เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด
“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัย
เอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”
คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”
“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแห่งอาราเลียไปละก็ เขาคิดผิด! ผมจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!” เคียแรนกำมือแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะ
“ผมรู้ว่ามันยาก แต่ผมไม่มีทางเลือก นี่เป็นเหตุผลที่ผมต้องมาและหวังว่าทุกคนจะเข้าใจ” เอลดรินพยักหน้า สายตาเศร้าแต่แน่วแน่
เอร่าหยุดรินและเคียแรน ก่อนที่ความโกรธจะลุกลาม “พอเถอะ! ผมเข้าใจว่าทั้งสองโกรธ แต่ถ้าความดันพวกนายขึ้นกันหมด ผมจะต้องทำงานเพิ่มอีกนะ!”
“นายพูดเหมือนเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลยหรือไง?!” รินมองเอร่า ดวงตายังแดงด้วยความโมโห
เอร่าถอนหายใจ กอดอกพร้อมกับแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ผมพูดเพราะว่าถ้าทั้งสองคนล้มไปตอนนี้ ใครจะปกป้องสวนล่ะ?”
“ใจเย็นก่อน ริน” เคลที่มองสถานการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบ ๆ ตัดสินใจวางมือลงบนไหล่ของริน “เราต้องคิดให้รอบคอบ เรามีเอลดรินที่มาช่วย และเรายังมีเวลาวางแผนรับมือ”
เอลดรินพยักหน้าอย่างขอบคุณที่เคลช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เขาเริ่มเล่าเรื่องต่อ น้ำเสียงของเขาหนักแน่นขึ้น
“มาร์คัสไม่สนว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เขากำลังรวบรวมเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องหัวใจแห่งอาราเลีย และทันทีที่เขารู้ว่ามันอยู่ในสวนนี้ เขาต้องบุกเข้ามาอย่างแน่นอน”
“เอาละ ท่านเอลดริน ผมรู้ว่าท่านพูดเรื่องสำคัญ แต่หัวใจแห่งอาราเลียมันคืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงสำคัญขนาดนั้น?” เอร่าดึงทุกคนไปยังประเด็นหลัก
“เป็นคำถามที่ดี เอร่า” เอลดรินยิ้มบาง ๆ “หัวใจแห่งอาราเลียคือสิ่งที่รวมเอาพลังแห่งธรรมชาติและเวทมนตร์ไว้ด้วยกัน ไม่ใช่แค่อัญมณีธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยทวยเทพเพื่อรักษาสมดุลของโลก”
“และมันเกี่ยวอะไรกับสวนรัตติกาล? ทำไมถึงซ่อนมันไว้ที่นี่?” เคลเลิกคิ้ว
เอลดรินหยิบตำราเก่าเล่มหนึ่งขึ้นมา พลิกเปิดหน้ากระดาษที่เปื่อยยุ่ย ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ “ตำนานของมันพวกเธอคงเคยได้ยินตั้งแต่เด็ก นิทานที่ผู้คนเล่ากันเพื่อกล่อมเด็กให้นอนหลับ...พวกเธอรู้หรือไม่ว่ามันอาจเป็นเรื่องจริง?”
รินและเอร่าเลิกคิ้วมองหน้ากัน ก่อนรินจะเป็นคนเอ่ยขึ้น “นิทานที่ว่าเกี่ยวกับทวยเทพน่ะหรือ? ท่านหมายความว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเล่า?”
“ใช่ และหัวใจแห่งอาราเลียก็คือหัวใจของนิทานเรื่องนั้น” เอลดรินพยักหน้า
“โอ้ ดาวล้อมฟ้า สาดแสงอบอุ่น
จันทราหมุนเวียนดั่งเสียงคำขานเทพแห่งแสงมอบประกายสดใสหล่อหลอมความหวังพัดผ่านคืนวันเทพแห่งชีวิตสร้างรากแห่งรัก
หล่อเลี้ยงสายน้ำชุบชีพแบ่งปันเทพสมดุลให้พลังนิรันดร์รักษาความมั่นคงใต้ฟ้าผืนดินโอ้ หัวใจแห่งอาราเลีย
ปกป้องดินฟ้าสืบสายศรัทธาเมื่อแสงแห่งธรรมลบเงามืดมนโลกจึงเปี่ยมล้นด้วยรักนิรันดร์โอ้ ดวงจันทร์ทอแสงใส
สะท้อนเงาในธาราดอกไม้ในลมโปรยปรายมาชี้นำทางสู่แสงทองต้นไม้ชี้ทางเหนือฟ้าคราม
ปลุกผู้กล้าข้ามผ่านคืนวันแสงเงาเคียงกันในวิหารซ่อนความลับในราตรีอันเงียบงันเสียงพงไพรดังก้องใจผู้กล้า
ทางที่ซ่อนอยู่เผยด้วยใจแน่วแน่หัวใจแห่งแสงยังรออยู่พลิกชะตาฟ้าดินลบมืดมน”เอลดรินเริ่มเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ดวงตาเป็นประกาย ราวกับกำลังพาผู้ฟังย้อนกลับไปยังจุดกำเนิดของตำนาน
