ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว
“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”
เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”
“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซว
จินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วย
เคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”
เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ้วขี้เล่น “อะไรกัน นายไม่ชอบหรือไงที่ฉันทำให้บรรยากาศมันผ่อนคลายลง?”
เคียแรนยิ้มมุมปาก ก่อนตอบด้วยเสียงนุ่มที่แฝงแววหยอกล้อ “ถ้านายไม่หยุดเล่น ฉันจะปิดปากนายเอง...ด้วยปากของฉัน”
เอร่าชะงัก ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะหน้าแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “โอ้ โอ้! นี่มันอะไรกัน นายเล่นแบบนี้ไม่แฟร์เลยนะ!”
จินเจอร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของเอร่าร้องเหมียวเหมือนจะบอกว่า นายโดนสวนกลับเต็ม ๆ แล้วละ ทำให้เคียแรนหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ฉันก็แค่ทำตามสิ่งที่นายชอบไง” เคียแรนเอ่ย พร้อมมองด้วยสายตาอ่อนโยน แต่ก็มีความขี้เล่นแฝงอยู่ “แต่เอาจริงนะ เอร่า ฉันชอบเห็นนายหัวเราะ แต่ตอนนี้...ช่วยสงบหน่อย ฉันอยากให้ทุกคนโฟกัสกับสิ่งสำคัญ”
“นายนี่มัน...” เอร่าหันหน้าหนีพลางพึมพำเบา ๆ ก่อนจะกระแอมไล่ความเขิน “ก็ได้ ฉันจะสงบ แต่หลังจากนี้นายต้องเลี้ยงมื้อค่ำฉันแล้วกัน”
“ตกลง เลี้ยงอย่างดีเลยละ” เคียแรนยิ้มและยกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าตกลง
บรรยากาศในกลุ่มเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ และความหวานที่ลอยกรุ่นอยู่ในอากาศ รินที่มองอยู่จากด้านข้างยิ้มและกระซิบกับเคล
“พวกเขานี่ดูเหมือนกำลังอยู่ในโลกของตัวเองเลยนะ ว่าไหม?”
“ก็หวานพอๆ กับที่เราหวานนั่นแหละ” เคลยิ้มมุมปาก ก่อนโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูริน “หรือบางทีอาจจะยังไม่เท่าเรา...”
เมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่ประตูวิหารเงาแสง ความรู้สึกแรกที่ทุกคนสัมผัสได้คือความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ อากาศที่เคยอุ่นกลับเย็นลงอย่างฉับพลัน เย็นจนรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วผิวกาย ราวกับว่าตัววิหารกำลังโอบล้อมพวกเขาไว้ในอ้อมกอดลึกลับ
เสียงลมพัดเบา ๆ แทรกผ่านช่องว่างของเสาหินสูงตระหง่าน เสียงสะท้อนคล้ายเสียงกระซิบของเหล่าเทพที่ยังหลงเหลือในสถานที่แห่งนี้ กลิ่นหอมโชยอ่อนของดอกไม้ป่ารอบวิหารเจือด้วยกลิ่นดินชื้นจากมอสเขียวสดที่เกาะตามผนัง ทำให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และความศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงอยู่
ผนังวิหารเต็มไปด้วยลวดลายสลักที่งดงามและซับซ้อน แสดงภาพเทพทั้งสาม เทพแห่งแสง เทพแห่งชีวิต และเทพแห่งสมดุล กำลังร่วมกันสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย สลักเสลาได้อย่างละเอียด แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างทรงโค้งเหนือหัวสะท้อนเป็นเงาที่ดูเหมือนเทพกำลังเคลื่อนไหว ลำแสงจากพระจันทร์เต็มดวงส่องลงมากระทบพื้นหินอ่อน เกิดเป็นลวดลายเรืองรองราวกับมีชีวิต
พื้นหินเย็นเยียบที่พวกเขาเหยียบให้ความรู้สึกถึงน้ำหนักของประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ในที่แห่งนี้ เสียงฝีเท้าของพวกเขาสะท้อนในวิหารกว้างใหญ่ ก้องกังวานเหมือนเสียงของผู้มาเยือนในอดีตกำลังเดินเคียงข้างพวกเขา สัมผัสของลมที่พัดผ่านมากระทบผิวอย่างแผ่วเบา แต่กลับทำให้รู้สึกถึงการต้อนรับจากสิ่งที่มองไม่เห็น
เมื่อเดินลึกเข้าไปก็มองเห็นแท่นบูชากลางวิหารที่ทำจากหินสีดำซึ่งเปล่งแสงจาง ๆ เมื่อแสงจันทร์ตกกระทบ กลิ่นโลหะบางเบาคละคลุ้งอยู่รอบแท่นเหมือนกับเคยมีการทำพิธีสำคัญบางอย่างที่นี่มาก่อน และเมื่อพวกเขาหยุดยืนรอบแท่น ความเงียบงันก็ปกคลุมอีกครั้ง ราวกับว่าแม้แต่ลมก็หยุดเคลื่อนไหวเพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ในขณะนั้น รินเอื้อมมือแตะผนังหินที่สลักภาพเทพโดยไม่รู้ตัว ความเย็นที่แผ่ออกมาจากพื้นผิวให้ความรู้สึกราวกับพลังที่ถูกปิดผนึกไว้ในนี้กำลังไหลเวียนมาที่ปลายนิ้วของเขา
“ที่นี่...รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่” รินกระซิบเสียงเบา ดวงตาสำรวจโดยรอบด้วยความระมัดระวัง
เอลดรินเดินนำหน้าไปจนถึงแท่นพิธีที่ตั้งตระหง่านกลางวิหาร ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขณะจ้องไปยังพื้นผิวหินที่สะท้อนแสงจันทร์ ราวกับมันกำลังซ่อนความลับบางอย่าง “นี่คือจุดที่พลังของหัวใจเคยถูกดึงมาใช้ในพิธีกรรมสำคัญ”
“ถ้ามันสำคัญขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไม่มีหัวใจอยู่ที่นี่?” รินมองไปที่แท่นพิธีด้วยความสนใจ
เคลสำรวจรอบ ๆ แท่นพิธี ดวงตาจับจ้องไปที่ร่องหินและลวดลายที่ซับซ้อน “ถ้าหัวใจเคยอยู่ที่นี่จริง ต้องมีร่องรอยหรือเบาะแสบางอย่างเหลืออยู่บ้างสิ”
เอร่าพิงผนังแล้วหรี่ตามอง “หรืออาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่เลย นี่อาจเป็นแค่สถานที่สำหรับ…แสดงพลัง?”
ก่อนใครจะพูดอะไรต่อ รินก้าวเข้าไปใกล้แท่นพิธี สายตาของเขาจับจ้องไปที่จุดศูนย์กลางของแท่น ซึ่งแสงจันทร์สาดส่องลงมาราวกับมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับแสงโดยเฉพาะ
ทันใดนั้น แท่นพิธีสั่นไหวเบา ๆ ราวกับตอบสนองต่อการปรากฏตัวของริน เสียงหินเลื่อนดังสะท้อนไปทั่ววิหาร ทุกคนชะงัก ร่างของรินเริ่มเปล่งแสงอ่อน ๆ และขณะนั้นเอง รินก็เริ่มเปล่งคำพูดแปลก ๆ ออกมา เสียงของเขาทุ้มและหนักแน่น ราวกับเป็นเสียงของคนอื่นที่ไม่ใช่ริน
“...แสงและเงาอยู่ร่วมกัน กลางคืนเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่ในใจ...”
“ริน!” เคลรีบก้าวเข้าไปหาพร้อมกับจับไหล่ของเขาแน่น “ได้ยินฉันไหม? หยุดก่อน!”
เคียแรนรีบโอบเอร่าไว้แน่น เตรียมปกป้องพวกเขาในกรณีที่เกิดอะไรขึ้น เอร่ากอดจินเจอร์ไว้แนบอก จินเจอร์ดิ้นกระโดดออกมาพร้อมทำท่าจะพุ่งโจมตีแท่นพิธี ราวกับมันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
แสงจากแท่นพิธีส่องสว่างขึ้นเรื่อย ๆ และอักษรโบราณที่ไม่มีใครเคยเห็นพลันปรากฏขึ้น มันลอยเด่นท่ามกลางแสงจันทร์
“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เคียแรนพูดพร้อมจ้องมองแท่นด้วยความตกตะลึง
“เคล จับรินไว้ดี ๆ นะ ถ้าเขาเริ่มสวดอะไรแปลก ๆ อีกรอบ ฉันว่าควรให้จินเจอร์ร้องเมี้ยวก่อกวน” เอร่าพูดแทรกอย่างตื่นเต้นแต่ยังคงความขี้เล่น
“หยุดพูดเล่นสักที เอร่า!” เคลกล่าวเสียงแข็ง แต่ดวงตายังจ้องไปที่ริน เขาพยายามเขย่าตัวรินเบา ๆ “ได้ยินผมไหม ริน? กลับมา!”
รินสะดุ้งและลมหายใจสะดุด เขากะพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กลับมามีสติ “เกิดอะไรขึ้น? ผมทำอะไรลงไป?”
เอลดรินจ้องไปที่อักษรบนแท่นด้วยสายตาคมกริบ เขาก้าวเข้าไปใกล้และใช้นิ้วสัมผัสมันเบา ๆ “ข้อความนี่พูดถึง...กลิ่นอายแห่งหัวใจ ไม่ใช่หัวใจจริง ๆ สถานที่นี้เป็นเพียงจุดเชื่อมโยงกับพลังงาน ไม่ใช่ที่เก็บหัวใจแห่งอาราเลีย”
“แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง?” รินถามพร้อมกับจับไหล่ตัวเอง
“ข้อความนี้ชี้ว่าเราอาจต้องไปตามหากันที่อื่น มันพูดถึง...’ในเส้นทางแห่งพงไพร จงฟังเสียงที่ไม่ได้ยินด้วยหู มองสิ่งที่ไม่ได้เห็นด้วยตา’ อาจหมายถึงป่าเวทมนตร์ทางตะวันตก” เอลดรินถอนหายใจ
เอร่าครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น “นี่เรากำลังเล่นเกมล่าขุมทรัพย์กันอยู่ใช่ไหม? บอกฉันตรง ๆ ว่าต้องมีอะไรซับซ้อนกว่านี้อีกแน่ ๆ”
รินพยักหน้าและหันไปมองเคล เคลมองกลับด้วยแววตามุ่งมั่น “ถ้าหัวใจอยู่ในป่าเวทมนตร์ เราก็ต้องไปหามัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”
“เรามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว” รินกล่าว และทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ขณะเสียงลมจากภายนอกพัดผ่านเข้ามาในวิหาร ราวกับเป็นคำตอบจากธรรมชาติว่าพวกเขาเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่