แชร์

บทที่ 15

ผู้เขียน: หอมดังเดิม
ลู่เหิงจือลุกขึ้น รินน้ำอุ่นมาแก้วหนึ่ง อุ้มนางขึ้นด้วยมือข้างเดียวและส่งน้ำไปที่ริมฝีปากของนาง

นางกระหายน้ำจริงๆ จึงดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว

"ต้องการอีกไหม?" เขาถาม

ซูชิงลั่วพยักหน้า

ลู่เหิงจือเตรียมจะลุกไปรินน้ำให้นางอีกครั้ง แต่ก็ถูกนางจับข้อมือเอาไว้ทันที

ใบหน้านางแดงระเรื่อ เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนหวาน เรียกเขาว่า "พี่สาม..."

แววตาของลู่เหิงจือเข้มขึ้นเล็กน้อย มองดูนาง

ร่างกายของซูชิงลั่วเหมือนกับมีไฟลุก บางที่ก็รู้สึกทั้งคันและชา ก่อนที่จะรู้ตัว นางก็จับข้อมือของลู่เหิงจือไว้แล้ว

ข้อมือของเขาขาวสะอาดและผอมเพรียวแต่ก็ทรงพลัง

ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมอง

เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวดุจพระจันทร์ สีหน้าเย็นชา มองนางโดยไม่กระพริบตา ราวกับเป็นพระจันทร์ที่สูงสง่า

เสื้อคลุมยาวนั้นปักลายเถาไม้สีเขียว ดูเหมือนเถาวัลย์ที่เลื้อยเข้าไปในใจของนาง

นางเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ

ซูชิงลั่วกัดริมฝีปากแน่น จนกลิ่นคาวเลือดกระจายเข้าสู่ปากทันที

หยดเลือดไหลซึมออกมาจากริมฝีปากล่าง ลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่น บีบคางของนางไว้ "อย่ากัด ยังเจ็บตัวไม่พออีกหรือไง?"

น้ำเสียงของเขากลับแฝงไว้ด้วยกระแสของความห่วงใย

ซูชิงลั่วไม่แน่ใจว่าความห่วงใยนี้เป็นเพียงภาพลวงตาหรือไม่ เพราะนางกำลังจะเสียสติแล้ว

ปลายนิ้วของชายหนุ่มเย็นเล็กน้อย เมื่อสัมผัสกับผิวนางทำให้รู้สึกเย็นๆ ความร้อนในร่างกายก็ดูเหมือนจะจางหายลงไปบ้าง

นางอดไม่ได้ที่จะต้องการมากกว่านี้

นางเงยหน้ามอง สบตาเข้ากับของชายหนุ่มพอดี

ดวงตาของเขาใสเย็นลึกซึ้ง ชวนให้หลงใหล

นางทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกมือขึ้นโอบรอบคอเขา

"เพล๊ง" เสียงถ้วยชาตกกระแทกพื้นจนแตก

ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นและจูบไปที่ริมฝีปากของเขา

สัมผัสที่อ่อนนุ่มยิ่งกว่าผ้าฝ้าย ทำให้นางอดต้องการมากกว่านี้ไม่ได้ แต่กลับถูกชายหนุ่มกดไหล่เอาไว้ก่อน

ลมหายใจของลู่เหิงจือสับสนไปเล็กน้อย แต่เขาก็ถอยหลังเล็กน้อยและหยุดจูบนี้ด้วยความอดทน

เขามองนางด้วยสายตาที่หนักแน่น "เจ้าแน่ใจหรือ?"

ตอนนี้นางไม่มีสติเต็มร้อย เขาไม่ต้องการจะฉวยโอกาสตอนนี้

นอกจากนี้ ราชวงศ์นี้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของสตรีเป็นพิเศษ การเสียชื่อเสียงก่อนแต่งงานถือเป็นความผิดใหญ่หลวง เขาไม่อยากให้นางต้องแบกรับสิ่งนี้

แต่คำพูดนี้เมื่อได้ยินในหูของซูชิงลั่วกลับฟังเป็นการปฏิเสธอย่างชัดเจนของเขา

ในหัวนางนึกถึงเสียงเย็นชาของเขาในวันนั้น...ข้ากับคุณหนูซูไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกัน

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?

หัวใจของซูชิงลั่วหล่นวูบไป อีกทั้งยังรู้สึกอับอายจนอดน้ำตาไหลออกมาไม่ได้

ทำไมต้องเป็นเขาด้วย?

