LOGINบทที่ 5 วัยมหา’ลัย
ชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม
“ปืน”
ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย
“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“นายว่างป่ะ”
“ไม่” ผมรีบตอบ
“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”
“อืม”
ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วย
แต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก
“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”
แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า
“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง
“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนังสือตรงหน้ามาเปิดอ่านทำทีมองภาพทั้งที่ผมรู้ว่าแก้มไม่ได้ชอบอ่านอะไรพวกนี้เลย
“กูรออยู่ร้านข้าง ๆ แล้วกัน ไม่อยากเข้าไปใน zeed ไม่ชอบ” สังเกตไหมว่าเป็นผมที่ยังใช้คำเรียก กู มึง อยู่ แต่ยายเตี้ยไม่ได้เรียกผมแบบนั้นแล้ว - - ตั้งแต่เมื่อไรนะ
“ขอบใจนะ” รอยยิ้มหวานยามยายเตี้ยเงยขึ้นมองหน้า ตุบ ... หนังสือหล่นมือจนได้
“นายทำหนังสือร่วง”
ผมมองมือเล็กเรียวทาเล็บเจลสีชมพูอ่อน ๆ ลวดลายน่ารักหยิบหนังสือขึ้นมา
“เอานี่”
มือผมรับหนังสือกลับมาเปิดอ่านแต่ยังลอบสังเกตยายเตี้ยด้านข้าง ปีนี้พวกเราอยู่ปีสองแล้วจึงไม่ต้องสวมชุดเด็กนักศึกษาปีหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือกระโปรงจีบรอบเสื้อเชิ้ตนักศึกษาตัวโคร่งและรองเท้าผ้าใบสีขาว
แก้มนั่งพับเพียบข้างผมด้วยกระโปรงตัวสั้นอย่างที่เด็กคณะมนุษย์ภาควิชาอังกฤษชอบสวม เสื้อนักศึกษารัดเปลี๊ยะแนบทุดส่วน กระดุมมหาวิทยาลัยสีเงินและตุ้งติ้งคณะสัญลักษณ์ดอกกาละสอง
“มึงกลัวไอ้ตั้มเหรอแก้ม”
“ไม่เชิง แต่ถ้านายไปด้วยฉันอุ่นใจดี”
ผมพยักหน้ารับเห็นด้วย เพื่อนสนิทผมสวยขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนเห็นก็ชอบทั้งนั้น ยิ่งไปเที่ยวผับต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวังตัว ไม่อยากโดนมอมยาเสียสาวย่อมต้องหาเพื่อนที่ไว้ใจไปด้วย
“งั้นกูเข้าไปด้วยแล้วกัน”
นั่นแล่ะครับความใจอ่อนของผม แล้วก็ได้รับรางวัลด้วยการที่แก้มเอาหัวมาถูหงึก ๆ ตรงหัวไหล่อีกรอบเหมือนไอ้เสือแมวที่บ้าน
“ตอนนี้กูเพิ่งปีสองยังว่าง แต่พอกูขึ้นปีสามแล้วต่อไปคงยุ่งงานโปรเจค ไม่มีเวลาไปเป็นเพื่อนมึงแล้วนะแก้ม”
“รู้แล้วน่า เดี๋ยวแก้มตามติดปืนเองไม่ต้องกังวล”
มือเล็ก ๆ ที่ผมมักแอบมองยกขึ้นประคองหน้าผมไว้สบสายตากัน ผมจึงรีบสะบัดออกอย่างแรงแล้วลุกขึ้น
“ไปเถอะต้องไปชั้นอื่นหาหนังสือ”
แล้วยายเตี้ยก็กระโดดลุก เดินตามเยื้องด้านหลังด้วยช่วงขาที่สั้นกว่า และผมเป็นฝ่ายก้าวนำไปเรื่อย ๆ โดยที่รู้ว่ายังไงมันเดินไม่ทันผมหรอกนอกจากต้องวิ่ง
บรื้น ... เอี๊ยด ....
ในยามค่ำหน้าร้านเหล้ากึ่งผับย่านโลกีย์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังเต็มไปด้วยเด็กนักศึกษาแต่หัววัน ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่แม่บอกให้เอามาใช้ไปก่อน ก็รถกระเทยที่แม่เรียก ไม่ได้เท่หรูหราเท่าไอ้ตั้ม เด็กคณะวิศวะบ้านรวยขับเก๋ง แต่...ไม่อยากคุยทับว่ายังไงสาวก็มองผมมากกว่าอยู่ดี เพราะผมมันหล่อและตัวใหญ่กว่าไอ้ตั้ม
สายตาคมกริบกวาดยังกะเลเซอร์ไปทั่วผับขนาดเล็กหลังมหาวิทยาลัยหรือที่เรียกกันว่าหลังมอ มองหายายเตี้ยของผมและกว่าจะเจอ ผมต้องกวาดตาถึงสองรอบ
ร่างสูงใหญ่อย่างนักบาสเก็ตบอล สูงถึงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรนิ่งขึงไปยามมองยายเตี้ยในหัวสีน้ำตาลอ่อนไปทั้งหัว ชุดรัดรูปเสื้อครอปสั้นเลยเอวมาเล็กน้อยมีสายพันไขว้กลางหน้าท้องและกระโปรงแสนสั้นคงแค่ฝ่ามือผมล่ะมั้ง
ผมคล้ายหัวใจจะหยุดเต้นจนต้องเบือนหน้าไปอีกทางแล้วสะดุ้งเมื่อเห็นรุ่นพี่สาวคณะพยาบาล จะเรียกว่าคู่ขาซ้อมมือในบางเวลาก็ย่อมได้ส่งยิ้มหวานมาให้ผมเช่นกัน - - เอาไงดีว่ะ
ยายเตี้ยเห็นผมแล้ว ทำท่ากวักมือเรียกไม่หยุด จนผมต้องรีบเดินไปหามันก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“มึงเปลี่ยนสีผมระวังกลับบ้านไปแม่ด่า”
“ไม่ด่าหรอก เพราะกลับบ้านจะย้อมดำ มา ๆ ผสมน้ำนะ”
ยายเตี้ยจัดแจงผสมเหล้าน้ำเปล่าให้ผมทันที แล้วหันไปเต้นต่อ ดูไปแล้วยายเตี้ยไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากผมเท่าไร เพราะมัวแต่สนุกเต้นและร้องจนเสียงแหบ ส่วนไอ้ตั้มดูไปก็ไม่มีอะไร ก็แค่ผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ชอบเพื่อนสนิทผม - - ใช่แล้วอีกคนหนึ่ง
พอขึ้นปีสอง ไอ้แก้มกลายเป็นดาวเด่นคณะมนุษย์เลยก็ว่าได้ คนรุมตอมจีบยิ่งกว่าแมลงวันตอม... ขอเว้นไว้แล้วกันไม่อยากนึกต่อ
“ปืน”
“คะ ครับ” ผมทำเสียงตกใจนิดหนึ่ง ที่จริงก็ตกใจมากอยู่เหมือนกันที่จู่ ๆ พี่ส้มคณะพยาบาลเดินเข้ามาใกล้แถมเอามือโอบเอวผมไว้ชะโงกมาข้างหู
“คืนนี้พี่กลับด้วยนะ” น้ำเสียงกระเส่าเชียว
“ผมมากับเพื่อน”
“พี่รอได้”
“แต่ว่า ...” นึกหาเหตุผลอยู่ คิดสิไอ้ปืน ยายเตี้ยมันมองมาแล้ว “ห้องผมเป็นเตียงเหล็ก เสียงดัง” ผมอยากจะตบหัวตัวเองจริง ๆ ที่โพล่งคำนั้นออกไป
“ไม่เห็นเป็นไร ได้อารมณ์ดี หรือจะไปห้องพี่”
ผมเสียววาบจนหลังแอ่นเมื่อพี่ส้มใช้เล็บลากแผ่นหลังยาวตั้งแต่ต้นคอลงหาสะโพก เสื้อยืดเนื้อบางไม่อาจลดทอนกระแสไฟที่พี่ส้มส่งผ่านปลายนิ้วมายังผมได้เลย
“แต่ว่า”
“ทำไมพูดแต่บ่อยจัง” พี่ส้มย้ายมาด้านหน้าแล้ว เอามือเท้าโต๊ะเหล้าไว้เอียงหน้ามองผมแล้วเอานิ้วเข้าปาก - - โจ่งแจ้งเกินไปหรือเปล่า!!
“ผมมากับเพื่อน พี่ส้ม ผมไม่สะดวก”
“แต่พี่สะดวก พี่อยากจะ ....” เว้นจังหวะแล้วใช้ลิ้นเลียปลายนิ้วตัวเองเอาเข้าปากดูดแล้วงัด เป๊าะ ... ผมนี่สะดุ้งเฮือกเลย จินตการล่องลอยไปแล้ว
“ไอ้ปืน” ยายเตี้ยตะโกนผ่านหน้าพี่ส้มมาก่อนดันร่างเล็กกว่าออก ยื่นแก้วเหล้ามาชนแล้วเอียงหน้าหาพี่ส้ม แววตาโคตรน่ากลัวจนผมขนลุก
“พี่ส้ม สวัสดีค่ะ”
“น้องรู้จักพี่ด้วยเหรอคะ” พี่ส้มเอียงคอถามสงสัย
“แหม ... ใคร ๆ ก็รู้จักพี่ส้มค่ะ แต่พี่ส้มคงไม่รู้จักแก้ม นี่แก้มเป็นเพื่อนปืน”
“เพื่อน? แค่เพื่อนเองนะคะ”
พี่ส้มทำท่าไม่สนใจกำลังจะเอื้อมมือออกมาลูบต้นแขนผมแล้วพลันไอ้แก้มปัดมือพี่ส้มออก
“พี่ส้มค่ะ แก้มเห็นพี่หนุ่มคณะวิศวะอยู่โต๊ะโน้นกำลังมองพี่อยู่นะคะ”
ผมอมยิ้มทันทีเหมือนพี่ส้มติดกับดักล่อยายเตี้ยของผมเข้าให้แล้ว เพราะที่จริงพี่หนุ่มปีสามมันยิ้มให้แก้มต่างหาก แต่ผมปล่อยผ่านไป ยังไงคืนนี้ผมไม่กลับไปกับพี่ส้มแล้ว เผลอ ๆ คงพอเท่านี้
“งั้นพี่ไปก่อน แล้วเจอกันนะปืน ...” ผมเสียววูบอีกครั้งเมื่อหางตาพี่ส้มตวัดลงมองกลางหว่างขายามเว้นเรียกชื่อผม แล้วสะดุ้งเมื่อเห็นไอ้แก้มเดินมาขวางหน้า
“มึงหลบไปไอ้แก้ม กูจะชงเหล้า”
“ไม่ ฉันชงให้”
แก้มหันหลังให้ทันทีแต่ดันยืนเบียดอย่างจงใจจนสะโพกมันแทบเกยต้นขาผม ทำทีเป็นชงเหล้าไม่ใส่ใจ
“มึงกำลังวอนขอไอ้แก้ม”
“เปล่า ฉันเปล่า เอานี่”
มันผลักแก้วเหล้ามาให้ด้านหน้า แต่ยังจงใจเต้นจนชิดทำตัวยังกะเป็นเจ้าของ อย่างกับแมวถูไถให้กลิ่นมันติดตัวเจ้าของ ความสัมพันธ์แบบนี้มันเป็นมาสักระยะหนึ่งแล้วนับจากจบชั้นมัธยม
“มึงถอยห่างหน่อยกูรำคาญ”
“นายไม่ได้รำคาญฉันหรอกปืน” มันหันหน้ากลับมาแล้วแทรกตัวกลางหว่างขา ยกมือทั้งสองข้างพาดหัวไหล่
อึก ... ตาผมมองไปทางไหนไม่ได้เลยนอกจากเนินอวบตรงหน้าที่นูนเด่นดันเสื้อตัวคับ รีบควานหาพอตไฟฟ้าในกระเป๋าออกมาดูดเพื่อไล่มันออกจากไปจากหว่างขา
ฟู่ ... ผมปล่อยควันขาวใส่หน้ายายเตี้ย เฝ้ามองสีหน้าไม่พอใจแวบหนึ่งด้วยรอยยิ้มกวนส้นเท้า - - มันชอบปลุกนิสัยด้านชั่วของผมอยู่เรื่อย
แต่อย่างว่า ยายเตี้ยและผมสนิทกันมาเกินไป แก้มจึงแย่งคว้าพอตไฟฟ้า ออกจากมือแล้วยกดูดต่อหน้าเช่นกัน พ่นควันคืนใส่ให้ผม นี่ผมรู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูกยามมองพอตในมือแก้ม - - เหมือนจูบกันผ่านพอตเลย
“ปืน ถ้าเสี้ยนก็บอกแก้ม”
“หมายความว่าไง” ผมสอดแขนลอดใต้ท้องแขนยายเตี้ยไปหยิบแก้วเหล้า เฉียดเนินนุ่มเลยจงใจเบียดซะเลยแล้วอมยิ้ม แต่ยายเตี้ยรู้ทันหรี่ตาลง
“แก้มทำให้ได้”
ผมก้มลงมองมือตัวเอง รู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าแก้วในมือสั่นขณะยกดื่มแสร้งหลบตาแต่มันยังตื้อไม่เลิก ตามนิสัยเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก ขยับร่างนุ่มนิ่มมาใกล้จนหน้าอกเกือบชนจมูกผมเลยต้องผงะถอยฉากออกเบือนหน้าไปอีกทาง
“ปืนได้ยินที่แก้มพูดหรือเปล่า แก้มบอกว่า แก้มทำให้ได้”
“ทำอะไร”
“ก็ถ้าปืนเสี้ยน อยากเอา เป็นแก้มสิ แก้มพร้อมเสมอ”
“กูไม่ชอบ friend with benefit”
ร่างเล็กนิ่งไปเป็นครู่แล้วค่อยชะโงกหน้ามาข้างหูผม
“งั้น ก็ .. เป็นแฟน นี่ใช่ไหมที่ปืนอยากได้ เป็นแฟนแก้ม”
ผมลอบถอนหายใจดึงพอตไฟฟ้าออกมาจากมือมันแล้วดูดต่อ โอบเอวมันไว้ดึงมาใกล้
“ความสัมพันธ์มันจะไม่เหมือนเดิมนะแก้ม”
“แก้มรู้”
“พร้อมแล้วหรือไง”
ยายเตี้ยเงียบไปอีกจนผมใจเต้นระทึกรอคอย ผมไม่เห็นสีหน้าเพื่อนสนิทเพราะตอนนี้ผมเอาหน้าซุกลงซอกคอมันแล้ว มือยังถือแก้วเหล้า อีกมือโอบเอวมันไว้
“เราเล่นชักคะเย่อมาตลอดเวลาแก้ม เดี๋ยวหย่อน เดี๋ยวตึง โดยที่มึงเป็นคนดึงไว้คนเดียว แล้วพอตอนนี้ มึงเห็นว่ากูกำลังมีคนอื่น เลยเอาตัวมาถวายให้เพราะไม่ต้องการให้ใครแย่งกูไปจากมึง แต่พอกูถามว่า...มึงพร้อมเปลี่ยนสถานะแล้วใช่ไหม มึงกลับไม่ตอบกู” ผมหยุดพูดเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดพล่ามเรื่องบ้าบอแล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม แต่ยังไงคำถามคาใจยังเปล่งออกไปอยู่ดี “แก้ม ถามอีกครั้ง มึงพร้อมเริ่มความสัมพันธ์แบบใหม่แล้วใช่ไหม”
แก้มขยับหน้าเข้าหาซอกใบหูแล้วจึงค่อยเอ่ยกระซิบท่ามกลางเสียงอึกทึกของเพลงอาร์แอนด์บี และเสียงกรี๊ด แต่ผมได้ยินถนัดเลย ชัดเจนจนถ้อยคำนั่นสะท้อนลงไปยังทรวงอก
“พร้อม แก้มพร้อมแล้ว พร้อมให้ปืนมาตลอด”
เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกจุดหนึ่ง ที่นำเราทั้งสองคนไปยังความสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่ง
“แต่ว่า ...”
ผมชะงักมือที่กำลังเริ่มล้วงลงต้นขา รอฟัง
“แก้มขอเวลาอีกนิดก่อนที่เราจะขึ้นเตียงกัน”
“ขยายความ กูไม่เข้าใจ พร้อมเป็นแฟน แต่ไม่พร้อมให้กูเอา นี่ใช่ไหมความหมายมึง”
ผมดันร่างของมันออกห่างจ้องตาแล้วจึงสังเกตว่าหน้ายายเตี้ยแดงก่ำจนน่าจูบ
“แก้มแค่ขอเวลาคุ้นเคยสัก ...”
