“แป้งอยู่ที่ใด”
“นี่เพคะท่านอ๋อง” เมื่อได้สติหญิงสาวก็รีบวิ่งไปนำถุงแป้งโดยไว และยังรู้สึกทึ่งในฝีมือของเขามาก
“น้ำ” ชายหนุ่มลงมือผสมและนวดแป้งด้วยตนเอง โดยให้หนิงเซียนคอยเป็นลูกมือช่วยหยิบจับของที่ต้องการเท่านั้น
“น้ำเพคะ” หลังจากที่ตักน้ำมาจนเต็มขัน นางก็เอาแต่ยืนตะลึงกับลีลาการนวดแป้งที่อ่อนช้อยราวกับร่ายรำก็มิปาน บุรุษตัวหนาสูงใหญ่สามารถทำท่าทางอ่อนช้อยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
มิใช่เพียงแค่การนวดแป้งที่เหลียงเฟิงทำได้ดีเยี่ยม แม้กระทั่งการปั้นลูกซาลาเปาก็ยังสามารถทำออกมาดีไร้ที่ติ ขนาด การจับจีบ หรือแม้แต่ความละเอียดของแป้ง ยังดีเทียบเท่ากับพ่อครัวในวังก็ว่าได้
“กุ้งหม่อมฉันแกะให้เองเพคะ ประเดี๋ยวมือท่านจะเหม็นคาว” ถือเสียว่าตอบแทนที่ทำอาหารให้กินวันนี้ก็แล้วกัน เรื่องมือเหม็นนางจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง แกะกุ้งเป็นงานถนัดอยู่แล้ว
“เสร็จแล้วเพคะ” หญิงสาวยิ้มแป้นชื่นชมในผลงานของตนเอง เรื่องแกะกุ้งขอให้บอก สมัยเรียนนางไปกินกุ้งย่างเนยกับบรรดาเพื่อน ๆ ออกจะบ่อย และตัวนางเองนี่แหละตัวหลักในการแกะกุ้ง
หนิงเซียนตะลึงรอบแล้วรอบเล่า ไม่รู้ว่าจะหาเรื่องมาตำหนิอ๋องตัวร้ายอย่างไรดี ไม่ว่าเจ้าตัวจะหยิบจับสิ่งใดก็ออกมาดีเลิศไปเสียหมด โดยเฉพาะรสชาติอาหาร มันอร่อยเสียจนนางแทบจะกลืนลิ้นตนเองเข้าไปด้วย
“อาหารอย่างสุดท้ายหม่อมฉันขอทำเอง มันคืออาหารบ้านเกิดหม่อมฉันเป็นสูตรลับเฉพาะตระกูลเพคะ” จะเหลือก็แต่คอหมูย่างนี่แหละที่นางพอจะแสดงฝีมือได้
ชายหนุ่มยอมถอยออกมาให้หนิงเซียนได้ทำอาหารให้ถนัด เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า อาหารบ้านเกิดนางคืออะไร บ้านเกิดนางมิใช่บ้านเมืองเดียวกับเขาหรือ ก็ในเมื่อท่านหมอเฉินกับบุตรสาวเกิดที่แคว้นอิ๋ง
อาหารทุกอย่างถูกนำมาตั้งโต๊ะ การกินข้าวร่วมกับสามีตลอดหลายวันที่ผ่านมาทำให้หนิงเซียนเริ่มคุ้นชิน บัดนี้มิได้นั่งตัวเกร็งดั่งเช่นวันแรก แม้บรรยากาศจะเงียบไร้ซึ่งการพูดคุยจนดูน่าอึดอัด ทว่าทั้งสองกลับรู้สึกแตกต่างออกไป
พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า หนิงเซียนก็เอาแต่ซดเกี๊ยวน้ำคำกัดซาลาเปาในมือคำอย่างไม่สงวนท่าทีกุลสตรีดีงาม ส่วนอ๋องหนุ่มก็มิได้สนใจกิริยานั้น เขาเอาแต่คีบคอหมูย่างจิ้มน้ำจิ้มรสเด็ดเข้าปากไม่หยุดเช่นกัน พร้อมกันนั้นก็ยังยกจอกเหล้าขึ้นดื่มตามไปด้วย ราวกับว่าคอหมูย่างเป็นกับแกล้มชั้นดี
มู่หลางที่ได้เห็นนายเหนือหัวผ่อนคลาย และเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ท่านอ๋องไม่เคยดูมีความสุขเช่นนี้มาก่อน ในแต่ละวันต้องคอยระแวดระวังว่าจะถูกศัตรูปองร้ายวางยาพิษ ยามที่ต้องออกไปสู่สายตาคนภายนอก หรือแม้แต่ในวังอ๋องก็ยังต้องสงวนท่าที เพื่อให้ผู้อื่นเกรงกลัว มิให้ผู้ใดรับรู้ถึงความอ่อนแอ เขาก็ได้แต่หวังว่าอนุหนิงจะไม่ทอดทิ้งพระองค์ให้โดดเดี่ยวไปอีกคน
หลังจากกินอิ่มหนำสำราญก็ถึงเวลาพักสายตาเสียที หนิงเซียนรีบหอบเอาหมอนหนึ่งใบเดินตรงดิ่งไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่คอยยืนต้นให้ร่มเงา ข้างกันนั้นมีแคร่ขนาดกลางตั้งอยู่ หลังจากกินอิ่มหนังตาก็ชักจะเริ่มหย่อน อยากนอนเอาแรงสักงีบ เมื่อคืนท่านอ๋องเอาแต่นอนเพ้อและยังมีไข้อ่อน ๆ ตัวนางที่นอนอยู่ด้านล่างต้องสะดุ้งตื่นขึ้นดูแล แทบไม่ได้หลับได้นอน
เมื่อถึงที่หมายหัวถึงหมอนนางก็หลับเป็นตายทันที ทางด้านเหลียงเฟิงหลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ เขาคิดจะฝึกวิชาดาบเพื่อย่อยอาหาร กายหนาหยิบเอาดาบคู่กายขึ้นมา ก่อนจะก้าวอาด ๆ ออกไปลานหน้าบ้าน
ชายหนุ่มถอดอาภรณ์ชิ้นบนออกจนหมด เผยให้เห็นมัดกล้ามที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการต่อสู้ ผิวที่มิได้ขาวจนเกินไปแต่ดูสุขภาพดี ยามถูกแสงแดดส่งกระทบมันกลับมันวาวเนียนละเอียดน่าจับต้อง กายหนาวาดแขนออกไปแต่ละครั้ง มันยิ่งขับเน้นกล้ามเนื้อให้เห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ท่วงท่าการฟันดาบก็ช่างสง่างามจนไม่อาจละสายตา ผิวที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อมันแวววาว ยากที่จะทำให้ผู้พบเห็นละสายตาจากเขาไปได้เลย
“อนุหนิงขอรับ” มู่หลางยืนเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่ด้านหลังหนิงเซียน ที่ในตอนนี้นางกำลังนั่งกอดหมอนมองท่านอ๋องฝึกเพลงดาบไม่วางตาเอ่ยทักขึ้น ทว่าหากสังเกตให้ดีไหล่หนาตอนนี้มันสั่นเทิ้มไปหมด
“ว่าอย่างรายยยยย”
“น้ำลายไหลขอรับ”
“......?” หนิงเซียน ข้ามุดดินหนีตอนนี้ได้หรือไม่
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน