หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”
เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”
“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันที
เคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ผมมักใช้ที่นั่นอ่านหนังสือและเตรียมสอน มันน่าจะเหมาะสำหรับท่าน”
เมื่อรินได้ยินข้อเสนอของเคลก็หันไปจ้องด้วยสายตางุนงง “แล้วตอนที่พี่เคียแรนมาบอกว่าไม่มีห้องว่าง และให้ผมต้องย้ายมาอยู่กับเคลล่ะ?”
หลังจากรินเอ่ยถึงเรื่องห้องพัก ความสงสัยในน้ำเสียงของเขาทำให้เคลเริ่มลนลาน แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร เคียแรนก็ยิ้มเจ้าเล่ห์และเดินเข้ามาใกล้ เอร่าเองก็ดูจะจับทางได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
“โอ้ จริงสิ!” เคียแรนเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน “ตอนนั้นนายบอกว่าไม่มีห้องว่างใช่ไหม? แต่จู่ ๆ ตอนนี้กลับมีห้องเงียบสงบท้ายสวนที่เหมาะเจาะขึ้นมาเนี่ยนะ?”
เอร่าไม่พลาดที่จะเสริม เขาทำหน้าจริงจัง แต่สายตาเต็มไปด้วยความขี้เล่น “เคล นายอยากให้รินมาอยู่ใกล้ๆ ก็บอกมาเถอะ อย่ามาใช้ข้ออ้างเรื่องไม่มีห้องเลย แค่พูดว่า ‘ริน ผมอยากดูแลคุณใกล้ ๆ เพราะผมห่วงคุณเหลือเกิน’ มันก็จบแล้ว!”
“ใช่! หรืออาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้นะ...” เคียแรนที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะ เขาเริ่มเลียนเสียงเคล ทำท่าทางขรึมแบบอัศวินผู้กล้า “รินครับ ผมเป็นห่วงคุณมาก คุณจะย้ายมาอยู่กับผมได้ไหม? สวนมันอันตราย คุณนอนคนเดียวไม่ได้หรอก”
เอร่าตบมือเปาะแปะพร้อมพูดเสริมทันที “ใช่ๆ แล้วรินก็คงตอบว่า ‘เคล คุณน่ารักจัง! งั้นผมไปอยู่ด้วยก็ได้~’ โอ๊ย หวานจนมดในสวนยังตายเลย!”
“หยุดเลยทั้งสองคน! มันไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย!” เคลที่ถูกล้อเลียนถึงกับหน้าแดง
“แต่ฟังดูคล้ายอยู่นะ เคล” รินที่กลั้นขำมานานยิ้มกว้าง ก่อนกระซิบหยอก ทำให้เคลยิ่งอายเข้าไปอีก
เอร่าเดินวนรอบเคลกับริน แล้วจู่ ๆ ก็จับเคียแรนให้สวมบทเป็นรินและตัวเองเป็นเคล
“โอ้ ริน~ ผมจะปกป้องคุณด้วยหัวใจและดาบของผมเอง โปรดมาอยู่ใกล้ ๆ ผมเถอะ!” เอร่าพูดพร้อมทำท่ากอดเคียแรนแบบโอเวอร์จนทุกคนหัวเราะลั่น
“อืมมม ดีจังเลยค่ะ เคล!” เคียแรนตอบกลับด้วยเสียงเล็ก ๆ อย่างล้อเลียน ก่อนจะหันไปทางริน “ถ้าเป็นแบบนี้ทุกคืน นายยังไงก็รอดปลอดภัยแน่ ๆ!”
รินหลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง ขณะที่เคลถอนหายใจหนัก ๆ แต่ในใจรู้ดีว่าไม่สามารถโกรธทั้งสองคนได้จริง ๆ
“โอเคๆ พอแล้ว! ไปทำอาหารเย็นกันได้แล้ว”
“ได้ๆ แต่แหม เคล นายก็พูดตรง ๆ เถอะว่าอยากให้รินอยู่ใกล้ ๆ จะได้ดูแลสะดวก!” เอร่าหยอกพร้อมหัวเราะ
เอลดรินที่ยืนมองภาพความสดใสของกลุ่มคนรุ่นใหม่อยู่พักหนึ่ง ก็ยิ้มอย่างอบอุ่น แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใยและความภูมิใจในตัวเจ้าชายของเขา ก่อนจะเอ่ยแซวขึ้นมาเบาๆ แต่ชัดเจนพอที่จะทำให้ทั้งกลุ่มหยุดชะงัก
“ผมขอพูดอะไรสักหน่อยได้ไหม?” เอลดรินเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สายตาของเขาจับจ้องไปที่ริน “เจ้าชายของผมหรือขอเรียกว่ารินตามที่เจ้าต้องการนะ ผมอดดีใจไม่ได้ที่ได้เห็นท่านมีความสุขขนาดนี้ รอยยิ้มของท่าน... ทำให้ผมคิดถึงฝ่าบาทโรซาลี พระนางเคยบอกว่า หากวันหนึ่งลูกของพระนางมีความสุข นั่นคือสิ่งที่พระนางปรารถนาที่สุด”
รินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอ่อนโยน “ขอบคุณนะเอลดริน ท่านทำให้ผมคิดถึงแม่ ผมหวังว่าท่านแม่จะภูมิใจในตัวผม”
“แน่นอนว่าฝ่าบาทจะภูมิใจในตัวท่านแน่นอน และยิ่งได้เห็นว่าท่านไม่ได้แค่มีความสุข แต่ยังมีคนที่ดูแลท่านได้ดีเช่นนี้” เอลดรินพยักหน้า ก่อนเลื่อนสายตาไปยังเคลที่ยืนอยู่ข้างริน “ผมรู้สึกว่าสวนแห่งนี้ไม่ได้เพียงแต่เป็นบ้านของท่าน แต่ยังเป็นที่ที่ความรักของท่านเติบโตอีกด้วย”
เคลหน้าแดงเล็กน้อย พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เอลดรินพูดต่อก่อน
“ว่าแต่ว่า...ผมควรจะเรียกคุณเคลว่าอะไรดีล่ะ? ‘แฟน’ ใช่ไหม? คนแก่อย่างผมไม่แน่ใจเรื่องคำศัพท์ของคนรุ่นใหม่เท่าไร”
เอร่าที่แอบฟังอยู่ข้าง ๆ หัวเราะเสียงดัง “ใช่เลย เรียกแบบนั้นได้! เคลเนี่ยแหละ ‘แฟน’ อย่างเป็นทางการของริน!”
“เอร่า พอได้แล้ว!” เคลหันขวับมามองเอร่าด้วยสายตาขึงขัง
แต่รินกลับหัวเราะเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เคลไม่ต้องอายหรอกนะ ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเรียกนั้นนี่นา”
เคลที่ได้ยินถึงกับหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เอลดรินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ดีแล้วละ ผมก็จะได้บอกกับตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่า เจ้าชายของผมมี ‘แฟน’ ที่ยอดเยี่ยมแบบนี้”
เคียแรนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ส่ายหัวเบา ๆ “ผมคิดว่าคืนนี้จะสงบลงหน่อย แต่ดูเหมือนจะมีคนทำให้บรรยากาศหวานจนล้นไปทั้งสวน”
“งั้นผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน ผมรู้จักทางในสวนดี ไม่ต้องลำบากส่งผมหรอก ทุกคนเองก็พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้จะได้เริ่มต้นการค้นหาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม” เอลดรินยิ้มบาง ก่อนจะขอปลีกตัว
รินก้าวเข้าไปจับมือเอลดรินแน่น “พักผ่อนให้เต็มที่นะครับเอลดริน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่ความสงบสุข และพรุ่งนี้เราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน” เอลดรินพยักหน้า ก่อนจะยิ้มให้ทุกคน
“ไปเถอะ นายป่วนพอแล้ว เดี๋ยวพวกเขาไม่มีกำลังใจมากินข้าวเย็นกันพอดี” เคียแรนจับบ่าเอร่าแล้วลากไปทางครัว
“ระวังหน่อยนะเคล! ระวังความลับของนายจะแตกอีกรอบ!” เอร่าหันมาหัวเราะทิ้งท้าย
เมื่อทุกคนเดินไป เคลกุมขมับพลางมองรินที่ยิ้มขำ ๆ อยู่ “ผมไม่รู้ว่าการที่คุณย้ายมาอยู่กับผมจะทำให้ผมต้องโดนล้อขนาดนี้”
“แต่คุณก็ยอมรับไปแล้วนี่นา เคล ว่าคุณอยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ” รินยิ้มพร้อมแตะไหล่เขาเบา ๆ
เคลหลุดยิ้มขณะมองริน “ใช่ ผมยอมรับ... ผมห่วงคุณ และอยากให้คุณปลอดภัยจริง ๆ”
“ผมรู้ เคล ไม่ต้องแก้ตัวแล้ว มันน่ารักดี” รินส่งยิ้มหวานให้
เสียงหัวเราะของเอร่าและเคียแรนดังลอดออกมาจากห้องครัว ทุกคนเริ่มผ่อนคลายจากบรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้า เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่รออยู่ในวันพรุ่งนี้
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่