“นานแค่ไหน มึงจะให้กูรอมึงนานแค่ไหน มึงก็รู้ว่ากูเสี้ยนมึงแก้ม อย่าทำเป็นไร้เดียงสา เราสองคนรู้เรื่องนี้มาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว เผลอ ๆ มึงรู้ว่ากูเสี้ยนมึงมาตลอด” น้ำเสียงผมเริ่มหงุดหงิด
“ปืน แก้มยังไม่เคย ต้องเข้าใจแก้มด้วย”
“ฮึ ไม่เคย แต่มึงจูบผู้ชายไปทั่ว” ผมพ่นลมหายใจออกมา
“แค่จูบ ปืน จูบไม่ได้เอา” น้ำเสียงแก้มอ่อนลง แล้วผมก็ใจอ่อนอีกตามเคย กับยายเตี้ยแล้วผมไม่เคยชนะ ผมน่าจะรู้ดี
“ก็ได้ หนึ่งอาทิตย์นับจากนี้ กูจะรอมึงแค่อาทิตย์เดียวแก้ม ถ้ามึงยักท่าเหมือนตอนนั้น กูจะไม่รอมึงแล้ว มึงเข้าใจคำนี้ไหม”
ผมเห็นสีหน้าซีดเผือดลงตาจ้องผมนิ่ง
“มึงตอบกู มึงเข้าใจคำนี้ไหม กูจะไม่รอมึงอีกแล้ว”
“แก้มเข้าใจ”
“พรุ่งนี้ ... มึงไปฝังยาคุมที่โรงพยาบาล เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนมึง”
เอาล่ะ ... แล้วยังไงต่อ ตอนนี้ผมยื่นคำขาดให้ยายเตี้ยไปแล้วว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ ถ้ามันยังยึกยักไม่นอนทอดกายให้ผมบนเตียง ผมจะมีคนอื่น มีแฟนจริง ๆ เสียที ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ อย่างว่าล่ะ ผมเสี้ยนมันจริง ๆ ฉะนั้นผมจะรอมันหนึ่งอาทิตย์
ผมวางแก้วเหล้าแล้วดึงมันมาใกล้ กดท้ายทอยยายเตี้ยลงเข้าหา ประกบปากสอดลิ้น ทำทุกอย่างให้คนในผับได้เห็นว่าในที่สุด แก้ม ดาวคณะปีสองเป็นของผม ...
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 7 ถึงคราวต้องจากพายุเข้าภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างที่กรมอุตุแจ้งเตือนมาได้สองวันแล้ว ฉันนอนหงายบนเตียงยกเท้าซ้ายพาดหัวเข่าขวาแกว่งเท้า มือเลื่อนไถหน้าจอโทรศัพท์อินสตราแกรมแล้วอมยิ้มปืนไม่ได้อัพหน้าฟีคมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันรู้ทุกวินาทีชีวิตของเพื่อนสนิท ไม่สิ อีกสองวันก็ไม่ใช่แล้ว - - ทำไมฉันต้องอมยิ้มด้วยนะร่างเล็กพลิกตัวนอนตะแคงกำลังจะวางโทรศัพท์พลันเสียงข้อความดังขึ้น แก้ม ต้องกลับบ้านด่วนแม่ฉันรีบผุดลุกนั่งขมวดคิ้วจนย่นตรงกลางหน้าผาก ปกติแม่ไม่ใช้คำพูดแบบนี้ ถ้ามีเรื่องด่วนยังไงก็ไม่ห้วนจัด จึงตัดสินใจต่อสายคุยกริ๊ง ...“แม่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ความเงียบเข้าปกคลุมก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงถอนหายใจ“กลับบ้านแล้วแม่จะเล่าให้ฟัง คืนนี้เลยนะมีรถทัวร์ เก็บเสื้อผ้ามาให้มากหน่อย ข้าวของที่ไม่จำเป็นให้ฝากเพื่อนไว้ ส่วนอะไรสำคัญเก็บมาให้หมด”ฉันยิ่งขมวดคิ้วหนัก แบบนี้เรื่องใหญ่แน่“แม่ไม่เล่าให้หนูฟังสักหน่อยเหรอคะ”“เล่าตรงนี้ไม่ได้แก้ม เชื่อแม่นะกลับบ้าน”ฉันดึงโทรศัพท์ออกห่างเพื่อดูหน้าจอ แม่วางสายไปแล้ว ตอนนี้ใกล้จะบ่ายสาม เร็วสุดคงรถเที่ยวสองทุ่มพอมี แล้วส่งข้อความหาปื
บทที่ 6 ncฟ้าฝนไม่เป็นใจช่วงยามเช้าในอีกสี่วันต่อมาหลังจากการประกาศก้องยอมให้ปืนเชยชมร่างกายอันสวยสดของฉันในเช้าวันนี้ฉันยืนนิ่งมองท้องฟ้าและฝนที่พัดกระหน่ำรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีตามกรมอุตุประกาศเป๊ะ ๆ ในมือยังถือร่มแต่ร่มคงต้านลมและเม็ดฝนได้ไม่ไหวแม่ไม่ได้ส่งรถมอเตอร์ไซค์มาให้ฉันใช้เหมือนบ้านปืน แต่ถึงยังไงการขี่รถฝ่าฝนคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเท่าไร ฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจกลับขึ้นห้อง แต่ไม่ใช่ห้องของฉันหรอกก๊อก ก๊อก เงียบ ...สาวในชุดนักศึกษารัดรึงอย่างนักศึกษาสาวทั่วไปเริ่มขยับเท้าไปมา ฉันและปืนพักหอนอกมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่ว่าอยู่คนชั้นแอ๊ด ....“ทำงานดึกเหรอ” ฉันโพล่งคำถามทันทีและผลุบตัวเข้าไปในห้องวางแฟ้มเรียนไว้บนโต๊ะแล้วนั่งที่เก้าอี้ทำงาน มองปืนที่เดินกลับไปนอนต่อแล้ว“อือ เร่งงาน”“ฝนตก”“อือ ได้ยินเสียงแล้ว”“ตกหนักมาก”“อือ”ฉันนั่งมองร่างสูงใหญ่ของปืน เขาไม่สวมเสื้อนอนอีกตามเคย ห่มผ้าปิดเพียงท่อนล่างและนอนคว่ำหันหน้ามาทางฉันตั้งแต่ขึ้นปีสอง ปืนเปลี่ยนการแต่งกายใหม่จนฉันต้องเร่งตามให้ทัน ฉันกวาดตามองผมทำสีน้ำตาลอมทองและต่างหูด้านขวาที่ใส่เพียงข้างเดียว ยิ่งทำให้ปืนดูเ
บทที่ 5 วัยมหา’ลัยชีวิตมัธยมปลายอันน่าบัดซบของผมจบลงเพียงเท่านั้น และตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยคะแนนเลิศหรู เพียงแต่ผมไม่ได้เลือกเรียนวิศวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายเลือกคณะสถาปัตยกรรม“ปืน”ยายเตี้ยยังคงตามติดชีวิตผมดั่งเงาเช่นเคย“อืม” ผมเดินนำหน้าไปทางอาคารสำนักวิทยบริการ ชื่อเรียกแสนยากฉะนั้นทุกคนจึงเรียกมันว่าห้องสมุด ตึกแปดชั้นกลางมหาวิทยาลัยรั้วสีอิฐ มอดินแดง สารพัดชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้“นายว่างป่ะ”“ไม่” ผมรีบตอบ“คืนนี้เพื่อนชวนไปหลังมอ”“อืม”ตอนนี้พวกเราเดินเข้าห้องสมุดแล้ว ผมตรงไปยังห้องอ้างอิงทันทีเพราะไม่อยากเสวนาด้วยแต่เหมือนยายเตี้ยคร้านจะสนใจกฎในห้องสมุดว่าห้ามส่งเสียงดัง เธอเดินตามติดและนั่งลงกับพื้นพร้อมผมเมื่อถึงชั้นหนังสือรวมภาพถ่ายทั่วโลก“แต่ฉันอยากให้นายไปด้วย”แก้มส่งเสียงเบาเล็ก ๆ ข้างหูจนผมจักกะจี้ เอามือผลักหน้ามันออกห่างแล้วจ้องหน้า“ทำไม” เห็นไหมในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไป อันนี้จะโทษใครได้นอกจากความใจอ่อนของตัวเอง“วันเกิดไอ้วาด แต่ไอ้ตั้มมันไปด้วย” น้ำเสียงอ่อนลงแล้วเอาหัวมาพิงไหล่ผมไว้มือยื่นออกหยิบหนั
