LOGINคอนโด นิวาริน
20:20 น.
นิวารินยืนหน้าคอนโดตัวเอง รอคนขับรถที่เจ้าของห้าง J.K ชื่อดังส่งมารับไปงานเลี้ยง เธอแต่งกายด้วย
ชุดเดรสสั้นสีขาว ชุดประดับด้วยกระดุมวงกลมเรียงแถวตรงกลาง ใบหน้าเรียวสวยไร้ที่ติแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางอ่อน ๆ โทนชมพูให้ความสวยหวานสไตล์คุณหนู ต่างจากลุคสาวทำงานเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
“ทำไมไม่มาสักทีนะ” ก้มมองนาฬิกาเพชรเรือนแพงบนข้อมือ พบว่าเลยเวลาที่นัดหมายเกินสิบห้านาที จึงชะโงกหน้ามองไปที่ถนนอีกครั้ง เวลานี้รถบนท้องถนนในเมืองหลวงยังวิ่งสวนกันไปมา มองจนตาลายไปหมด แต่ไม่มีวี่แววว่ารถคันไหนจะใช่เลย
Rrrrrrrrrrr
ระหว่างนั้นเสียงริงโทนจากสายเรียกเข้าก็ดังขึ้น นิวารินละสายตาจากถนน ล้วงมือหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูในกระเป๋าถือราคาแพงขึ้นมา นิ้วเรียวกดรับสายทันทีเมื่อรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอสี่เหลี่ยมคือเลขาคนสนิท
“จ้ะ”
“ดากับพี่เคทถึงแล้วนะคะ พี่นิลใกล้ถึงยังคะ”
ตกลงรับน้ำใจจากเจ้าของห้างชื่อดัง จึงให้เลขา
คนสนิทไปพร้อมกับบอดี้การ์ดสาว แต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังตัดสินใจผิดพลาด เนื่องจากคนที่เจ้าของห้างชื่อดังส่งมารับ เขาคนนั้นยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น
“คนของคุณองศายังไม่มาเลยจ้ะ”
“เอ้า! ไม่ตรงต่อเวลาเอาซะเลย งั้นให้พี่เคทไปรับเลยไหมคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ รถอาจจะติด รออีกสักหน่อยถ้าไม่มา เดี๋ยวพี่เรียกแกร็บไปก็ได้ค่ะ”
“เอาอย่างงั้นเหรอคะ?”
“จ้ะ”
“ดากับพี่เคทรอที่เคาน์เตอร์โรงแรมนะคะ”
“โอเคจ้ะ” ตอบรับเพียงสั้น ๆ ก็กดวางสาย แต่เพียงไม่กี่วินาที…
ตี๊ดดดด!!!
“กรี๊ดด!” เสียงบีบแตะรถยนต์ทำเอานิวารินตกใจสุดขีด จนหัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง ใครเล่นบ้าอะไร! เธอกลืนน้ำลายลงท้องอึกหนึ่งแล้วเงยหน้ามอง หัวคิ้วชนกันแน่น ขณะที่รถยนต์สีดำขับเข้าจอดตรงหน้า เธอเพ่งเล็งสายตามองคนขับผ่านหน้าต่างทึบ ก่อนที่หน้าต่างบานนั้นจะลดลง
“คุณอีกแล้วเหรอ” น้ำเสียงเบื่อหน่อยเอ่ยออก เมื่อเจ้าของใบหน้าหล่อดูดีราวกับพระเอกบนรถปรากฏ
แก่สายตา ไม่รู้โลกกลมหรืออะไรถึงได้เจอเขาอยู่ร่ำไป
“ขึ้นรถ”
“อย่าบอกนะว่าคนที่คุณองศาส่งมาคือคุณ”
“รู้แล้วก็รีบขึ้นมา!” น้ำเสียงห้วน ๆ เอ่ยออกด้วย
สีหน้ารำคาญ แววตาดุดันที่มองมาไม่น่าไว้ใจ ปฏิเสธก็กลัวจะเสียเวลา
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
เจ้าของใบหน้าสวยพึมพำเสียงเบา ให้ได้ยินคนเดียว ปราดตามองคนในรถพลางถอนหายใจ แล้วสาวเท้าเดินบนรองเท้าส้นสูงสีดำไปที่ประตูเบาะหลัง ไม่ทันได้เอื้อมมือเปิดประตูเสียงเข้มก็ดังขึ้นเป็นประโยคคำสั่ง…
“มานั่งข้างหน้า ผมไม่ใช่คนขับรถของคุณ”
“จิ๊!” นิวารินส่งเสียงในปากอย่างไม่ชอบใจ แต่เมื่อไม่มีทางเลือกจึงเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนนั่งข้างคนขับ
บรื้นนนนนน!
“ว้าย!” นิวารินไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งยังไม่ได้กด
ล็อกเข็มขัดนิรภัย กลับต้องส่งเสียงกรี๊ดออกมาทันควันด้วยหน้าตาแตกตื่น เมื่อคนขับเหยียบคันเร่งขับออกไปด้วยความเร็วโดยไม่บอกไม่กล่าวซึ่งมือก็ล็อกเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเธอกลัวความเร็ว แต่แค่ตกใจเท่านั้น
“ขับรถเหมือนคนปกติหน่อยไม่ได้เหรอคุณ” คิ้วเรียวสวยหม่นเข้าหากันยุ่ง ประโยคที่เปล่งออกมาตำหนิชายหนุ่ม ทว่ายังมีความอ่อนโยนอยู่ในน้ำเสียง แต่ดูเหมือนคำพูดของเธอไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสะทกสะท้าน กลับเร่งความเร็ว เร็วกว่าเดิม จนเธอต้องจับสายเข็มขัดนิรภัยแน่นด้วยความหวาดเสียว
“คุณ! ช่วยลดความเร็วลงหน่อยค่ะ” เขาขับรถแซงคันข้างหน้าด้วยความเร็วเกินมาตรฐานอย่างไม่กลัวอันตราย “ถ้าจะขับรถไม่กลัวตายแบบนี้ ก็จอดให้ฉันลงเดี๋ยวนี้”
“กลัวตายเป็นเหมือนกันเหรอ”
นิวารินขมวดคิ้วแน่น เมื่อได้ยินประโยคของคน ข้าง ๆ “ที่พูด หมายความว่ายังไง”
“มีสมองก็ลองคิดดูเองสิ”
“เอ๊ะ!” วาจาร้ายกาจแต่ละคำที่พ่นออกมาจากปากของชายหนุ่มชวนให้โมโห “ให้เกียรติกันหน่อย เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้น ที่คุณจะด่าว่าอะไรก็ได้”
นิรวารินกัดริมฝีปากแน่น เมื่อคำพูดของเธอเหมือนเป็นอากาศสำหรับเขา ครั้นสายตามองออกไปนอกรถอารมณ์เปลี่ยนผันทันที เนื่องจากทางที่เขากำลังมา ไม่ใช่ทางไปโรงแรมที่จัดงานเลี้ยง ซึ่งเส้นทางเธอคุ้นตาแปลก ๆ เหมือนเคยผ่านถนนเส้นนี้มาก่อน
“คุณจะพาฉันไปไหน”
“…”
“นี่คุณ! ฉันถามไม่ได้ยินเหรอ” จะพาไปฆ่าหรือเปล่านะ หรือหมอนี่!เป็นศัตรูของพ่อ “จอดรถเดี๋ยวนี้!”
“บอกให้จอดไง!” คนขับเอาแต่เงียบนิ่ง เหยียบคันเร่งขับไปด้วยสีหน้าน่ากลัว ทำเอาหญิงสาวร้อนใจ จนแทบนั่งไม่ติด
เอี๊ยดดดดดด!!
“อึก!” นิวารินหลับตาแน่น หอบหายใจออกมาหนัก ๆ ด้วยความตกใจ เมื่อภูตะวันหักพวงมาลัย แล้วเหยียบเบรกจอดรถตรงข้างฟุตบาทกะทันหัน ทำเอาหน้าผากของเธอเกือบกระแทกเข้ากับคอนโซนรถ
ปัง!ประตูรถฝั่งคนขับถูกปิดเสียงดัง จนหญิงสาวสะดุ้งตัวโหยง
“โอ๊ย!” นิวารินไม่ทันได้ตั้งหลักก็ถูกชายหนุ่มดึงลงจากรถอย่างป่าเถื่อน ก่อนจะถูกกระชากให้เดินตาม ด้วยความที่ใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้เธอแทบล้มลงบนพื้นฟุตบาท
“ทำบ้า!อะไรของคุณ ปล่อยนะ” ใบหน้าสวยบิดเบ้ด้วยความเจ็บข้อมือและเท้า
พรั่ก!
