เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังมาจากนอกโกดัง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นชะงักไปชั่วครู่ แต่แทนที่จะเป็นความช่วยเหลือ กลับเป็นสัญญาณของบางสิ่งที่เลวร้ายกว่าเดิม มาร์คัสยืนอยู่บนที่สูง มือขวายกขึ้นส่งสัญญาณ ลูกน้องของเขาที่เหลือถอยฉากอย่างรวดเร็ว ไอเดนมองความเคลื่อนไหวนั้นอย่างสับสน
‘จะทำอะไรอีก?’ เขาคิดด้วยความระแวดระวัง
ความเงียบที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากนั้น กลิ่นไหม้ของดินระเบิดลอยมาในอากาศ สัญชาตญาณเตือนภัยดังขึ้นในใจของไอเดน
“ระเบิด! ทุกคนถอยออกไปเดี๋ยวนี้!” ไอเดนตะโกนสุดเสียง เสียงสะท้อนนั้นดังไปทั่วโกดัง
พ่อของเคลเงยหน้าขึ้น เสียงของดินระเบิดที่ถูกจุดทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
“พวกมันกำลังวางระเบิด! หนีไป ริน! ท่านไม่มีเวลามากนัก!” เขาตะโกนออกมาพร้อมผลักไอเดนไปทางประตูที่ยังเปิดอยู่เล็กน้อย แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ขยับ ร่างของพ่อเคลก็พุ่งเข้ามาปกป้องไอเดน ขณะที่แรงระเบิดระเบิดขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่น
แรงระเบิดกระแทกเข้ามาเหมือนคลื่นมหาสมุทรที่ซัดเข้าหาฝั่ง เสียงดังกึกก้องดังไปทั่วบริเวณ ผนังโกดังบางส่วนพังถล่มลงมา เปลวไฟและฝุ่นควันแผ่กระจาย เหมือนเงื้อมมือมัจจุราชที่เข้ามากลืนกินทุกสิ่ง
ไอเดนถูกผลักกระเด็นไปด้านข้าง ซากไม้จากเพดานตกลงมาใส่หัว ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่าง เลือดไหลซึมจากหน้าผากลงมาตามแก้มก่อนหยดลงพื้น เขารู้สึกถึงความมึนงงและความอ่อนล้าที่เริ่มจู่โจม แต่ก่อนจะหมดสติ เสียงอ่อนแรงของพ่อของเคลดังขึ้น
“หนีไป ริน...ท่านยังมีโอกาส...พวกมันจะไม่หยุดจนกว่าท่านจะตาย...”
ไอเดนที่แม้จะบาดเจ็บสาหัส ลากร่างของตัวเองออกจากโกดัง เปลวไฟจากระเบิดยังคงแผดเผาอยู่เบื้องหลัง เสียงลมหายใจของเขาหนักและหอบเหมือนเครื่องยนต์ที่กำลังพังทลาย แต่เขารู้ว่าตอนนี้ต้องหนีเท่านั้น
ร่างกายของเขาเจ็บปวดราวกับถูกบดขยี้ เขาใช้มือแตะศีรษะที่ปวดร้าว ขณะที่ภาพความทรงจำแวบเข้ามาในหัวเป็นช่วง ๆ
เสียงกระซิบชื่อ “ริน” ดังขึ้นในหัว ภาพผู้หญิงในชุดคลุมสีขาวและเสียงหัวเราะที่อบอุ่นปะปนอยู่กับเสียงร้องไห้และเสียงดาบ เขาพยายามคว้าความทรงจำนั้นไว้ แต่กลับคว้าได้เพียงแค่อากาศ
“ฉันคือใคร…?” ไอเดนพึมพำ ร่างกายโงนเงนแต่ยังพยายามพยุงตัว สายลมเย็นที่พัดมาปะทะทำให้ได้กลิ่นคาวเลือดที่ยังลอยตลบ เขาหันไปมองรอบ ๆ เห็นเศษซากการต่อสู้ที่กระจัดกระจายไปทั่ว เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ หรือทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่
“ฉัน…ต้องไปจากที่นี่” เขาพึมพำเสียงแหบพร่า ความรู้สึกสับสนและความกลัวเริ่มแทรกซึม ก่อนเดินโซเซออกจากโกดังไปท่ามกลางความมืด เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องในตรอกเงียบราวกับโลกทั้งใบกำลังเฝ้ามองมา
ในส่วนอีกฝั่งของด้านนอกโกดังก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เคลนำกำลังมาสมทบพร้อมเสียงตะโกนของเหล่าอัศวินที่ดังแทรกเข้ามา เสียงดาบกระทบกัน เสียงโล่ปะทะดังไปทั่วบริเวณ
มาร์คัสที่บรรลุเป้าหมายแล้วกำลังเตรียมตัวหลบหนี แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เคลและกลุ่มอัศวินก็มาถึง การปะทะระหว่างกลุ่มของมาร์คัสและกลุ่มของเคลเริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด
เสียงดาบปะทะกันดังสนั่น เปลวไฟจากโกดังเป็นฉากหลังที่ส่องสว่างให้เห็นการต่อสู้ เคลตรงไปหามาร์คัสด้วยความโกรธ “แกมันปีศาจ มาร์คัส! ฉันจะไม่ปล่อยให้แกหนีไปได้!”
“ฉันรอแกมานาน เคล ถ้าคิดว่าฉันคือปีศาจ แกก็เตรียมตัวเจอฝันร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้เลย!” มาร์คัสที่ยังคงถือดาบในท่าพร้อมสู้หัวเราะอย่างเหยียดหยาม น้ำเสียงและสายตาแสดงออกอย่างเย้ยหยัน
เคลพุ่งเข้าหา มาร์คัสรับมืออย่างง่ายดาย ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด เสียงดาบกระทบกันสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ทุกจังหวะที่ดาบกระทบ เคลที่เต็มไปด้วยความโกรธพยายามจู่โจมไม่หยุด แต่สิ่งที่เขากังวลคือภาพของพ่อในโกดังที่ถูกระเบิดอาจกำลังต้องการความช่วยเหลือ
“มาร์คัส! ฉันจะกำจัดแก! ฉันจะไม่ปล่อยให้แกทำร้ายใครอีกต่อไป!” เคลตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด แต่ความคิดถึงพ่อก็เริ่มแทรกเข้ามาในหัวใจ
มาร์คัสชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาของอีกฝ่ายลุกโชนใน ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“จะกำจัดฉัน? หึ แกยังต้องพัฒนาอีกมาก เคล! ฉันไม่มีเวลาสำหรับการต่อสู้ไร้สาระเช่นนี้” เขาแสยะยิ้มแล้วทำสัญญาณให้ลูกน้องล่าถอย
เคลที่เห็นโอกาสนี้ ตัดสินใจปล่อยการต่อสู้ไว้ก่อน ความคิดถึงพ่ออยู่เหนือความโกรธ เขาหันหลังกลับไปยังโกดังที่กำลังลุกไหม้
“หนีไปเถอะมาร์คัส! แต่จำไว้ ฉันจะตามล่าแก! ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก ฉันจะกำจัดแกด้วยมือตัวเอง!” เสียงของเขาก้องกังวานในความมืด
“ฉันรออยู่ เคล อย่าทำให้ฉันผิดหวัง!” มาร์คัสเพียงหัวเราะเยาะ แล้วหลบหนีไปพร้อมกับกลุ่มลูกน้อง
เคลวิ่งกลับเข้าไปในโกดังที่เต็มไปด้วยเศษซากและกลิ่นไหม้ เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำในอก เสียงเปลวเพลิงที่ลุกโชนดังก้องรอบตัว
“พ่อ! พ่ออยู่ที่ไหน!” เสียงที่ตะโกนเรียกเจือไปด้วยความหวังและความกลัว
และแล้ว เขาก็พบร่างของพ่อที่ล้มอยู่กลางเศษไม้และซากระเบิด เคลรีบเข้าไปคุกเข่าข้างร่างนั้น
“พ่อ! ผมขอโทษ...ผมมาช้าเกินไป” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือขณะที่ประคองผู้เป็นพ่อไว้ในอ้อมแขน
ดวงตาของพ่อเปิดขึ้นอย่างอ่อนแรง “เคล...มาด้วยหรือ...พ่อ...” เขาพยายามพูด แต่ลมหายใจเริ่มแผ่วอ่อน “พ่อขอโทษ พ่อ...ไม่ได้ปกป้องสวน...และเจ้าชาย”
“ไม่ต้องพูดอีก พ่อ” เคลตอบพลางน้ำตาไหลพรั่งพรู “ผมจะทำหน้าที่ของพ่อแทน ผมสัญญา”
พ่อของเขาเผยยิ้มเล็กน้อย ก่อนดวงตาจะปิดลงอย่างช้า ๆ ลมหายใจสุดท้ายหลุดลอยไปในอากาศ เคลร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงสะอื้นของเขาสะท้อนในโกดังที่เงียบสงัด โลกของเขาพังทลายลงอีกครั้ง
เมื่อรุ่งสางมาถึง เคลยืนอยู่ที่สวนรัตติกาล ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของเขาแดงก่ำจากการร้องไห้ตลอดทั้งคืน เขามองไปยังหลุมศพของพ่อที่เพิ่งฝังร่างลงข้างหลุมศพราชินีโรซาลี ดอกไม้รอบ ๆ หลุมศพดูเหมือนจะโน้มลงราวกับไว้อาลัย
“ผมสัญญา พ่อ…” เคลพูดเสียงแผ่ว “ผมจะตามหาเจ้าชายให้พบ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ผมจะทำให้สวนนี้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และจะนำความยุติธรรมกลับมาให้ทุกคน”
เสียงกระซิบของสายลมแผ่วผ่าน ราวกับสวนกำลังตอบรับคำสัญญาของเขา ต้นไม้ดูเหมือนจะสั่นไหวเบา ๆ ดอกไม้บางชนิดที่เคยเหี่ยวเฉาเริ่มแบ่งบานอีกครั้ง ราวกับสะท้อนถึงความหวังที่ยังคงอยู่
ในขณะเดียวกัน ไอเดนยังคงเดินทางต่อไปในเมืองอาราเลีย ร่างกายของเขาอ่อนล้า สองขาเดินผ่านตรอกซอกซอยที่มืดมิดและเงียบสงัด ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความหวังใด เสียงในหัวของเขาดังก้องด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบ
“ฉันคือใคร…? กำลังหนีอะไร…?” ความทรงจำที่หลุดลอยทิ้งเขาไว้กับความว่างเปล่าในหัวใจ แต่ลึก ๆ เขายังรู้สึกถึงแสงสว่างบางอย่างที่รอคอยเขาอยู่ แม้ว่าทางข้างหน้าจะมืดมิดและเต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม
โลกยังคงเดินต่อไป ความสูญเสียของเคลและความสับสนของไอเดนกลายเป็นเส้นทางคู่ขนาน ที่ยังไม่รู้ว่าจะมาบรรจบกันเมื่อใด แต่ทั้งคู่ต่างรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับ ชะตากรรมของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับเสียงกระซิบจากสวนที่ยังคงสะท้อนในสายลม
หลายเดือนผ่านไป ไอเดนซึ่งตอนนี้ใช้ชื่อว่าริน อาศัยอยู่ริมถนน ใช้ความสามารถพิเศษส่วนตัวในฐานะศิลปินเพื่อความอยู่รอด เขาวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังและขายภาพสเกตช์เพื่อเลี้ยงตัวเอง ศิลปะของเขากลายเป็นเส้นชีวิตในสภาพที่ยุ่งเหยิงนี้
แม้จะสูญเสียความทรงจำ รินก็แสดงความแข็งแกร่งและความสามารถตามธรรมชาติออกมา งานศิลปะของเขาเริ่มได้รับความสนใจ และเขาพบความมั่นคงในชีวิตใหม่ แต่เงาของซินดิเคทและการทรยศที่เคยพานพบในอดีตยังคงคอยหลอกหลอน ภายในตัวเขา ความแข็งแกร่งและความกล้าหาญที่ผู้เป็นแม่มอบให้ยังคงส่องแสง รอวันที่เขาจะทวงคืนตัวตนที่แท้จริงและเติมเต็มตำแหน่งผู้สืบทอดแห่งสวนรัตติกาล
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่