ในท้องพระโรงที่ว่าราชการของฮ่องเต้ ยามนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนอลหม่าน ทว่าทุกคนก็หาได้มีผู้ใดกล้าส่งเสียงใดๆ ไม่ ต่างพากันยืนก้มหน้าตัวลีบกันทั่วทุกคน เมื่อมองเห็นสายพระเนตรดุดันที่จ้องมองลงมาราวกับว่าพร้อมจะออกคำสั่งประหารทุกคน
จ้าวเฟยเซียนยืนอยู่ด้านขวาของพระหัตถ์ฮ่องเต้ ดวงตานางเปล่งประกายกร้าวแกร่ง ยิ่งเสียงหมอหลวงวัยชราเอ่ยถึงอาการบุตรสาวว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ดวงหน้างามยิ่งเผยรังสีอำมหิตมากขึ้นทุกที
“กราบทูลฝ่าบาท คุณหนูท่านแม่ทัพมีแผลเลือดออกที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง ลักษณะคล้ายถูกหินครูดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่เข่ามีรอยแตกคล้ายกับถูกกระแทกแรงๆ และก็ยังมีรอยเหมือนถูกลากจนผิวหนังถลอกถึงเนื้อด้านใน ที่ขามีรอยช้ำเหมือนถูกทุบด้วยของแข็ง ที่สำคัญ ไหล่ทั้งสองข้างของนางนั้นกระดูกข้อต่อหลุด แต่กระหม่อมได้ทำการรักษาต่อให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนบาดแผลภายนอกคงต้องอาศัยเวลาทายาจนหายดีพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหมิงหลงอุ้มบุตรสาวไว้ในวงแขน ใบหน้าคมเข้มยามนี้มีริ้วรอยความโกรธ แม่ทัพไร้พ่ายตวัดสายตาไปที่ร่างอรชรของว่านเสียนเฟย พยายามสะกดกลั้นใจตนไว้ไม่ให้เข้าไปสังหารอีกฝ่ายให้ดับดิ้นเสียเดี๋ยวนั้นเลย
‘อวี้หลาง หากเจ้าคิดเข้าข้างสนมเจ้า ข้าจะเผาวังหลวงของเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลองไปเลยเชียว’
แม่ทัพหนุ่มได้แต่ถลึงตาบอกฮ่องเต้ผู้เป็นสหายเป็นนัยๆ พอว่านเสียนเฟยได้ฟังคำพูดของหมอหลวงวัยชรา หญิงสาวก็นึกอยากกรีดร้องเหลือเกิน ทำไมนังเด็กนั่นถึงได้เป็นขนาดนั้น นางไปทำมันตอนไหนกัน
จ้าวเหมยฮวามองใบหน้าที่บิดเบี้ยวจนแทบมองไม่เห็นความงามของว่านเสียนเฟย เด็กหญิงพลันลอบยิ้มใต้ผ้าคลุมเต็มใบหน้า แผลพวกนี้ล้วนเป็นนางที่ทำให้เกิด ไหล่ที่หลุดนั้นก็เป็นผลมาจากวิชาถอดกระดูกของมารดา จะเล่นงานอีกฝ่ายให้อยู่หมัด นางก็ต้องหงายไพ่เกทับสิ
“เจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่ เสียนเฟย!”
เสียงตวาดก้องสะท้อนท้องพระโรงน้อยครั้งนักที่จะได้ยิน เพราะยามปกติฮ่องเต้มักใจดี ไม่ค่อยเกรี้ยวกราดใส่ผู้ใด
ว่านเสียนเฟยคุกเข่าแนบศีรษะลงขนาบพื้น ใบหน้างามมีน้ำตานอง ร่างอรชรอ้อนแอ้นสะอื้นไห้จนตัวโยน ภาพสาวงามที่แลดูโศกสลด ทำเอาหัวใจชายหลายคนในที่นั้นถึงกับกระตุกวูบด้วยความสงสาร
“ฝ่าบาท คุณหนูสกุลจ้าวลบหลู่ก้าวร้าวไม่ให้เกียรติหม่อมฉัน แถมยังด่าว่าหม่อมฉันเป็นสัตว์เดรัจฉานเพคะ หม่อมฉันเป็นสนมแต่งตั้งของพระองค์นะเพคะ สมควรแล้วหรือที่นางจะทำเยี่ยงนี้ ขอพระองค์ทรงให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วย”
อวีัหลางฟังคำนาง ในใจพลันเริ่มมีความลังเลมิน้อย หากหลานสาวเอ่ยเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นการลบหลู่มาถึงพระองค์ด้วย เพราะอย่างไรเสียว่านเสียนเฟยก็คือสนมของเขา ด้วยวัยและความอาวุโสของอีกฝ่าย ต่อให้มิใช่พระสนมขั้นสูงก็ยังมิควร
เช่นนั้นหากพระองค์ลงโทษว่านเสียนเฟยด้วยเรื่องนี้ มีหรือจะไม่ถูกผู้คนโจษจัน สกุลว่านต้องออกมาพลิกคำช่วยเหลือว่านเสียนเฟยเป็นแน่ ตามหลักกตัญญูของต้าเฉิน ผู้อาวุโสสั่งสอนผู้เยาว์นั้นไม่ใช่เรื่องผิดอันใด เหล่าขุนนางที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ แม้ไม่เอ่ยปากออกวาจาใด ทว่าในใจแต่ละคนล้วนเห็นพ้องต้องกันเช่นเดียวกับฮ่องเต้
ว่านเสียนเฟยคือพระสนมผู้สูงศักดิ์ แล้วคุณหนูจ้าวนางเป็นใคร แค่พูดถึงความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่แล้วไซร้ นางก็ยังมิบังควรกระทำตนเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าบรรดาผู้คนในท้องพระโรง ตลอดจนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสวามี ต่างมีท่าทีคล้ายเห็นใจนาง ว่านเสียนเฟยก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มในที ยิ่งแสร้งสะอื้นไห้ไร้เสียง
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพ่อเลิกเป็นแม่ทัพได้ไหมเจ้าคะ” จู่ๆ เสียงใสเล็กก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าที่ถูกปิดด้วยผ้าจนเหลือให้เห็นเพียงดวงตากลมโต บัดนี้มีน้ำใสไหลเต็มหน่วยตา แลดูน่าสงสารยิ่งนัก
จ้าวหมิงหลงกระชับแขนก่อนถามบุตรสาวอย่างฉงน “ฮวาเอ๋อร์ ทำไมลูกจึงพูดเยี่ยงนี้ล่ะ”
“พระสนมบอกว่า แม่ทัพเปรียบเหมือนข้ารับใช้ทั่วไป นางสั่งให้ตายท่านพ่อก็ต้องตาย นางยังบอกอีกว่าตำแหน่งแม่ทัพนั้นไม่อาจเทียบตำแหน่งพระสนมตราตั้งอย่างนางได้ ฮวาเอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านพ่อถูกสั่งให้ตาย เหมือนจิงหยูที่แค่พาลูกไปดูดอกไม้ก็ถูกสั่งลงโทษตายแล้วเพคะ”
คำพูดเรียบง่ายภายใต้น้ำเสียงใสสั่นๆ แลเห็นความซื่อตรงแบบเด็กไร้เดียงสา ทำให้หลายคนในที่นั้นบังเกิดความรู้สึกเห็นใจมิน้อย
เด็กน้อยอายุเพียงเท่านี้ แต่กลับมีท่าทีและคำพูดหวาดผวาเยี่ยงนี้ หากมิใช่ผู้ใหญ่กระทำ ไฉนเลยจะเป็นอย่างที่เห็นได้ ทุกคนต่างพากันส่งสายตาตำหนิไปยังว่านเสียนเฟย
จ้าวเหมยฮวาลอบยิ้มพึงใจ เมื่อเห็นสายตาทุกคนมองพระสนมคู่กรณีด้วยสีหน้าและแววตาไม่พอใจ เคยมีคำกล่าวเอาไว้ว่า…
‘จะตีเหล็กควรต้องตีตอนร้อน’ ดังนั้นนางจึงยินดีอย่างยิ่งที่จะเพิ่มความร้อนเข้าไปอีก
“นะเจ้าคะท่านพ่อ ละ...ลูกไม่อยากให้ใครมาสั่งฆ่าท่านพ่อ และลูกก็ไม่อยากเห็นใครมาด่าท่านแม่ว่าเป็นนางแพศยา ลูกไม่อยากถูกสั่งตัดลิ้นเหมือนอย่างวันนี้ ถ้าท่านพ่อมาไม่ทันลูกคงได้กลายเป็นเด็กใบ้ไปแล้ว ฮึกๆ”
น้ำเสียงสั่นเครือบวกกับร่างเล็กๆ ในวงแขนที่สั่นสะท้านดุจคนกลั้นสะอื้นของบุตรสาวสุดรักสุดหวง ทำให้แม่ทัพไร้พ่ายยามนี้มีโทสะสูงเทียมฟ้า ไม่ต่างกับยามออกทำศึกทำสงครามเข่นฆ่าทหารแคว้นอื่นเลยทีเดียว
“ว่านเสียนเฟย เจ้ากล้าข่มเหงลูกสาวข้า สั่งตัดลิ้นนาง ด่าเมียข้าเป็นนางแพศยาไม่พอ ยังกล้าลบหลู่เกียรติภูมิตำแหน่งแม่ทัพแห่งตระกูลจ้าวของข้า หากวันนี้ไม่สังหารเจ้าเอาเลือดมาเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษ ไหนเลยข้าจ้าวหมิงหลงจะยังเป็นคนตระกูลจ้าวอยู่”
เสียงตวาดดุดันก้องไปทั่วท้องพระโรง ได้ยินไปไกลนับร้อยลี้ ด้วยพลังปราณกราดเกรี้ยวของร่างสูงที่ถูกปล่อยออกมาโดยเจ้าตัวไม่คิดควบคุม
ว่านเสียนเฟยเป็นเพียงพระสนมที่ไร้พลังยุทธ์ เมื่อถูกคุกคามด้วยพลังเสียงจากปราณ นางและเหล่านางกำนัลที่ไม่มีพลังยุทธ์ติดตัวต่างกระอักโลหิตบาดเจ็บภายในไปตามๆ กัน
แม้แต่อวี้หลางฮ่องเต้เองยังต้องเกร็งปราณเข้าต้านจนพระพักตร์ซีดขาว เฟยเซียนจับแขนผู้เป็นสามีไว้ ก่อนจะส่ายหน้าให้น้อยๆ
“เซียนเอ๋อร์... นางทำกับลูกเราขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะยอมอยู่อีกหรือ” แม่ทัพร้องถามฮูหยินตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดเมื่อถูกภรรยาเข้าขัดขวาง
ฮ่องเต้เป่าลมพรวด ในใจนึกโล่งที่น้องสาวห้ามน้องเขย เพราะพระองค์รู้ดีว่าสหายรักในยามนี้เปรียบประดุจพญามัจจุราชที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้คน แต่ด้วยศักดิ์ศรีฮ่องเต้ของพระองค์ หากหมิงหลงอาละวาด ห้ามไม่ได้จนมีการนองเลือดเกิดขึ้น พระองค์จะเอาพระพักตร์ไปมองหน้าผู้ใดได้อีกเล่า
‘อา... ยังดียิ่งนักที่เซียนเอ๋อร์ของพี่รู้ความไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม’
คิดพลางถอนพระทัยอย่างโล่งอก ก่อนจะต้องพระเนตรค้างแข็งไปพลัน เมื่อได้ยินคำน้องสาวสุดรักตอบสามี
“ไม่ใช่เช่นนั้นท่านพี่ ข้า... กำลังจะบอกท่านว่าข้าจะเป็นคนฆ่านางเอง!”
กล่าวจบร่างบางก็ดีดปลายเท้าพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันที ว่านเสียนเฟยนั่งคุกเข่าก้มหน้านิ่ง หลังจากกระอักโลหิต ในใจยังคิดเคียดแค้นศัตรู นางไม่โกรธแค้นจ้าวหมิงหลง ทว่าใจนั้นกลับคิดโทษจ้าวเฟยเซียนแทน
‘หากไม่มีนางแพศยานี่ แม่ทัพจ้าวก็จะเป็นของข้า ที่ชีวิตข้าต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้านังเฟยเซียน’
แม้ตัวนางจะไร้วรยุทธ์ แต่ยามนี้ด้วยไฟแค้นสุมทรวงดั่งลาวาปะทุ ทำให้ว่านเสียนเฟยขาดสติจะไตร่ตรองเรื่องราว เมื่อมองเห็นคนที่นางแสนเกลียดชังจึงลุกขึ้นผวาเข้าใส่
จ้าวเฟยเซียนเหินกายเข้ามาเห็นอีกฝ่ายลุกถลาใส่ตน นางจึงซัดฝ่ามือใส่ร่างอรชรของพระสนมสาวทันที ว่านเสียนเฟยกายสะท้านรู้สึกปวดร้าวอย่างยิ่ง แต่ในใจยังฮึดสู้ มือจับยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ดึงคว้าเอาปิ่นเงินที่ปักอยู่บนเรือนผมออกมากำไว้ในมือ
“...นังเฟยเซียน นังแพศยาตายเสียเถอะ”
เสียงคำรามดังก้องท้องพระโรง ก่อนที่แม่ทัพจ้าวกับอวี้หลางจะได้สติคิดทำสิ่งใด พวกเขาต้องตกตะลึงเมื่อสายตามองเห็นปิ่นเงินด้ามยาวที่เสียบเข้าท้องเฟยเซียนจนมิดด้าม ร่างระหงของฮูหยินแม่ทัพยืนนิ่ง ก่อนจะก้มมองที่ท้องตัวเอง นางยืนโงนเงนก่อนร่างจะทรุดลงฮวบ ท่ามกลางสายตาของทุกคนในที่นั้น
“เซียนเอ๋อร์!”
จ้าวหมิงหลงกับอวี้หลางร้องตะโกนลั่น ก่อนที่อวี้หลางจะพุ่งร่างเข้าไปเร็วกว่าแม่ทัพจ้าวที่มีบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขน
“ฮ่าๆๆ ข้าฆ่ามันได้แล้ว ฆ่านางจิ้งจอกแพศยา สมน้ำหน้าจงตายเสียเถอะ”
ว่านเสียนเฟยยามนี้ไร้สติไตร่ตรองใดๆ นางเห็นร่างบางของสตรีที่ตนเองเกลียดล้มลง ในใจนั้นล้วนไร้ความเกรงกลัวต่ออาญาโอรสสวรรค์โดยสิ้นเชิง
จะมีเหลือก็เพียงความยินดี ที่ได้เห็นศัตรูหัวใจผู้เป็นดุจหนามแหลมทิ่มแทงความรู้สึกของนางมาตลอดต้องมาปราชัยต่อหน้า
“ว่านเสียนเฟย นางหญิงชั่ว!”
ฮ่องเต้ตวาดคำรามสุรเสียงดุดัน ก่อนพระบาทของโอรสสวรรค์จะเหวี่ยงใส่ร่างพระสนมที่เคยโปรดปรานจนกระเด็นไปกองติดผนังท้องพระโรง
น้องสาวของพระองค์คนนี้ แม้มิใช่ร่วมอุทรกันมา แต่เพราะพระมารดาของนางที่ตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นเพียงพระสนมขั้นผิน คอยช่วยเหลือป้อนข้าวป้อนน้ำพระองค์ ในยามที่เป็นเพียงองค์ชายนอกสายพระเนตรพระบิดา ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจและเหลียวแล แม้กระทั่งพระมารดาของพระองค์เอง คำขอร้องเพียงหนึ่งเดียวของนางยามเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ปรารถนา มีเพียงขอให้ดูแลน้องหญิงตัวน้อยแทนนาง คำสั่งเสียนี้จึงเป็นดั่งสัญญาใจที่อวี้หลางยึดถือ
ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงน้อยพระองค์นี้จึงอยู่รอดปลอดภัยภายใต้ปีกของอวี้หลางฮ่องเต้ แม้แต่ในยามที่กวาดล้างเหล่าเชื้อพระวงศ์ ก็หาได้มีผู้ใดกล้าคิดแตะต้องไม่
ฮ่องเต้หนุ่มยืนนิ่งสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะตวาดเสียงลั่น
“ทหาร! รับคำสั่งเรา ว่านเสียนเฟยพระสนมขั้นเอกชั้นหนึ่ง มีจิตใจหยาบช้าไร้คุณธรรมอันดีงาม ประพฤติตนเสื่อมเสียไม่สมกับตำแหน่ง ให้ยึดทรัพย์ถอดออกจากตำแหน่ง สกุลว่านสั่งสอนบุตรไม่ดีพอ ทำให้ราชสำนักด่างพร้อย ให้ยึดทรัพย์ทั้งหมดแล้วขับออกนอกแคว้นก่อนตะวันตกดิน และห้ามสกุลว่านทุกคนหวนคืนกลับมาแคว้นต้าเฉินอีกตลอดไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสียงขานรับดังพร้อมเพียง ก่อนเหล่าทหารจะรีบสลายตัวแยกกันไปปฏบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน เพราะยามนี้พวกเขาทุกคนล้วนไม่มีใครอยากลองดีกับอารมณ์ของฮ่องเต้
“ฝ่าบาท... แล้วจะทรงให้ทำอย่างไรกับนางดีพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวกงกงเอ่ยถาม ก่อนจะหันหน้าไปทางร่างปวกเปียกคล้ายผ้าขี้ริ้วที่กองอยู่บนพื้นของอดีตเสียนเฟยพระสนมผู้เคยเป็นที่โปรดปราน อวี้หลางหันมามองร่างนั้นด้วยสายพระเนตรเย็นชา ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยพระพักตร์และสุรเสียงที่เย็นชาไม่แพ้กัน
“ส่งนางไปค่ายทหารของแม่ทัพมู่ ที่เฝ้าอยู่เมืองหน้าด่านแคว้นต้าอี้ แล้วบอกว่าเป็นของขวัญจากเรามอบให้ทุกคน”
หลิวกงกงได้ฟังคำสั่ง ในใจพลันสะท้านเฮือก ส่งไปเมืองหน้าด่านให้แก่ทหารทุกคน นับว่าเป็นการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งนักสำหรับสตรี นางคงต้องปรนนิบัติเหล่าชายชาตรีทั้งวัน แม้นมีชีวิตอยู่ก็คงมิสู้ตายแน่ๆ
ด้านแม่ทัพจ้าว ยามนี้กอดร่างภรรยาแน่น เขาคิดไม่ถึงเลยว่านางจะมาบาดเจ็บต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ทั้งที่เขาก็อยู่ด้วยแท้ๆ แต่กลับมิอาจช่วยอะไรได้เลย
จ้าวเหมยฮวายืนข้างผู้เป็นบิดา มือเล็กๆ พยายามดึงบิดาออกมาจากตรงนั้น
“ท่านพ่อถอยออกมา ให้ท่านหมอหลวงได้รักษาท่านแม่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงเด็กน้อยสั่น ใบหน้าน่ารักที่มีผ้าคลุมก้มลงสะอื้นไห้ไร้เสียงอย่างน่าสงสารยิ่ง จ้าวหมิงหลงรวบร่างเล็กมากอดในอก ก่อนจะปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อย่าร้องไห้ลูก แม่ของเจ้าต้องไม่เป็นอะไร”
ฮ่องเต้เดินมาหาน้องเขยกับหลานสาวด้วยพระพักตร์ไม่สู้ดี ในใจยามนี้รู้สึกผิดยิ่งนักที่ปล่อยให้งูพิษอยู่ข้างกาย จนสามารถแว้งกัดคนสำคัญของพระองค์ได้
“เซียนเอ๋อร์ นางจะต้องไม่เป็นอะไร”
จ้าวหมิงหลงมองใบหน้าผู้เป็นสหายและพี่เขยในเวลาเดียวกัน ก่อนจะหันไปมองภรรยา ที่ยามนี้หมอหลวงช่วยกันรักษาอยู่โดยไม่เอ่ยสิ่งใด
จ้าวเหมยฮวายืนร้องไห้น้ำตาไหลเงียบๆ จนร่างเล็กๆ นั้นสั่นสะท้านดุจจะขาดใจลง สร้างความเวทนาให้แก่ทุกคนที่พบเห็น
หมอหลวงวัยชราเงยหน้าจากร่างอรชรพลางส่ายหน้าถอนหายใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขามองแล้วให้หดหู่ยิ่งนัก
อวี้หลางกับหมิงหลงเห็นดังนั้นก็เร่งสาวเท้าเข้าไปยืนเบื้องหน้าร่างบางบนเตียง มองเห็นใบหน้านางที่หลับตาพริ้มไร้สีโลหิตคล้ายคนนอนหลับ พวกเขาเพ่งมองไปที่ทรวงอกที่ไร้การขยับนั้นตาไม่กะพริบ
“ไม่จริง!”