“อ๊ะ!” ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอย่างไม่อ่อนโยน จนเกือบล้มหน้าคะมำ
“จำได้ไหม เคยทำอะไรเลว ๆ ไว้ที่นี่”
“…” นิวารินกลืนน้ำลายลงท้องอึกหนึ่ง ยังไม่เข้าใจความหมายที่คนตรงหน้าพูด แต่เมื่อเลื่อนสายตามองไปตรงถนนที่ว่างเปล่าไร้รถคันอื่นขับผ่าน ทั้งที่ยังไม่ดึกมากขนาดนั้น เนื่องจากเป็นถนนนอกเมือง รถค่อนข้างสัญจรน้อย
แต่สามแยกไฟแดงตรงหน้าทำเอาม่านตาเบิกกว้าง จำได้ว่าถนนเส้นนี้เธอเคยเกิดอุบัติเหตุเพราะถูกศัตรูของผู้เป็นพ่อไล่ล่ามาก่อน ตั้งแต่เกิดเรื่องเธอไม่ขับผ่านถนนเส้นนี้อีกเลย
หมับ!
“อ๊ะ!” ระหว่างที่เผลอคิด ข้อมือก็ถูกร่างสูงกระชากให้เดินตามไปกลางถนน “นี่! ปล่อยนะ”
พรั่ก!
ตุบ!
“อ๊ะ!” เจ้าของใบหน้าเรียวสวยได้รูปส่งเสียง ครั้นถูกผลักจนล้ม บั้นท้ายกระแทกเข้ากับพื้นถนนจนรู้สึกเจ็บปวด
“ตรงนี้ไง ที่เมียฉันต้องมาตาย” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้นที่ฝังลึกในจิตใจ ซึ่งนิวารินรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้นของคนตรงหน้า ขณะภาพเมื่อหลายเดือนก่อนกำลังประดังประเดเข้ามาในหัวบวกกับประโยคของเขา จนตอนนี้เธอสับสนไปหมดแล้ว
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” หญิงสาวน้ำตาคลอหน่วย ก้มหน้านัยน์ตากลอกไปมาอย่างจิตตก เมื่อเริ่มจำเหตุการณ์สี่เดือนก่อนได้เกือบทั้งหมด รถคันนั้นที่เธอพุ่งชนพลิกคว่ำ แล้วหลังจากนั้น….
“เหอะ!” ภูตะวันเค้นเสียงออกมา มือหนาเสยผมบริเวณหน้าผากพลางดันปลายลิ้นเข้าหากระพุ้งแก้มย้ำ ๆ อย่างเหลือเชื่อ ผู้หญิงคนนี้ถามกลับมาอย่างไม่รู้สึกผิด
“อึก!” ภูตะวันย่อตัวให้เท่ากับคนตรงหน้า มือหนาบีบเข้าที่สองแก้มนุ่มจนเป็นร่องแล้วกระตุกดึงใบหน้าเรียวให้เงยขึ้นมาสบตา นิวารินที่ยังสับสนคิดไม่ตกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองตอนนี้ ก็ได้แต่นิ่ง หยาดน้ำสีใสค่อย ๆ ไหลกลิ้งออกหางตา
“ ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ อย่าหวังว่าเธอจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข จำไว้!”
“อึก!” ใบหน้าเรียวถูกผลัก หญิงสาวหอบหายใจถี่รัวด้วยความหวาดกลัว ไม่อยากรับความจริง หลังจากที่สมองปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอุบัติเหตุครั้งนั้น
ดูเหมือนข้อมูลที่เธอได้รับตลอดที่ความทรงจำช่วงหนึ่งหายไป จะตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
“เตรียมตัวรับมือไว้ให้ดี ๆ เพราะถ้าเธอพลาดเมื่อไหร่ ฉันเหยียบเธอให้จมดินแน่” ภูตะวันทิ้งท้ายด้วยประโยคเตือน แต่ดูเหมือนเป็นคำขู่เสียมากกว่า ก่อนจะเดินกลับไปที่รถ ปล่อยทิ้งให้นิวารินนั่งกลางถนนเพียงลำพัง
ทว่ารถยนต์ที่กำลังแล่นมาจากทางตรงขับมาด้วยความเร็วสูง จนต้องหันหน้ากลับไปมองคนที่นั่งนิ่งอยู่กลางถนน ด้วยสายตาที่มีความลังเล
“จิ๊!” ส่งเสียงในปากอย่างหงุดหงิด เมื่อรถคันดังกล่าวไม่บีบแตรส่งสัญญาณ หรือ ชะลอความเร็วลง
ทำราวกับไม่เห็นว่ามีคนอยู่กลางถนน ซึ่งสุดท้ายแล้ว…
พรึ่บ!
นิวารินเบิกตากว้างหน้าตาตื่นตระหนก เมื่อต้นแขนถูกกระชากให้ลุกขึ้นด้วยฝีมือของคนที่แรงเยอะกว่า ก่อนที่ทั้งร่างจะปลิวไปตามแรง จนล้มลงบนฟุตบาทไปพร้อมกับร่างใหญ่ แต่ดูเหมือนสายตาจะพร่ามัว ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับมืด
นิวารินมาถึงที่ผับปรากฏว่าโต๊ะเก้าอี้เกลื่อนบนพื้น บ้างก็แตกกระจายราวกับมีการสู้รบกันก่อนหน้าที่เธอจะมาถึง ครั้นจะไปที่โกดังผู้เป็นพ่อ ทว่าการ์ดร่างใหญ่กลับขวางทางไม่ให้เธอเข้าไปเสียอย่างนั้น นั่นแปลว่าผู้เป็นพ่อกับผู้ชายบ้าระห่ำคนนั้นเจอกันแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง “ถอยไป” “ไม่ได้จริง ๆ ครับคุณหนู” การ์ดคนดังกล่าวพูดด้วยความลำบากใจ เมื่อบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นถึงคุณหนูของบ้าน แก้วตาดวงใจของผู้เป็นนาย แต่เพราะคำสั่งของผู้เป็นนายตนจึงต้องทำตาม “จะให้รู้ถึงหูแม่ หรือจะปล่อยให้นิลเข้าไปที่โกดัง” หากเธอใช้มุกนี้อาจจะสำเร็จ เพราะคำสั่งของผู้เป็นแม่คือคำขาด ยกเว้นเสียแต่เรื่องของเธอ ที่ผู้เป็นพ่อยืนกรานหลังชนฝา การ์ดร่างใหญ่นับสิบที่ได้ยินต่างก้มหน้าเงียบกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ไม่มีใครยอมปล่อยให้คุณหนูของบ้านผ่านไปได้เช่นกัน “ถอยกันไปได้แล้ว” เน้นเสียงหนักเอ่ยสั่งด้วยความร้อนใจ หากช้าไปกว่านี้เกรงว่าผู้ชายคนนั้นจะถูกผู้เป็นพ่อฆ่าตายเสียก่อน “คำสั่งคุณหนูคือคำขาด” เคทพูดย้ำกับการ์ดร่างใหญ่ เมื่อไม่มีใครหลีกทางให้คุณหนูเสียที แต่ระหว่างนั้นเสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้น…“
“คุณฉลามส่งนิลตรงนี้ก็ได้ค่ะ” ใช้เวลาจากไร่ภูตะวันเข้ากรุงเทพราวหนึ่งชั่วโมง เธอยืมโทรศัพท์ฉลามต่อสายหาบอดี้การ์ดสาวคนสนิทให้มารอรับ และ ภูตะวันไปพบพ่อเธออย่างที่คาดเดาไม่มีผิด “แน่ใจเหรอครับ กว่าจะถึงผับคุณเนนิลก็ไกลอยู่นะครับ” “นิลให้คนมารอรับแล้วค่ะ คุณฉลามไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” “อ๋อ โอเคครับ ถ้าได้ข่าวเจ้านายยังไงโทรมาบอกผมด้วยนะครับ” “ค่ะ” นิวารินตอบรับเพียงเท่านั้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ จากนั้นก็รีบเปิดประตูลงจากรถไปอย่างเร่งรีบ โดยมีสายตาของฉลามมองตามไปจนกระทั่งรถสปอร์ตหรูสีขาวขับเข้ามารับเธอ “หน้าผากไปโดนอะไรมาคะคุณหนู หรือ ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณหนู” เคทขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นแผลเล็ก ๆ บริเวณหน้าผากของคุณหนู เชื่อว่าแผลไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ต้องมีคนทำให้เกิด และ มีอยู่คนเดียวที่จงเกลียดจงชังคุณหนูของเธอเข้าไส้ ไอ้หมาบ้าตัวนั่นแน่ ๆ “อย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้เลยค่ะ รีบไปที่ผับกันก่อนเถอะค่ะ นิลไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะนิลเป็นต้นเหตุอีก” “ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณหนูให้เจ็บช้ำน้ำใจสารพัดน่ะเหรอคะ” เธอไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมคุณหนูถึงคอยเป็นห่วงเป็นใยช่วยเหลือผู้ชายที่คิดทำร้า
#หลายชั่วโมงต่อมา ภูตะวันนั่งบนเก้าอี้เหล็กตรงไร่องุ่นที่ถูกวางเพลิงเหลือแค่ซากกิ่งไม้และโค้งเหล็กไว้ให้ดูต่างหน้า ใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยความเครียดขึงก้มลง มือทั้งสองข้างประสานกันกลางหว่างขา ปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลออกจากหัวตาหยดลงดินแล้วหยดเล่า ทั้งคืนไม่ได้นอน เช่นเดียวกันกับคนงานในไร่ ทุกคนต่างเสียขวัญเสียกำลังใจ ใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าไฟจะสงบก็รุ่งสาง ไฟไหม้แค่ไร่องุ่นท้ายไร่ ซึ่งเป็นองุ่นสายพันธุ์ที่ใช้สำหรับผลิตไวน์เกือบทั้งหมด ดีที่ไม่ลุกลามไปพื้นที่อื่น ๆ สร้างความเสียหายให้กับไร่เป็นอย่างมาก หากเปรียบเทียบกับเงินก็หลายล้าน เสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้ภูตะวันรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นจากด้านหลัง “นาย”ฉลามที่เห็นเจ้านายเอาแต่นั่งอยู่ที่เดิมนานนับชั่วโมง จึงทำใจกล้าเดินเข้ามาด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ ต้องการอยู่เงียบ ๆ คนเดียว “มึงไสหัวไปให้พ้นกู!” “นายไปพักผ่อนก่อนดีไหมครับ” รู้ทั้งรู้ว่าต้องทำให้ผู้เป็นนายไม่พอใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความห่วยใย “มึงหูหนวกเหรอวะไอ้ฉลาม!” ภูตะ
ไร่องุ่นภูตะวัน ภูตะวันใช้เวลาขับรถมาที่ไร่ราวสี่สิบนาทีอย่างร้อนใจ อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความโกรธจัด จึงเหยียบคันเร่งจนมิด ความเร็วเกินกว่ามาตรฐานกำหนดไปมาก ทำให้คนที่นั่งมาด้วยหวาดผวาอยู่ทุกนาที “เอ้า! เร็ว ๆ ช่วยกันดับไฟ” เสียงของหัวหน้าคนงานตะโกน ขณะที่คนงานวิ่งวุ่นช่วยกันหาน้ำมาดับไฟที่โหมกระหน่ำออกเป็นวงกว้าง ช่วยรถดับเพลิงอีกแรง แม้ว่าจะช่วยได้ไม่มาก แต่ก็ดีกว่ายืนอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร วินาทีที่ภูตะวันเห็นไร่องุ่นหลายสิบไร่ที่ลงทุนสร้างด้วยตัวเองกำลังถูกไฟแผดเผาไหม้ด้วยน้ำมือของคนเลว หัวใจแกร่งก็พลันสลาย ดวงตาดำมืดแดงก่ำเบิกกว้าง มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นขย้ำผมตัวเองแน่นด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ จนกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อไม่สามารถปกป้องสิ่งที่ตัวเองรักได้อีกเป็นครั้งที่สอง นิวารินเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ก็ถึงกับอึ้งงันเสียใจไม่ต่างจากทุกคน แต่คนที่เจ็บปวดมากที่สุดตอนนี้เห็นจะไม่ใช่เธอ แต่เป็นเขา…เขาที่ต้องเจอแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะเธอที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด หมับ! “อ๊ะ!” ใบหน้าสวยเปื้อนน้ำตาบิดเบ้ด้วยความเจ็บ เมื่อร่างสูงหันกลับมาบีบต้นแรงแน่นรา