ต่อหน้าคนที่นางไม่อยากให้เห็นสภาพยากลำบากของตัวเองที่สุด นางกลับเผยสภาพที่น่าอับอายนี้ แถมยังถูกเขาปฏิเสธอีก

ทั้งๆ ที่นางไม่ได้เป็นคนแบบนี้แท้ๆ

ความรู้สึกน้อยใจเข้ามาเกาะกุมในใจ แต่ไฟในร่างกายก็ยังคงพยายามควบคุมนางเช่นเดิม และดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

ซูชิงลั่วดึงปิ่นปักผมของตัวเองออกมาและปิดตาแทงจะแขนลงแขนตัวเองเต็มแรง

แต่นางกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด

เมื่อนางลืมตาก็เห็นว่าลู่เหิงจือได้หงายฝ่ามือมาหยุดปิ่นปักผมนั่นไว้

เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากฝ่ามือของเขาทันที หยดลงบนเสื้อผ้าบางๆ ของนาง ตอนที่ซึมผ่านเสื้อผ้าลงไปที่ผิวหนังของนาง มันยังรู้สึกอุ่นๆ อยู่เลย

ความอบอุ่นนั้นทำให้นางรู้สึกตัวในทันที

นางเงยหน้าไปมองลู่เหิงจือด้วยความตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องรับบาดเจ็บแทนนางด้วย

"ท่าน..."

ลู่เหิงจือดึงปิ่นปักผมออกจากฝ่ามือ แล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชา "ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าทำร้ายตัวเองอีก เจ้าเห็นคำข้าเป็นเพียงลมที่ผ่านหูอย่างนั้นหรือ?"

ซูชิงลั่วมองดูเลือดที่ไหลออกจากมือของเขา "ขอโทษ"

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบว่า "ไม่เป็นไร"

ซูชิงลั่วกัดฟัน “แต่ข้ามีบางอย่างที่…”

คำพูดที่เหลือกลับไม่สามารถพูดออกมาได้

ลู่เหิงจือหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกจากแขนเสื้อ เช็ดเลือดที่มือ แล้วลุกขึ้นมองนาง "ขออภัย"

ซูชิงลั่วยังไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ก็เห็นเขาเริ่มปลดเข็มขัดของตัวเอง

นางตกใจและกำมือทั้งสองข้างแน่น

เขาจะทำอะไร…

ลู่เหิงจือมีสีหน้าไร้อารมณ์ในขณะที่พันเข็มขัดสีเทาไว้รอบมือของตัวเอง

ซูชิงลั่วหลับตาพูดว่า "ท่านไม่ต้องฝืนหรอก ข้า…"

นางหยุดพูด

ลู่เหิงจือใช้เข็มขัดมัดมือทั้งสองข้างของนางไว้

"เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าทำร้ายตัวเองได้อีก"

ใบหน้าของซูชิงลั่วแดงก่ำจนถึงใบหู นางเกือบจะคิดว่าเขาต้องการ…

หลังจากมัดนางเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า "เจ้ารอแป๊บหนึ่ง ข้าจะไปเอายาสมานแผลมา"

ในตอนนั้นซูชิงลั่วจึงนึกขึ้นได้และพูดว่า "สาวใช้ของข้าจื๋อหยวนก็อยู่ที่วัดด้วย"

นางพูดอย่างอ่อนแรง

ลู่เหิงจือพยักหน้า "รู้แล้ว ข้าจะหาทางเรียกนางมาให้"

เขาเดินออกไป เซี่ยถิงอวี่กำลังยืนอยู่ที่ระเบียง เมื่อเห็นเขาออกมา ก็มองขึ้นลงสำรวจเขาครู่หนึ่ง แล้วอดพูดขึ้นอย่างล้อเลียนไม่ได้ว่า "แค่ปลดเข็มขัดเองหรือ?"

ลู่เหิงจือไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นด้วย ถามแค่ว่า “มียาแก้ไหม?”

เซี่ยถิงอวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า "ยานี้ใช้เพื่อความสนุก จะมียาแก้ได้อย่างไร? แต่ข้าว่าพิษที่นางได้รับไม่หนักมาก แค่รอเวลาหนึ่งถ้วยชา ก็น่าจะหายแล้ว ทนหน่อยแล้วกัน"

สายตาของลู่เหิงจือเย็นชาเล็กน้อย

ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่ชอบให้ขุนนางคบหากับคนในราชวงศ์เป็นการส่วนตัว อีกทั้งยังขี้ระแวง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับตา ออกมาในครั้งนี้เขาจึงไม่ได้พาซ่งเหวินมาด้วย ตอนนี้จึงไม่มีคนให้เรียกใช้การได้

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอดป้ายหยกที่พกไว้ประจำตัวออก กล่าวว่า "ให้คนของเจ้าเอาสิ่งนี้ไปเรียกสาวใช้ที่ชื่อจื๋อหยวนในทางข้างหน้ามา ให้นางนำเสื้อผ้าสะอาดมาด้วยชุดหนึ่งอย่างเงียบๆ ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เด็ดขาด"

เซี่ยถิงอวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า "คนที่นี่ให้เจ้าสั่งได้ตามใจ"

เขาพูดอย่างสนุกสนานว่า "ข้าจะกลับวังก่อน เจ้าก็อยู่ที่นี่ไป...กับหญิงสาวผู้นี้แล้วกัน"

ลู่เหิงจือเคยชินกับท่าทางไม่จริงจังของเขาแล้ว จึงไม่อยากต่อความด้วย หลังจากสั่งการกับทหารลับเสร็จแล้ว เขาก็หยิบยารักษาสมานแผลเดินกลับเข้าไปในกระท่อมไม้ไผ่

ลมแรงขึ้นอีกแล้ว พัดแรงจนกระท่อมไม้ไผ่เกิดเสียงดังโครมคราม

ลู่เหิงจือเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง ลมที่พัดเข้ามาทำให้เปลวเทียนดับลงไปวูบหนึ่งแล้วกลับมาสว่างอีกครั้ง

ประตูถูกปิด ลู่เหิงจือเอาขวดกระเบื้องสีดำใบเล็กในมือวางลงบนโต๊ะ

"เรื่องนี้ไม่ควรให้คนอื่นรู้มาก ข้าได้สั่งให้คนไปตามหาจื๋อหยวนแล้ว เจ้าอดทนรอสักครู่"

ซูชิงลั่วพูดออกมาด้วยความยากลำบากว่า "ขอบคุณมาก..."

คำว่า "พี่สาม" นั้น นางไม่สามารถพูดออกมาได้จริงๆ มันฟังดูสนิทสนมกันเกินไป

มือของนางถูกมัดไว้ทำให้ขยับไม่ได้ แต่นางยังคงรู้สึกไม่สบายมาก โดยเฉพาะยิ่งเมื่อเห็นลู่เหิงจือเข้ามา

นางหลับตาไม่มองเขาอีก ในหัวก็พยายามนึกถึงบทเรียนสำหรับสตรีที่เคยอ่าน แต่ร่างกายกลับบิดไปมา แถมที่หน้าผากก็มีเหงื่อออกเม็ดเล็กๆ

ช่างน่าอับอายเหลือเกิน

โชคดีที่ในเวลานี้ลู่เหิงจือก็ค่อยๆ หมุนตัวไปยืนเงียบๆ ตรงหน้าต่าง ไม่มองนาง ราวกับไม่ได้สนใจนางอีก เพียงแค่ก้มตัวลงไปจุดกำยานหอมกลิ่นอำพันเพื่อให้สงบจิตใจเท่านั้น

นางผ่อนคลายลงเล็กน้อย รู้สึกได้รับการปลอบประโลมจากกลิ่นหอมนี้ และพยายามอดทนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็รู้สึกว่าฤทธิ์ยาในร่างกายค่อยๆ จางหายไปแล้ว

เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เมื่อนางคิดถึงสิ่งที่เพิ่งทำลงไปเมื่อครู่ ก็รู้สึกอยากจะเอาหัวชนก้อนเต้าหู้ให้ตายไปซะ ไม่กล้าเรียกชายหนุ่มตรงหน้าอีก

แต่กลับเป็นลู่เหิงจือที่หันมามองนางก่อนและถามว่า "ดีขึ้นหรือยัง?"

ซูชิงลั่วตอบเสียงเบาราวกับเสียงยุง "อืม"

ลู่เหิงจือเดินเข้ามา

เสื้อผ้าของหญิงสาวถูกเหงื่อซึมจนเปียกชื้น ใบหน้ายังคงแดงอยู่เล็กน้อย แต่สายตาเริ่มกลับมามีสติชัดเจน แถมยังมีท่าทางอับอาย

ข้อมือขาวเนียนถูกเข็มขัดเสียดสีจนเป็นรอยแดง และถึงขั้นถลอก

นางไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ จึงรีบก้มหน้าลง แม้แต่ติ่งหูก็ยังเป็นสีชมพูระเรื่อ

เขาไม่อยากให้นางต้องทรมานอีก ลู่เหิงจือจึงยื่นมือมาแก้เข็มขัดที่มัดข้อมือนางออก

เขามัดอย่างมีชั้นเชิง ไม่ว่างซูชิงลั่วจะพยายามอย่างไรก็หลุดไม่ได้ แต่เมื่อแก้มัดกลับง่ายนิดเดียว เพียงดึงเข็มขัดครั้งเดียวก็หลุดแล้ว

เมื่อข้อมือได้รับอิสระ ซูชิงลั่วก็รู้สึกสบายขึ้นมาก

เกือบจะทันที ก็เกิดเสียงดังขึ้นในใจนางว่า "จบแล้ว"

ได้เห็นนางมีสภาพน่าอับอายเช่นนี้ เกรงว่าต่อไปเขาก็คงจะไม่มีทางชอบนางได้อีกแล้ว

ส่วนทำไมนางถึงคิดเช่นนั้น นางก็ไม่สามารถอธิบายได้ในตอนนี้

พอดีกับที่ทหารลับจากภายนอกมารายงานว่า "ใต้เท้า พาตัวจื๋อหยวนมาถึงแล้วขอรับ"

ลู่เหิงจือลุกขึ้นและใส่เข็มขัดกลับไปที่เอว "ให้นางเข้ามา"
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status