ ส่งกลิ่นหอมอบอวล อากาศที่สดชื่นจากสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเปิดกว้าง เขานอนอยู่บนเตียงอันแสนอบอุ่น สัมผัสนุ่มของผ้าห่มโอบล้อมร่างกาย เหมือนปกป้องเขาจากความหนาวเหน็บในอดีตจินเจอร์ แมวตัวโปรดขนฟูที่เหมือนเมฆสีส้ม นอนขดตัวอยู่ที่ปลายเตียง มันเงยหน้ามองเขาพร้อมส่งเสียง “เมี้ยว” เบา ๆ ราวกับทักทาย เขายิ้มให้มันก่อนจะทอดสายตามองเพดาน ดวงตาอ่อนล้ากับความทรงจำที่พุ่งเข้ามา“ทุกอย่างเหมือนฝันร้าย” รินพึมพำเสียงแหบพร่ากับตัวเองเขาปิดตาลง ความเงียบในห้องกลับกลายเป็นเสียงสะท้อนของอดีตที่ไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาวิ่งหนีออกจากสวนในวัยเด็กปรากฏขึ้นในหัว เสียงฝีเท้าของเขาที่สะท้อนในความเงียบยามค่ำคืน เสียงลมหายใจกระชั้นถี่ ใบไม้ที่ปลิวตามแรงลมเย็นยะเยือก ทุกอย่างกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง ความสิ้นหวังที่กัดกินหัวใจในตอนนั้นยังคงฝังแน่นใน
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังมาจากนอกโกดัง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นชะงักไปชั่วครู่ แต่แทนที่จะเป็นความช่วยเหลือ กลับเป็นสัญญาณของบางสิ่งที่เลวร้ายกว่าเดิม มาร์คัสยืนอยู่บนที่สูง มือขวายกขึ้นส่งสัญญาณ ลูกน้องของเขาที่เหลือถอยฉากอย่างรวดเร็ว ไอเดนมองความเคลื่อนไหวนั้นอย่างสับสน‘จะทำอะไรอีก?’ เขาคิดด้วยความระแวดระวังความเงียบที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากนั้น กลิ่นไหม้ของดินระเบิดลอยมาในอากาศ สัญชาตญาณเตือนภัยดังขึ้นในใจของไอเดน“ระเบิด! ทุกคนถอยออกไปเดี๋ยวนี้!” ไอเดนตะโกนสุดเสียง เสียงสะท้อนนั้นดังไปทั่วโกดังพ่อของเคลเงยหน้าขึ้น เสียงของดินระเบิดที่ถูกจุดทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง“พวกมันกำลังวางระเบิด! หนีไป ริน! ท่านไม่มีเวลามากนัก!” เขาตะโกนออกมาพร้อมผลักไอเดนไปทางประตูที่ยังเปิดอยู่เล็กน้อย แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ขยับ ร่างของพ่อเคลก็พุ่งเข้ามาปกป้องไอเดน ขณะที่แรงระเบิดระเบิดขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่นแรงระเบิดกระแทกเข้ามา
เสียงฝีเท้าอันน่าเกรงขามของมาร์คัสดังก้องภายในโกดังร้างพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ใบหน้าของมาร์คัสเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจที่เขาไม่อาจเก็บซ่อน“แกสองคนไม่รู้เลยใช่ไหมว่ากำลังอยู่ในกับดักของฉัน” มาร์คัสเอ่ยขึ้น ขณะเดินออกมาจากเงามืด เขาโบกมือให้กลุ่มลูกน้องที่ติดอาวุธหนักเข้ามาล้อมวงไอเดนและพ่อของเคลอย่างไม่เปิดโอกาสให้หลบหนีไอเดนที่ยังคงบาดเจ็บจากการปะทะกับพ่อของเคลมองมาร์คัสด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและโกรธ “นี่นายกำลังทำอะไร มาร์คัส?”มาร์คัสหัวเราะลั่น “ฉันกำลังทำในสิ่งที่ควรทำตั้งนานแล้ว ฉันจะกำจัดแก ไอ้เด็กกำพร้าจอมแสแสร้ง และแก อัศวินเฒ่าจอมอวดดี พวกแกไม่มีทางรอดไปจากที่นี่แน่!”มาร์คัสยืนเด่นเป็นสง่า ราวกับนักแสดงหลักบนเวทีที่มีแสงสปอร์ตไลต์ส่องลงมา เขายกมือขึ้นเบา ๆ ราวกับเชิญชวนให้ทุกสายตาในโกดังนี้จับจ้องมาที่เขา ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า เสียงรองเท้าบูตกระทบพื้นซีเมนต์อย่างจงใจ ท่วงท่าของเขาราวกับราชาผู้กำลังกล่าวสุนทรพจน์ในวาระสำคัญ