“ในยุคแห่งความมืดมิด” เขาเริ่มกล่าว “โลกถูกปกคลุมด้วยความโลภ สงคราม และการทำลายล้าง ความงดงามของธรรมชาติถูกฉีกทิ้งทำลายด้วยน้ำมือของมนุษย์ ผู้คนลืมเลือนถึงความสำคัญของความสมดุล หลงใหลในพลังที่ไม่ยั่งยืน และสร้างความทุกข์ยากให้แก่โลกใบนี้อย่างไม่หยุดหย่อน”
เอลดรินหยุดเล็กน้อย พลิกหน้าหนังสือโบราณเผยให้เห็นภาพของโลกที่มืดหม่น ผืนดินแตกระแหง ผู้คนพเนจรท่ามกลางเถ้าถ่าน และท้องฟ้าปกคลุมด้วยเงาดำแห่งสงคราม
“ทวยเทพทั้งสามผู้เป็นแก่นแท้ของจักรวาล เทพแห่งแสงผู้ให้ความหวัง เทพแห่งชีวิตผู้สร้างความอุดมสมบูรณ์ และเทพแห่งสมดุลผู้รักษาความสงบ ไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อการเสื่อมสลายของโลกใบนี้ได้อีกต่อไป พวกท่านรู้ดีว่าหากยังปล่อยให้มนุษย์ทำลายกันเอง โลกที่พวกเขาสร้างมาด้วยความรักจะพังพินาศไปตลอดกาล”
เอลดรินเปิดไปยังภาพวาดอีกภาพหนึ่ง เป็นภาพทวยเทพทั้งสามร่วมมือกันสร้างอัญมณีที่เปล่งแสงเจิดจ้า
“พวกพระองค์ตัดสินใจแทรกแซงโลกมนุษย์ครั้งแรกและครั้งเดียว ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า 'หัวใจแห่งอาราเลีย' มันเป็นอัญมณีที่หล่อหลอมขึ้นจากพลังของทั้งสามเทพ เทพแห่งแสงมอบประกายแห่งความหวัง เทพแห่งชีวิตมอบพลังแห่งการสร้างสรรค์ และเทพแห่งสมดุลมอบความนิรันดร์อันเสถียรให้แก่สิ่งนี้”
เอลดรินชี้ไปที่ภาพในหนังสือ เป็นภาพของหัวใจแห่งอาราเลียที่เปล่งแสงสว่างไสว ถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งสายลม
“หัวใจแห่งอาราเลียไม่ใช่แค่อัญมณี มันคือแก่นแท้ของชีวิต ความสมดุล และแสงสว่างในโลกนี้ พลังของมันสามารถทำให้ดินแห้งแล้งกลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม คืนชีวิตให้แม่น้ำที่เหือดแห้ง หรือแม้กระทั่งชุบชีวิตผู้คนและเวทมนตร์ของโลกให้กลับคืนมา”
เอร่าซึ่งเงียบฟังมาตลอดยกมือขึ้นถามด้วยความสงสัย “ถ้าหัวใจแห่งอาราเลียทรงพลังขนาดนั้น ทำไมถึงต้องซ่อนมันไว้? ทำไมไม่ใช้มันเพื่อช่วยโลกต่อไป?”
เอลดรินพยักหน้า รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าราวกับเขาคาดไว้อยู่แล้วว่าจะมีคำถามนี้
“เพราะหัวใจแห่งอาราเลียต้องการผู้ปกป้อง ไม่สามารถปล่อยให้ไปตกอยู่ในมือของคนที่ไม่คู่ควรได้ หากอยู่ในมือของผู้ที่ขาดศรัทธาและความรับผิดชอบ พลังอันไร้ขอบเขตสามารถกลายเป็นหายนะได้ ทวยเทพจึงตัดสินใจสร้างสวนรัตติกาลขึ้น เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกปกป้องด้วยเวทมนตร์ที่ซับซ้อนที่สุด และมอบหน้าที่ให้กับอัศวินผู้พิทักษ์และผู้สืบทอดแห่งหัวใจ”
เขาชี้ไปที่ภาพในหน้าถัดไป เป็นภาพของสวนอันงดงาม มีดอกไม้หลากสีสันกำลังแบ่งบาน และต้นไม้ใหญ่ที่โอบล้อมหัวใจแห่งอาราเลียไว้ “สวนรัตติกาลไม่ใช่แค่ที่ซ่อน แต่เป็นสถานที่ที่หัวใจแห่งอาราเลียจะเชื่อมโยงกับโลกและผู้คนอย่างแท้จริง”
“แต่ถ้ามาร์คัสรู้เรื่องนี้ มันจะไม่หยุดแค่สวน มันจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อครอบครองพลังนี้!” เคียแรนที่นั่งฟังเงียบ ๆ เริ่มเอ่ยเสียงดังด้วยความโกรธ
“เราจะไม่ยอมให้มันได้พลังนี้ไป!” รินกำหมัดแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่น
“เราไม่เพียงแค่ปกป้องสวน แต่เราต้องปกป้องหัวใจแห่งอาราเลีย และทำให้แน่ใจว่าพลังนี้จะถูกใช้เพื่อสิ่งที่ดีงามเท่านั้น” เคลวางมือบนไหล่ริน
“ตำนานกลายเป็นเรื่องจริง และพวกเราคือผู้ที่ถูกเลือกเพื่อปกป้องมัน เราต้องทำให้สำเร็จ” เอร่ากล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก
“ทวยเทพได้มอบหน้าที่นี้ให้กับพวกเธอ ไม่ใช่ด้วยโชคชะตา แต่เพราะพระองค์มองเห็นความแข็งแกร่งในตัวพวกเธอ” เอลดรินมองทุกคนด้วยความภูมิใจ
ทุกคนพยักหน้าด้วยความมุ่งมั่น บรรยากาศในสวนรัตติกาลดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังแห่งการตัดสินใจและความหวังใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้น
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่