บทที่ 4 วัยใสมันเป็นเดือนที่แย่ที่สุดในชีวิต ถ้าไม่นับรวมวันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันหลังจากที่พ่อกลับมาจากต่างจังหวัดได้สองวันฉันแหงนศีรษะมองท้องฟ้าในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน กระชับเสื้อกันหนาวไหมพรมสีอ่อนขณะยืนรอกำปั่นมารับ ในตอนนี้คนทั้งโรงเรียนรับรู้ว่าฉันและกำปั่นเป็นแฟนกันแปร๋น!!“แก้ม” เสียงกำปั่นสดใสเช่นเคยในทุกเช้าซึ่งเป็นเวลาเกือบเดือนมาแล้วที่มารับส่งฉันถึงบ้าน“กำปั่น”ฉันเพิ่งสังเกตว่ากำปั่นตัวเล็กแค่ไหนเมื่อฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วหน้าฉันโผล่พ้นไหล่จนลมกระแทกทรงผม ซึ่งถ้าฉันนั่งซ้อนไอ้ปืน ฉันไม่เคยโดนลมเลยด้วยซ้ำ - - นี่ฉันเปรียบเทียบกำปั่นกับไอ้ปืนได้ยังไงฉันรับหมวกกันน็อกมาสวมและรัดสายคาดเองก่อนจะขึ้นไปนั่งไพล่ ชำเลืองกลับไปมองในซอยบ้านไอ้ปืนยังปิดเงียบ ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง“วันนี้เย็นไปกินลานนมกันไหม”กำปั่นเอี้ยวหน้ากลับมาตะโกนถาม“ไม่ได้อ่ะ ต้องเรียนพิเศษ”พอพูดจบฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงนั่งซ้อนท้ายเงียบ ๆ มองพื้นถนนขณะที่รถมอเตอร์ไซค์พาฉันไปเรื่อย ๆ รู้สึกมือไม้เกะกะจนไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน ถ้าซ้อนไอ้ปืนฉันจะโอบเอวมันได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับกำปั่นแล้วฉั
บทที่ 3 วัยพลุ่งพล่านอันที่จริงผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วสำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดมีเนื้อ และ ... มีไอ้นั่นกลางหว่างขาผมขยับตัวพลิกตะแคงไปอีกด้านสะกดใจตนเองไม่ให้รับรู้ถึงกลิ่นอันอ่อนหวานและร่างนุ่มนิ่มจากคนข้าง ๆ ที่ยังเอามือพาดเอวผมไว้ - - ผมต้องหันหนีก็เพราะไอ้นั่นมันดันเคารพธงเช้าผมจับมือไอ้แก้มไว้แน่นแล้วเหม่อลอยมองฝาหนัง มือมันพาดเอวทาบกางบนพุงผมพอดี อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น หากมันเลื่อนลงสักห้าเซนติเมตรปลายนิ้วก้อยมันจะโดนส่วนหัวพอดิบพอดี - - ถอนหายใจครั้งที่ล้านแล้วกู“มึงตื่นแล้ว” แก้มทำเสียงงัวเงียแล้วพลิกตัวออกไปอีกด้าน“อือ ตื่นแล้ว กูเข้าห้องน้ำก่อน” ผมทำท่าจะลุกขึ้นแล้วพลันรู้สึกว่าคงยังไม่ได้จึงนั่งนิ่งไว้ก่อนเอาผ้าห่มปิดไว้“อ้าว ไหนบอกจะไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้แก้มพลิกตัวกลับมานอนตะแคงกอดผ้าห่มยกขาพาดขาผมไว้เขี่ยเล่นเบา ๆสายตาผมมองเท้าเล็กขาวเนียน มันเอานิ้วเท้าคีบผ้าห่มเล่น ผมจึงดึงผ้าห่มออก มันชักเท้ากลับแล้วแหย่มาข้างหน้าต่อหัวเราะในลำคอ ผมรู้สึกได้เลยว่ามันจ้องผมอยู่เพราะแผ่นหลังผมร้อนวูบวาบพิกล เลยแกล้งมันจับข้อเท้าไว้กำแน่นกำลังสะบัดออก มันดันยกขึ้นอย่างแรงผล