ในช่วงเวลาเดียวกันที่มาร์คัสเริ่มวางยาพิษวิกเตอร์ การเคลื่อนไหวในเงามืดก็เริ่มต้นขึ้น เขาปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสวนรัตติกาลและซินดิเคทผ่านสายลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มอัศวิน โดยเป้าหมายคือสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มาร์คัสนั่งอยู่ในห้องประชุมลับ ไฟในห้องถูกปรับให้มืดลงสร้างบรรยากาศที่กดดัน ลูกน้องของเขารายล้อมโต๊ะยาวสีเข้ม ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาร์คัสที่กำลังอธิบายแผนการ“ฉันปล่อยข่าวลือออกไปแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะที่เลื่อนสายตาไปมองลูกน้องทีละคน “อัศวินแห่งสวนจะได้ยินว่าซินดิเคทกำลังเตรียมการโจมตีสวน ส่วนไอเดน...เจ้าหนูผู้ทะเยอทะยานนั่น มันจะถูกล่อให้ไปที่โกดังร้างนอกเมืองด้วยคำบอกเล่าลวงๆ เกี่ยวกับเบาะแสของสวน”“แต่ถ้าท่านไอเดนเอาชนะสถานการณ์นี้ได้ล่ะครับ เขาอาจพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะ” หนึ่งในลูกน้องยกมืออย่างระมัดระวังมาร์คัสหัวเราะในลำคอ “ไม่มีใครรอดกลับมาได้ ไม่ว่าอัศวินหรือไอเดน ฉันมีคนเตรียมพร้อมที่
แสงไฟริบหรี่สะท้อนภาพเงาบิดเบี้ยวของมาร์คัสบนกำแพงห้อง เหมือนปีศาจที่คอยล่าเหยื่อ ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของวิกเตอร์ที่แทบจะสิ้นแรง มาร์คัสเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเยือกเย็นแต่เปล่งประกายด้วยความกระหายอำนาจเขาหยุดยืนข้างเตียง มองวิกเตอร์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มพูดเสียงแผ่ว “ท่าน...ท่านไม่เคยคิดเลยสินะ ว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ข้าคือคนที่อยู่เหนือกว่า วันที่ข้าคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”ดวงตาที่อ่อนแรงของวิกเตอร์พยายามลืมขึ้นมาสบตากับลูกชาย ความตกใจและความโกรธเกรี้ยวฉายชัด “มาร์คัส...หมายความว่าอย่างไร?”มาร์คัสหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นเยียบเย็นพอที่จะทำให้เลือดของใครก็ตามที่ได้ยินแข็งตัว เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของวิกเตอร์ “พ่ออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงอ่อนแอลงทุกวัน? มันไม่ใช่ชะตากรรม มันไม่ใช่โรคภัย...มันคือฝีมือผมเอง ผมแค่วางยาพิษในอาหารทุกมื้อของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อดื่มเข้าไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเฟ้นอย่างดีให้มันกัดกร่อนร่างกายพ