“เหลียงอ๋องรับราชโองการ ด้วยบัดนี้วังอ๋องขาดเจ้านายฝ่ายหญิงมาช้านาน ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวลเรื่องการจัดระเบียบหลังเรือน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่เหลียงอ๋อง จึงประทานสมรสพระราชทานระหว่างเหลียงอ๋องกับหนิงเซียนบุตรสาวบุญธรรมท่านราชครู ให้เห็นผลนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จบราชโองการ”
สิ้นเสียงกงกงประกาศราชโองการ บ่าวไพร่ทั้งหลายภายในวังอ๋องต่างดีใจกันออกนอกหน้า ยินดีกับเจ้านายทั้งสอง ในที่สุดก็สมหวังเสียที
“เหลียงเฟิง รับราชโองการ”
“หนิงเซียนรับราชโองการ”
“ขอฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” ทั้งสองกล่าวอวยพรขึ้นพร้อมกัน ความกังวลที่มีบัดนี้ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะทรงเมตตาถึงเพียงนี้
“เมื่อครู่ ผู้ใดเรียกข้าเสียงดังกันนะ ให้ข้ายกเลิกราชโองการดีหรือไม่” เหลียงเฟิงหวงเดินฝ่าขบวนข้าหลวงออกมา พร้อมกับแสดงท่าทียียวนโอรสด้วยความสนุกสำราญใจ
“เสด็จพ่อ”
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
สองสามีภรรยาทำความเคารพผู้เป็นใหญ่ของแคว้น ไม่คิดว่าพระองค์จะทรงปลอมตัวเสด็จมาถึงที่นี่ด้วยองค์เอง
“ทำตัวตามสบายเถอะ เราแค่แวะมาหาหลาน ๆ เท่านั้น ไหนล่ะหลานข้าอยู่ที่ใด” เหลียงเฟิงหวงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ที่มาวันนี้ก็เพราะอยากมาเล่นกับหลานก็เท่านั้น
“อยู่ห้องเด็กอ่อนเพคะ เชิญฝ่าบาททางนี้เพคะ”
“ดี ๆ พาข้าไปเร็วเข้า”
สองสามีภรรยาพาท่านปู่ไปหาหลาน ๆ ซึ่งเมื่อเข้าไปในห้องเด็กอ่อน ก็พบว่าบุตรสาวนั้นตื่นนอนแล้ว มีเพียงบุตรชายที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่บนฟูกข้างกัน เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มอวบอ้วนแสนน่ารักนั้น เหลียงเฟิงหวงก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ เขารีบเข้าไปอุ้มหลานสาวขึ้นมาก่อนใครเพื่อน
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันขอถามได้หรือไม่” หนิงเซียนกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่มั่นใจตนเองเท่าใดนัก เกรงว่าหากนางพูดไปจะทำให้พ่อสามีทรงกริ้วเอาได้
“ว่ามาสิ มี่เอ๋อร์นี่ปู่เอง ปู่คิดถึงเจ้ามากนะรู้ไหม” ระหว่างอนุญาตให้สะใภ้ถามคำถาม ชายชราก็เอาแต่หยอกเย้าหลานสาว เมื่อยื่นนิ้วส่งให้มี่ฮวาก็คว้าหมับเข้าทันที
“เนื้อหาในราชโองการบอกว่าหม่อมฉันเป็นบุตรบุญธรรมของท่านราชครู แต่ว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องจริงแม้แต่น้อย หากเรื่องนี้มีใครรู้เข้า หม่อมฉันเกรงว่าอาจจะทำให้พระองค์เสื่อมเสียได้เพคะ” แม้จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างสองครอบครัว ทว่าการแอบอ้างโดยที่อีกฝ่ายไม่รับรู้ จะไม่เป็นการทำให้เกิดความไม่พอใจหรอกหรือ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าเบื่อพวกหัวโบราณไม่เห็นด้วยกับฐานะของเจ้า ข้าก็เลยยัดเยียดให้ราชครูรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมไปเสีย แต่ก็ไม่ใช่ความคิดข้าเสียทีเดียว ท่านราชครูก็เห็นด้วยกับความคิดของข้า” ในขณะพูดคุยกับลูกสะใภ้ มี่ฮวาตัวน้อยยิ้มสดใสให้กับท่านปู่ ก่อนจะฉี่รดท่านปู่ของนางอย่างเต็มรัก
ฉ่า
“ไอหยา เจ้าเด็กแสบ ฮ่า ฮ่า” เหลียงเฟิงหวงหัวเราะชอบใจ บนแผ่นดินนี้จะมีใครกล้าฉี่ใส่ฮ่องเต้กัน ถ้าไม่ใช่เจ้าเด็กในอ้อมกอดเขาคนนี้ ช่างอาจหาญเกินใครเสียจริง
“แอ้” เมื่อได้ปลดปล่อยของเสียออกมาจนรู้สึกโล่งไปทั้งตัว มี่ฮวาน้อยยิ้มร่าด้วยความสุขใจ ไม่ได้สนใจว่าผู้ใดเป็นคนอุ้มนางอยู่ในตอนนี้
“ว้าย ตายแล้ว อาผิงไป พาฝ่าบาทไปล้างพระวรกายเร็วเข้า” ผู้เป็นมารดาหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าบุตรสาวจะอาจหาญถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมานางเป็นเด็กดีไม่เคยฉี่รดใคร แม้จะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม แต่ไฉนคราวนี้ถึงได้เหมือนกับจงใจกันเล่า
“เชิญทางนี้เพคะฝ่าบาท” อาผิงสั่งให้นางกำนัลกลุ่มหนึ่งไปจัดหาอาภรณ์ใหม่ พร้อมกับเตรียมน้ำล้างตัวให้ฮ่องเต้ตามคำสั่งทันที
“ฮึ ทำดีมากลูกสาวพ่อ” เหลียงเฟิงดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ภูมิใจกับวีรกรรมของบุตรสาว ก่อนจะถูกสายตาพิฆาตตำหนิจากภรรยา
“ท่านพี่เจ้าคะ อย่าทำให้ลูกเป็นเด็กนิสัยไม่ดี”
“ดีมากลูกสะใภ้ ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะอย่างพอพระทัยดังก้องออกมานอกเรือน เหลียงเฟิงหวงดีใจไม่น้อยที่โอรสผู้โดดเดี่ยวได้มีครอบครัวอบอุ่นและรักใคร่กลมเกลียว ถึงตนจะให้ความอบอุ่นแก่เหลียงเฟิงไม่ได้อย่างพ่อคนอื่นทั่วไปมีให้ลูก แต่พระองค์ก็หวังว่าเขาจะยังรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ได้ตลอดไป และพระองค์จะคอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่เบื้องหลังเอง
จบบริบูรณ์
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน