“เมมาแล้วค่ะคุณป้า” เมริสา หน้าเชิด หลังตรง วางท่วงท่าสง่าผ่าเผยเดินนวยนาดเข้ามาในงาน จนสามารถเรียกความสนใจจากสายตาแขกผู้มีเกียรติทั้งคนใหญ่คนโตที่มาร่วมอวยพรวันเกิดจรรยาได้เป็นอย่างดี
ไม่เว้นแม้กระทั่งนักข่าว ที่เมื่อครู่กำลังสัมภาษณ์ พิรญา ดาราสาวดาวรุ่งถึงเรื่องละครใหม่ที่กำลังมีแพลนเปิดกล้องเร็ว ๆ นี้ ก็กรูกันไปเก็บภาพผู้มาใหม่ ปล่อยให้ดาวเด่นของงานเมื่อครู่ลอยค้างเติ่งอยู่บนยอดเขาจวนเจียนจะสะดุดขาตัวเองร่วงหล่นลงมาเต็มที “สวสดีค่ะคุณป้า” เมริสาแอบลักลอบยักคิ้วหลิ่วตาใส่สามีเล็กน้อยในจังหวะที่กำลังก้มศีรษะลงไหว้สวัสดีคุณป้าจรรยา ธนาธิปยอมรับว่าเธอดูสวยผิดหูผิดตาไปจากทุกวันจริง เขาล่ะนึกว่าลูกสาวคนเดียวของคุณอาทั้งสองจะมีแค่มุมที่หน้าสด ขมวดผมไว้กลางหัว และสวมใส่เพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่โคร่งซะอีก เพราะเขากลับบ้านไปทีไรก็มักจะเห็นแต่ภาพเดิม ๆ จนชินตา แต่วันนี้เธอปล่อยผมยาวสลวยสยายถึงกลางหลัง เรือนร่างบอบบางคล้ายหุ่นนางแบบสวมใส่ชุดเดรสสีชมพูอ่อนของแบรนด์ดังระดับโลก ส่วนด้านบนมีลักษณะเหมือนเกาะอกโค้งรูปหัวใจทับด้วยเนื้อผ้าชีฟองบาง ๆ อีกชั้นหนึ่งร้อยผูกคอไว้ท้ายทอย ปล่อยชายกระโปรงยาวเพียงบนหัวเข่า บริเวณสะโพกตกแต่งด้วยโบว์ขนาดใหญ่ด้านข้างและห้อยสายระย้าลงมา แมทซ์กับสร้อยคอจี้เพชร สร้อยข้อมือประดับ คู่กระเป๋าถือราคาเฉียดล้านได้อย่าลงตัว สมแล้วที่ออกงานสังคมทีไรผู้คนเขาร่ำลือถึงการแต่งตัวของเธอว่าสวยดึงดูดทุกสายตาจนเจ้าจองงานหมองไปเลย “ทำไมตาธันบอกว่าหนูเมไม่สบายไม่ใช่เหรอจ้ะ” จรรยารับไหว้หลานสะใภ้ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป “พี่ธันวาบอกคุณป้าแบบนั้นเหรอคะ” เธอแสร้งตีหน้าใสซื่อ “หากพี่ธันวาบอกแบบนั้น ก็คงแบบนั้นล่ะค่ะ” ดูคล้ายจะเอนเอียงตามคำพูดธันวา แต่กลับตรงกันข้าม เธอสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนที่โดนกระทำทว่าออกตัวปกป้องสามี ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วต้องการบอกกลาย ๆ ว่า นายธันวาโกหก!! ซึ่งดูเหมือนคนในงานก็พอคาดเดาได้ความจริงมันเป็นยังไง “แล้วนี่หนูเม มากับใครเหรอจ๊ะ” ประไพศรี เพื่อนในแวดวงคุณหญิงคุณนายสังคมผู้ลากมากดีเอื้อนเอ่ยถามด้วยควมอยากรู้อยากเห็น เมริสาหลุบตาลงมองต่ำ ก้มหน้างุด แล้วเม้มริมฝีปากเข้าหาเล็กน้อยก็ยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่ “เมนั่งแท็กซี่มาค่ะคุณป้า เมต้องกราบขอโทษคุณป้าจรรยาและคุณป้าทุก ๆ คนด้วยนะคะที่มาช้า พอดีว่าเมยืนโบกแท็กซี่อยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะมีแท็กซี่แวะรับน่ะค่ะ” ได้ยินเมริสาพูดออกมาเช่นนี้ เสียงซุบซิบนินทาก็เริ่มดังขึ้นจนหนาหู บ้างก็ยกฝ่ามือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจเพราะใครต่างก็รู้ว่าคุณเกียรตินครและคุณพรพรรณรักลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวอย่างเมริสามากแค่ไหน ชนิดที่ว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แต่ธันวากลับปล่อยให้เธอยืนโบกแท็กซี่รอเป็นครึ่งชั่วโมงแถมยังมาพูดจาโกหกใส่ความว่าเธอไม่สบายจึงมาร่วมงานไม่ได้อีกด้วย “เมริสา” ธนาธิปตะลึงไปพักหนึ่ง ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าเมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้กำลังแสร้งพูดเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาเป็นคนใจจืดใจดำปล่อยให้ภรรยาโบกแท็กซี่กลางค่ำกลางคืน ทั้ง ๆ ที่ความจริงเป็นยังไง เธอเองก็น่าจะรู้แก่ใจดี “ตายจริง ตาธัน ทำไมปล่อยให้หนูเมนั่งมาแท็กซี่มาล่ะ” คุณจรรยาหันไปดุหลานชาย “คุณป้าอย่าว่าพี่ธันเลยนะคะ” เมริสายังคงแสดงละครในบทบาทนางเอกผู้แสนดีที่โดนกระทำต่อหน้าแขกภายในงานอย่างแนบเนียน จนไม่มีใครสามารถจับพิรุธเธอได้เลยสักคน ยกเว้นธนาธิปที่รู้เบื้องลึกตื้นหนานิสัยใจคอของผู้หญิงแบบเมริสาดี แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำถึงขนาดนี้ “บังเอิญว่าเมื่อตอนเย็นคุณพิญญาโทรมาหาพี่ธันว่ารถเสีย พี่ธันก็เลยต้องไปรับที่บ้านน่ะค่ะ” ว่าพลางก็เดินเข้าไปคล้องแขนแกร่งกำยำ "เม..." ธันวาขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน หรี่ตามองเจ้าของใบหน้าใสซื่อคล้ายกับต้องการถามว่า 'เธอกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่เมริสา!' เหอะ และคงจะต้องพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใจเย็นอีกเช่นเคย "ตั้งแต่เเต่งงานกันมา ตัวเมเองสัมผัสได้ว่าพี่ธันเนี่ยเป็นคนดีมาก จริง ๆ นะคะ" พูดพลางพยักหน้าเพื่อต้องการเน้นย้ำว่าเป็นเช่นนั้นจริง "ไม่ว่าคนอื่นจะโทรมาขอความช่วยเหลือดึกดื่นแค่ไหน อาจจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย ก็อกน้ำเสียบ้าง ไฟดับบ้าง พี่ธันก็ไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง คนที่คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเนี่ยน่ายกย่องว่าไหมคะพี่ธัน” เมริสาแหงนหน้าขึ้นไปมองธันวาที่กำลังพยายามระงับอารมณ์ของตนเองไม่ให้หลงกลตกหลุมพลางที่อีกฝ่ายสร้างไว้ คำว่า คนอื่น เมื่อครู่ อาจหมายถึงโดยรวมไม่ได้พูดระบุเจาะจงแน่ชัดว่าคือใคร แต่ก็พอสามารถคาดเดาชี้ตัวได้คงไม่แคล้วไปจากดาราสาว พิรญา คนที่เคยมีข่าวว่าแอบลักลอบคบหากับธนาธิปแบบลับ ๆ ช่วงก่อนที่เมริสาจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของธันวาพร้อมทะเบียนสมรสเมียตามกฎหมาบที่ถืออยู่ในมือ ข่าวดาราสาวอักษรย่อ พ.พาน ลักลอบมีความสัมพันธ์ กับนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอักษรย่อ ธ.ธง ชาวเน็ตขุดคุ้ยจนได้ทราบว่าคือ พิรญา และ ธนาธิป ซ้ำยังมีรูปหลุดที่ทั้งสองไปเที่ยวทะเลด้วยกันที่หัวหินอีกด้วย ซึ่งช่วงนั้นก็คบหากันจริง ได้ประมาณห้าหกเดือน ก่อนที่เมริสาจะดังกระฉูดจากละครช่องหลากสีในบทบาทนางเอกเจ้าน้ำตา และกำลังมีกระแสจิ้นกับดาราหนุ่มซึ่งเป็นผลให้ได้งานทั้งโฆษณา พรีเซนเตอร์ แขกรับเชิญ อีกมากมายตามมา จึงกลัวว่าจะเสียการเสียงาน สูญเสียแฟนคลับไป ก็เลยปรึกษากับธันวา แล้วออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันว่าตนไม่ได้มีความสัมพันธ์กับธนาธิปเกินสถานะเจ้านายกับลูกน้อง! ภาพที่เห็นทะเลหัวหิน ก็เป็นเพียงการทำงานเท่านั้น!! ข่าวก็เงียบไป และอาจโด่งดังขึ้นอีกครั้งหลังจากได้ยินคำพูดจากเมริสาในวันนี้ "ใช่จ๊ะ ตาธันพาหนูไปหาอะไรกินไป" คุณจรรยารีบตัดบท "ครับ" ... "คิดจะทำอะไรกันแน่เมริสา!" ธนาธิปพาหญิงสาวเลี่ยงออกมาด้านนอก ก่อนที่เธอจะก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายไปมากกว่านี้ นั่นไง! เธอคิดไว้ไม่มีผิด เขาต้องพูดและใช้สายตาแบบนี้! ผู้ชายอะไร๊ โกรธจนควันออกหูแต่ยังคงวางมาดลุคผู้ลากมากดีเอาไว้ สวมใส่หน้ากากเข้าหาเธอตลอดเวลา "เมเปล่านะคะพี่ธัน" เธอปฏิเสธด้วยแววตาใสซื่อ แต่มันไม่ได้ดูน่ารัก น่าเอ็นดูเลยสักนิด! ในทางกลับกันเขามองว่ามันน่ารำคาญลูกหูลูกตาเสียอีก "เมื่อกี้พี่ธันก็น่าจะได้ยินนะคะว่าเมพูดชม พูดสรรเสริญเยินยอว่าพี่ธันเป็นคนดีมากแค่ไหน" "เมริสา!" ธันวากดเสียงต่ำ กระชากเรียวแขนบางคว้าหมับด้วยความโมโหที่โดนเธอปั่นประสาทยั่วยุอารมณ์ เหอะ คิดว่าคนแบบอีเมจะยอมแพ้รึไง เปล่าเลย เธอยังคงเชิด ทำใจดีสู้เสือ สบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว "ว่าไงคะพี่ธัน" คำว่า พี่ ยิ่งชวนให้ธันวารู้สึกโมโหเข้าไปใหญ่ เพราะรู้ดีว่าเธอกำลังกวนประสาทและใช้ถ้อยคำกระแทกแดกดัน ร้อยวันพันปีตั้งแต่แต่งงานกันมา พออยู่ลับหลังคนอื่นเธอก็มักจะใช้สรรพนามที่เว้นระยะห่างไม่ให้ใกล้ชิดหรือล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันมากจนเกินไปเช่นเดียวกับเขา คือ แทนตัวเองว่า ฉัน และ แทนเขาว่า คุณธัน "มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้เหรอคะ"งานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายมีแค่คนภายในครอบครัวไม่มีอยู่จริง...ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของหล่อนแต่งงานกับลูกสะใภ้ที่โปรดปรานนักโปรดปรานหนาอย่างหนูเมริสาทั้งทีมีหรือคุณผกาวรรณจะยินยอมให้มันไม่เอิกเกริกยิ่งใหญ่...ซึ่งในช่วงเช้าเป็นพิธีทำบุญตักบาตร สวมแหวน รดน้ำสังข์ ซึ่งมีเพียงคนภายในครอบครัวที่มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างอบอุ่นวันนี้เมริสาสวมชุดไทยสีชมพูหวานมีสไบพาดเฉียงไปด้านหลัง ตัวเนื้อผ้าถูกตัดเย็บและปักสลักอย่างละเมียดละไม แต่งหน้าจนดูสวยผิดหูแปลกตา ทรงผมมัดเป็นหางม้าแต่ม้วนลอนเรียงลงมาคล้ายกับเกลียวคลื่น ดูอย่างไรก็เข้ากัน...ส่วนธนาธิปด้านบนเป็นเสื้อสูทสีชมพูโทนเดียวกับเจ้าสาวแสนสวย ด้านล่างสวมใส่โจงกระเบนสีเข้มกว่าเล็กน้อยกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับขันหมากโดยมีพ่อกับแม่ขบาบข้างเป็นญาติผู้ใหญ่ทาบทามสู่ขอ..."โฮ ฮี๊ โห่ ฮี๊ โฮ ฮี๊ โห่ ฮี๊ โฮ โฮ โฮ๊ โฮ โฮ๊" "ฮิ้ววววว" "โฮ ฮี๊ โห่ ฮี๊ โฮ ฮี๊ โห่ ฮี๊ โฮ โฮ โฮ๊ โฮ โฮ๊" "ฮิ้ววววว" "ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว ใครมีลูกสาว มาแลกลูกเขย ฮู้วววว" เสียงร้องรำทำเพลงดังครึกครื้นด้านหน้าบ้าน... ถึงแม้ว่านี่จะเป็นงานแต่งงานครั้งที่สอง แต่ก็เป็นครั้
ธนาธิปประกบจูบลงบนริมฝีปากอวบอิ่มอย่างละเมียดละมัยนุ่มนวลแล้วค่อย ๆ ชำแรกปลายลิ้นเข้าไปควานหาน้ำหวานในโพรงอุ่นดูดดึงหยอกเย้ากอบโกยความสุขเสพสมจากกันและกันนานสองนานจนภายในกายมันอบอวลไปด้วยไอรักอยู่เต็มเปี่ยมไม่รู้ และคงไม่พยายามคิดหาคำตอบว่าต้นรักต้นเล็ก ๆ ที่มันก่อเกิดอยู่กลางใจจนรากของมันชอนไชยึดเหนี่ยวเราทั้งสองคนเอาไว้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทราบเพียงแค่ว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็จะรักษาและดูแลมันให้คงอยู่ไปตลอด ทั้งสองค่อย ๆ ผละจูบออกจากกัน ฝ่ามือของธนาธิปเลื่อนขึ้นไปจับประคองศีรษะของหญิงสาวเอาไว้แล้วให้หน้าผากชนชิดรวมถึงปลายจมูกที่แตะสัมผัสกัน ก่อนจะขยับลงมาจุมพิตพวงแก้มนุ่ม ๆ ฟอดใหญ่ ทุกการกระทำของเขาคล้ายกับขนนกที่ปลิวผ่านปุยเมฆมันทั้งนุ่มนวล อบอุ่นจนใจเธอสั่นสะท้าน เขาไม่ได้รุนแรง หรือรุกอย่างฉาบฉวยแต่กลับทำให้เธอค่อย ๆ รู้สึกโอนเอนอ่อนไหวตามต่างหาก"ขอบคุณนะเมที่ให้โอกาสคนโง่ ๆ แบบผม" "ค่ะ" "กลับมาเป็นเมริสาเหมือนคนเดิมนะ รู้หรือเปล่าตอนที่คุณเปลี่ยนไปใจผมมันหดแทบจะเหลือเท่าปลายนิ้วก้อยอยู่แล้ว" ชายหนุ่มหย่อนสะโพกลงนั่งบนโซฟาแล้วถือวิสาสะรั้งตัวเธอเข้ามาโอบกอดเอาไว้
เมริสาวางไอแพดลงบนที่นั่งก่อนจะลุกขึ้นพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง เธอไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกบ้าบอนี้เอาไว้จนมันหนักอกหนักใจได้อีกต่อไปแล้ว เขามากล่าวโทษว่าเธอพยายามหลบหน้า เปลี่ยนแปลงไป คิดอะไรรู้สึกอะไรทำไมไม่บอกเขาตามตรง แล้วเขาล่ะเคยรู้บ้างหรือเปล่าว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันกำลังทำร้ายใครอีกคนที่เขาเผลอคิดไปเอง! "คุณมาทำให้ฉันรู้สึกดี มาทำให้ฉันคิดเข้าข้างตัวเองว่าคุณรู้สึกอะไรกับฉัน จนฉันเผลอถลำตัว...และสุดท้ายคุณก็มาบอกว่าที่คุณทำไปทั้งหมดจริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย คุณแค่ต้องการให้เราจบกันด้วยดี คุณแค่ต้องการให้วันหย่ามันเป็นไปได้อย่างราบรื่น คุณแค่ต้องการตอบแทนที่ฉันช่วยเหลือคุณ คุณไม่ได้คิดอะไรกับฉันเลย! แล้วคุณเคยรู้หรือเปล่าว่าฉันคิด คุณแม่งไม่เคยรู้ไง!!! แต่พอฉันเริ่มตีตัวออกห่าง รักษาระยะห่างเซฟความรู้สึกของตัวเอง คุณกลับพยายามเข้าหา พยายามทำให้ฉันกลับไปอยู่ที่จุดเดิม คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เป็นเหี้ยอะไรห๊ะ ถ้าไม่รักไม่คิดอะไรด้วยก็ต่างคนต่างอยู่ จอบอ จบ” ได้ยินคำพูดของเมริสาไปธนาธิปถึงกับนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว "คุณรู้หรือเปล่าคุณธันวา ก็การกระทำของคุณไง ไ
"ก็แปลกสิ คุณลองคิดดูนะเมื่อก่อนโน้นคุณไม่แม้แต่อยากที่จะเสวนาหรือเจอหน้าฉันด้วยซ้ำ เดินผ่านแทบจะชนกันอยู่แล้วคุณก็ยังทำเหมือนฉันเป็นธาตุอากาศไม่มีตัวตน แต่เดี๋ยวนี้คุณ..." หญิงสาวไม่รู้ว่าควรใช้คำพูดแบบใดดีที่จะไม่ดูหลงตัวเองจนเกินไป...ถึงแม้ใจจริงอยากถามมากแค่ไหนที่เขาทำแบบนี้เพราะรู้สึกอะไรกับเธอหรือเปล่า แต่ก็ทำได้เพียงเงียบเอาไว้ เรื่องอะไรทำนองนี้ต้องให้ผู้ชายเป็นคนพูดก่อน...แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ที่เขาจะสารภาพกับเธอสักที ไหน ๆ การกระทำมันก็ชัดเจนขนาดนี้แล้วเหลือแค่รอพูดออกมาอย่างเดียวเท่านั้น "เอ่อ...ผมก็แค่คิดว่าถ้าเกิดเราสองคนผูกมิตรกันไว้คงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ไหน ๆ ก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะหลุดพ้นจากพันธะใบทะเบียนสมรส ผมเองช่วงนั้นก็ขอความช่วยเหลือให้คุณมาสวมบทบาทคนรักให้อยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน ผมเลยคิดว่าทำดีใส่กันเข้าไว้ ตอบแทนเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไร" ธนาธิปตอบไปตามความจริง เขาเป็นนักธุรกิจไม่มีทางที่จะทำอะไรแล้วไม่หวังผลประโยชน์แน่นอน... ได้ยินแบบนั้นใจเธอมันก็แป้วแปลก ๆ รู้สึกวูบโหวงอย่างไรก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเคยชินได้แ
พอหลังจากนั้นประมาณเดือนกว่า ๆ คุณพ่อของเธอก็ล้มป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ จึงตัดสินใจยกตำแหนงให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างเมริสาเข้ามาดูแลและนั่งแท่นซีอีโอบริษัทแทน โชคดีที่เธอมีธนาธิปข้างกาย เขาจึงคอยมอบคำแนะนำและคอยซัพอร์ต ส่งผลให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้จะยังไม่คล่องแคล่วสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าพัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนมาก ๆ เพราะพื้นฐานแล้วเมริสาเป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่ง และ ฉลาด เพียงแต่เกียจคร้านจะหาเหาใส่หัวพาตัวเองไปลำบากเท่านั้น แต่พอภาระหน้าที่มันมากองรออยู่ด้านหน้าอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอก็ต้องจำใจรับเอามาดูแล ทางโน้นพอรู้ว่าคุณเกียรตินครป่วยหนัก อาจเดินไม่ได้ตลอดชีวิต ซ้ำยังทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตนให้กับเมริสาลูกสาว และ อดีตภรรยา ซ้ำยกให้หล่อนเพียงบ้านหลังนี้กับเงินในบัญชีธนาคารยี่สิบกว่าล้านเท่านั้น จึงไม่อยากเก็บเขาไว้เป็นภาระที่จะต้องมาคอยดูแล ป้อนข้าว ป้อนน้ำ อย่างกับคนใช้ ก็เลยถีบหัวส่ง พาคุณเกียรตินครกลับไปให้เมียเก่าดูแล ส่วนหล่อนก็ใช้เงินที่ปอกลอกจากอีกฝ่ายมาได้ด้วยความสเน่หาอย่างสบายใจ หรือไม่ในอนาคตข้างหน้าก็อา
ซ่า!!!! น้ำเย็นยะเยือกถูกสาดใส่รดศีรษะของหญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูหวานซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ แขนสองข้างไขว้หลังและถูกมัดกันไว้ด้วยเชือกที่ไม่สามารถดิ้นหลุดได้อย่างง่ายดาย"กรี๊ด!!!" พิรญาสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจก่อนจะเพ่งสายตาหันไปมองคนที่กล้ากระทำกับดาราสาวอันดับหนึ่งอย่างเธอ คอยดูเถอะเธอจะโพสต์ประจานเอาให้ไม่สามารถมีที่ยืนอยู่บนสังคมได้เลย "พวกแกเป็นใคร จับตัวฉันมาทำไม ปล่อย!!! ปล่อยนะ ปล่อย" หญิงสาวพยายามดิ้นพล่านเพื่อให้หลุดออกจากเชือกที่พันธนาการมัดข้อแขนและข้อเท้าอยู่ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ตัวเธอก็เจ็บมากเท่านั้น "ก็เป็นเมียของคนที่แกเล่นชู้ด้วยไง!" จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวเข้ามา หล่อนคนนั้นสวมใส่กางเกงยีนส์และเสื้อของแบรนด์ชั้นนำพร้อมด้วยสะพายกระเป๋าราคาแพงเฉียดหลักสิบล้าน แต่มีแว่นตาปกปิดอยู่จึงมองไม่ออกว่าเป็นใคร ถึงถอดแว่นออกมา ก็ใช่จะรู้ว่าเมียของคนที่เล่นชู้ด้วยคือใคร! บ้าบอ ผู้ชายในสต็อกที่เคยคั่วด้วยก็มีตั้งหลายคนแล้วจะไปทราบได้ยังไงถ้าเกิดไม่เอ่ยชื่อบอกมา เหอะ ถึงเอ่ยก็ไม่รู้ว่าจะจำได้อีกหรือเปล่า! "ใคร?" "คงจะเล่นชู้กับผัวชาวบ้านมาหลายค