“...ตอนนี้ฉันมีหลักฐานมากพอ ที่จะเอาเธอเข้าคุกได้ในทันที เพราะฉะนั้น…ถ้าเธอรู้สึกผิดจริงล่ะก็ ไปมอบตัวกับตำรวจกับฉันวันพรุ่งนี้ สารภาพความผิดทุกอย่าง..” “...” ภูตะวันหม่นคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เมื่อนิวารินยืนนิ่งสบตาไม่พูดอะไรหลังจากได้ฟังสิ่งที่เขาบอกกับเธอ เธอไม่มีท่าทีเป็นกังวลหรือตกใจเลยสักนิด อีกทั้งแววตาคู่สวยยังฉายชัดถึงความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว ทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาความคิดเธอได้ หรือบางทีเธออาจกำลังกลบเกลื่อนความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองอยู่ก็ได้“ว่ายังไง” เป็นเขาที่ต้องตั้งคำถามกับเธออีกครั้ง “...ได้” เงียบอยู่นานเธอถึงได้เอ่ยตอบตกลง แล้วถามหาหลักฐานอย่างเป็นการลองเชิงในประโยคต่อมา เธอยังไม่ปักใจเชื่อว่าเขามีหลักฐานอย่างที่กล่าวอ้างจริง ๆ “แต่ก่อนที่ฉันจะไปมอบตัวกับตำรวจ ฉันต้องได้เห็นหลักฐานที่คุณพูดถึงทุกอย่าง รวมถึงหลักฐานของพ่อฉัน” “หึ หัวหมอเป็นเหมือนกันหนิ” ภูตะวันเค้นเสียงหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน “หลักฐานที่จะใช้มัดตัวเธอน่ะ…มีแน่อยู่แล้ว ส่วนหลักฐานพ่อเธอที่ฉันเคยพูดถึง ไม่มีจริง ๆ หลอก แต่ข้อมูลสำคัญที่ฉันมี สามารถทำให้พ่อเธอสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ในชั่วข้าม
@ผับ M ชายหนุ่มร่างสูงรูปร่างกำยำอยู่ในชุดเรียบง่าย เสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีดำสวมทับเสื้อยืดสีขาวด้านใน ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนขายาวสีดำไซซ์พอดีตัว ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ ผมเผ้าถูกเซตอย่างดูดีเป็นที่สะดุดตาของสาว ๆ ที่กำลังเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกตามเสียงเพลงที่เปิดภายในผับหรู พวกเธอเหล่านั้นต่างอยากครอบครองชายหนุ่มที่เดินผ่าน แต่ก็ทำได้แค่มอง... ภูตะวันพาตัวเองเดินขึ้นมาชั้นสองของผับ โดยทำเมินเฉยต่อสายตาของสาวสวยที่มองมา “มาช้ากว่าเพื่อนเลยนะพ่อพระเอก” ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะริมระเบียงที่มองลงไปเห็นชั้นล่างของผับอย่างชัดเจน ก็ถูกเพื่อนรักอย่างองศาพูดจาไม่เข้าหู ภูตะวันไม่ได้ตอบกลับ กระแทกตัวนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามกับปริญลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดังด้วยใบหน้าราบเรียบ “แผลที่หน้าหายดีแล้วหนิ” สองวันก่อนบาดแผลบนใบหน้าของไอ้เพื่อนรักยังชัดเจน แต่วันนี้ดูจางลงจนแทบไม่เหลือร่องรอย “อือ” ภูตะวันส่งเสียงในลำคอตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยพลางยื่นมือรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพงในแก้วที่องศายื่นมาให้ “ขอบใจ” “แล้วส่วนอื่น ๆ ในร่างกายมึงล่ะ” “มึงมาดื่มหรือมาตรวจร่างกายได้ภูวะ ถามซะละเอียดเลยไอ้สัส” องศา