เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตก
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน
“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
จากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่
ดวงตาของชายชราฉายแววอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยพลังลึกลับที่ดูเหมือนจะมองทะลุไปถึงจิตวิญญาณ รอยยิ้มบางเบาของเขามีความอบอุ่นที่ชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกสบายใจ และในขณะเดียวกันก็ทำให้ระวังตัว
“ขออภัยที่มารบกวนความสงบในสวนแห่งนี้” เสียงของเขาอ่อนนุ่ม แต่ก้องกังวานราวกับเป็นเสียงของธรรมชาติ “ผมชื่อเอลดริน นักเวทผู้เคยรับใช้ราชินีโรซาลี”
เอร่าที่คว้ากรรไกรตัดดอกไม้ไว้ในมือถึงกับหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยังไม่ลดความระวัง “ดูเหมือนนักเวทผู้ยิ่งใหญ่จะไม่มีมารยาทในการเคาะประตูนะ”
“ผมขอโทษจริงๆ แต่ประตูของสวนไม่จำเป็นต้องเปิดให้ผม เพราะมันยังจดจำคำสั่งของราชินี” เอลดรินหัวเราะเสียงเบา ดวงตาฉายแววเข้าใจท่าทีของเหล่าคนหนุ่ม
“พิสูจน์สิ” เคลพูดเสียงหนัก ดาบยังคงอยู่ในท่าพร้อมปะทะ
เอลดรินยิ้ม เขายกไม้เท้าขึ้นช้า ๆ ทันใดนั้น พื้นดินใกล้ ๆ ตัวพลันเปล่งแสงสีทองอ่อน ดอกไม้สีฟ้าอ่อนที่ไม่เคยปรากฏในสวนมาก่อนค่อย ๆ ผุดขึ้นจากพื้น กลีบดอกมีลวดลายซับซ้อนราวกับถูกวาดด้วยพู่กันแห่งดวงดาว กลิ่นหอมอ่อนหวานแผ่กระจายไปทั่ว
“นี่คือดอกไม้แห่งคำมั่นสัญญา” เอลดรินกล่าว “มันจะบานเพียงแค่ในที่ที่ทายาทแห่งราชินีโรซาลีอยู่ ใครก็ตามที่สัมผัสมัน จะเห็นสิ่งที่หัวใจพวกเขาจดจำเกี่ยวกับราชินี”
รินที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ เอื้อมมือไปแตะกลีบดอกไม้ทันที แสงอบอุ่นสว่างวาบก่อนที่ภาพในหัวของเขาจะปรากฏ ภาพของมารดากำลังพูดคุยกับเอลดรินที่อยู่เคียงข้าง
“หากวันหนึ่งฉันต้องจากไป ขอฝากเขาไว้กับเธอด้วย” เธอกล่าวกับเอลดริน ขณะอุ้มรินในวัยเด็กไว้ในอ้อมแขน
เอลดรินพยักหน้า ก้มลงเล็กน้อย ดวงตาของเขาสบกับรินด้วยความอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความเจ็บปวด “และตอนนี้ผมกลับมาที่นี่เพื่อท่าน เจ้าชายริน”
“คุณเป็นเอลดรินจริงๆ ...คุณอยู่กับแม่ผมตอนนั้น แล้วทำไม” รินชะงัก ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจและโศกเศร้าปนเปกัน เสียงของเขาขาดหายไปเหมือนคำถามที่ถูกกลืนลงไปในลำคอ
“ผมขอโทษ... เจ้าชาย ขอโทษที่ผมไม่สามารถอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยราชินีได้ในวันนั้น ข้าพระองค์ไร้ความสามารถ... แม้ผมจะพยายามปกป้องพระองค์และสวนอย่างสุดความสามารถ” เอลดรินถอนหายใจยาว มือที่กำไม้เท้าสั่นเล็กน้อย
“ท่านไม่ต้องขอโทษ ผมรู้ว่าท่านทำดีที่สุดแล้ว แม่...แม่คงอยากให้ท่านปลอดภัยเหมือนกัน” ดวงตาของรินเบิกกว้าง น้ำตาคลอหน่วย เขายื่นมือไปแตะแขนเอลดรินเบา ๆ เพื่อปลอบโยน
“พระองค์เป็นทุกสิ่งสำหรับเรา ผมขอสัญญาว่าจากนี้ไป จะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายท่านและสวนนี้อีก” เอลดรินยิ้มเศร้า แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความรักและการยอมรับ
ขณะที่รินและเอลดรินพูดคุยกัน เคียแรนที่ยืนอยู่ข้างเอร่าก็จับจ้องเอลดรินอย่างระมัดระวัง ดวงตาคมของเขากวาดมองร่างชายชรา แม้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมา แต่เขาไม่ปล่อยตัวให้ความหวังดีครอบงำการระวังภัย
“แล้วถ้าเขาไม่ได้มาดีล่ะ?” เคียแรนเอ่ยเสียงต่ำ พลางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อยืนบังเอร่า “คนที่มีพลังมากพอจะเข้ามาในสวนแห่งนี้โดยไม่มีใครรู้ อาจไม่ใช่แค่นักเดินทางที่ไร้พิษสง”
เอร่าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มขำ “ใจเย็นนะเคียแรน นายไม่คิดว่าเขาจะเดินทางมาทั้งหมดเพื่อมาปลูกดอกไม้ในสวนหรอกนะ?”
“ผมแค่เพียงพูดตามสิ่งที่เห็น” เคียแรนตอบกลับ แต่สายตายังคงจดจ่อที่เอลดริน “และผมไม่อยากให้นายเสี่ยง”
“ผมขออภัยที่ทำให้ท่านรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ผมไม่มีเจตนาร้าย อัศวินผู้กล้า” เอลดรินหันมาทางทั้งสองและค้อมตัวเล็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หากการกระทำหรือพลังของผมทำให้ท่านไม่ไว้วางใจ ผมก็พร้อมจะพิสูจน์ความจริงใจ”
“ถ้าคุณพูดจริง คุณก็ควรพิสูจน์ ไม่ใช่กับเรา แต่กับรินและสวนนี้”
“เอาละ นักรบของฉัน อย่าเข้มงวดจนเขาไม่กล้าหายใจเลย” เอร่าตบไหล่เคียแรนเบาๆ
เคียแรนไม่ได้ตอบกลับ ทำเพียงเหลือบมองเอร่าเล็กน้อย ท่าทางระวังภัยของเขายังคงอยู่ แต่แฝงไว้ด้วยความเคารพเมื่อเอลดรินเริ่มแสดงพลังเพื่อพิสูจน์ว่าเขาคือผู้ที่คู่ควรแก่ความไว้วางใจ
เคียแรนผ่อนคลายลงเมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากเอลดริน แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะกระซิบข้างหูเอร่า “ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดแม้แต่นิด ฉันจะเป็นคนจัดการเอง นายอยู่ข้างหลังฉันก็พอ”
“ถ้าถึงตอนนั้น ฉันจะให้จินเจอร์ไปช่วยนายจัดการเองแล้วกัน!” เอร่าหัวเราะเบา ๆ
“คุณพูดเรื่องจริง แต่เราจะยังระวังตัว ถ้าคิดจะทำลายสวนแห่งนี้ ก็ผ่านพวกเราไปก่อนเถอะ” เคลยังคงไม่ลดการป้องกัน แต่ดวงตาเริ่มอ่อนลง
“ฉันไม่ต้องการทำลายอะไร ฉันมาเพื่อช่วย แค่อยากเตือนเรื่องภัยร้ายที่กำลังจะมาถึง” เอลดรินพูดเสียงเบา
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่