หนิงเซียนนั่งมองเนื้อหมูมากมายตรงหน้า ใบหน้างามเอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะอาหารที่นางอยากจะทำนั้นมีเยอะแยะมากมายหลายอย่าง
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่น้อยนักที่จะได้กินเนื้อสัตว์ คราวนี้ช่างลาภปากนางโดยแท้ ไม่ต้องเสียเงินสักตำลึงแต่กลับมีเนื้อให้กินจนพุงกาง สามารถกินเยอะได้เท่าที่ต้องการไม่ต้องเจียดแบ่งกินทีละนิด เพื่อเก็บส่วนที่เหลือไว้กินวันหลัง คงต้องขอบคุณความใจป้ำที่ท่านอ๋องลงทุนซื้อหมูตั้งครึ่งตัวตามที่นางต้องการ
หลังจากที่นั่งคิดอยู่นาน หญิงสาวก็ตัดสินใจได้ว่านางจะนำเนื้อหมูมาทำอะไรบ้าง สิ่งที่นางจะทำก็คือเกี๊ยวกุ้ง เพราะยังเหลือกุ้งที่จับมาจากลำธารเมื่อคราวก่อนอีกนิดหน่อย ซาลาเปาไส้หมู และคอหมูย่างคู่กับน้ำจิ้มรสเด็ด คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงได้เริ่มลงมือ ส่วนที่เหลือจากการทำอาหารในมื้อนี้นางจะหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดี เพื่อนำไปทำเนื้อตากแห้งเก็บไว้กินได้อีกนาน
“นั่นเจ้ากำลังจะทำสิ่งใดน่ะ” เหลียงเฟิงได้ยินเสียงกุกกักดังออกมาจากในครัว เรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย เพราะจำได้ว่าหนิงเซียนนั้นทำอาหารไม่เป็น แม้แต่ข้าวต้มง่าย ๆ นางก็สามารถทำให้รสชาติได้เหมือนกับเทเกลือลงทั้งกระสอบ อาหารมื้อนี้เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะสามารถกินได้ อาหารทุกมื้อที่กินคงจะเป็นมู่หลางจัดหามาให้ก็ได้ ถึงได้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงวันนี้โดยที่ไม่ท้องเสีย หรืออาหารเป็นพิษ
“หม่อมฉันกำลังจะทำอาหารเช้าเพคะ” ร่างบางที่กำลังสับเนื้อหมูอย่างเอาเป็นเอาตายตอบกลับในทันที กระนั้นก็มิยอมหยุดมือยังคงสับเนื้อหมูต่อไปเรื่อย ๆ
“เจ้าแน่ใจหรือว่ากินได้” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับชะโงกหน้ามองสิ่งที่ถูกเตรียมไว้ มันถูกวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเต็มโต๊ะอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ทั้งหมดนี้หนิงเซียนทำเองหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร
“รับรองไม่ตายแน่นอนเพคะ” หนิงเซียนได้แต่กลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แล้วที่กินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ทุกวันคืออะไร มิใช่อาหารฝีมือนางหรอกหรือ
“ถึงไม่ตายก็ใช่ว่าอาหารฝีมือเจ้าจะไม่เป็นพิษมิใช่หรือ”
“นี่ท่านอ๋องดูถูกฝีมือการทำอาหารของหม่อมฉันหรือเพคะ” นางสุดจะทนสับมีดลงบนเขียงเสียงดัง พร้อมกับหันกลับมาจ้องหน้าอ๋องหนุ่มทันที นี่เขาจะดูถูกฝีมือกันเกินไปแล้ว
“ข้าดูถูกก็ดีกว่าดูผิด” เหลียงเฟิงยักคิ้วยิ้มมุมปาก การได้เย้าแหย่ให้นางอารมณ์เสียก็ทำให้เขาสำราญได้ไม่น้อย
“ว่าแต่หม่อมฉัน ท่านอ๋องก็คงจะไร้ฝีมือเช่นกันนั่นแหละเพคะ” แล้วผู้ใดกันที่ทำอาหารให้ท่านมาโดยตลอด ตอนนี้บอกได้เลยว่างอน ข้างอน ไม่กลัวแล้วความตาย หากทำได้ก็เชิญเอาไปทำเองเถิด
“ถ้าหากกับแค่เรื่องอาหารทำไม่ได้ ข้าจะดูแลคนทั้งกองทัพได้อย่างไร” ชายหนุ่มมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะส่ายหน้าจิ๊กปากแล้วถอนหายใจออกมา ทั้งหมดก็เพื่อเป็นการยั่วให้หนิงเซียนโมโหมากยิ่งขึ้น
“เช่นนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันว่าท่านอ๋องเหนื่อยมากแล้ว ไปพักเถอะเพคะ” หลังจากที่คำนวณการแพ้ชนะในใจ ก็ได้คำตอบแล้วว่าอย่างไรนางก็แพ้อยู่ดี รั้นต่อปากต่อคำไปก็เปล่าประโยชน์ จึงตัดบทเลิกต่อล้อต่อเถียงให้เสียเวลา ได้แต่จำใจยอมแพ้ไปแต่โดยดี อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาอาหารแล้ว ถ้าเอาแต่ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นคงจะไม่ได้กินข้าวกันพอดี
เหลียงเฟิงได้แต่ยืนกลั้นขำ ชัยชนะครั้งนี้คงจะเป็นการชนะที่สนุกที่สุดที่เขาเคยเจอกระมัง ชายหนุ่มเดินเข้าไปยืนข้างคนตัวเล็ก ก่อนจะดึงแขนเสื้อขึ้นเพื่อไม่ให้เกะกะเวลาทำอาหาร แล้วแย่งมีดปังตอจากมือหนิงเซียนมาถือไว้เสียเอง
“เจ้าจะทำอะไร” ถือว่าเป็นการผ่อนคลายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็แล้วกัน ไม่ต้องสวมหน้ากากหรือวางตัวให้ผู้อื่นเกรงกลัว มิต้องระวังกิริยามารยาทใด ๆ
“ซาลาเปาไส้หมูสับเพคะ” ร่างบางยังคงมึนงงไม่รู้ว่าคนตัวโตต้องการจะทำอะไรกันแน่ เมื่อก่อนไม่เคยแม้จะเฉียดเข้าใกล้ เห็นหน้าหนิงเซียนเมื่อใดก็ทำราวกับเหม็นเบื่อขี้หน้า บางครั้งก็ดูเหมือนว่าอยากจะบีบคอให้ตายเสียด้วยซ้ำ
แต่แล้วหนิงเซียนก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นการสับเนื้อหมูที่ว่องไวราวกับมันเป็นเพียงแค่การดีดนิ้ว ชั่วพริบตาเนื้อหมูก้อนนั้นก็ถูกสับจนละเอียดไปแล้ว
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน