Share

บทที่ 299

Auteur: หอมดังเดิม
ลู่เหิงจือไปราชสำนักแต่เช้าแล้ว

ซูชิงลั่วไม่กล้าประวิงเวลา รีบตื่นนอน หลังกินข้าวเช้าเสร็จก็ไปหาซ่งเหวินที่นอกประตูวังทันที

หากเทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าฝันแรกไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว

*

หลังจากไปเข้าเฝ้าที่ราชสำนักแล้วก็กลับมายังสภา ลู่เหิงจือกำลังเงยหน้าเอนหลังพิงเก้าอี้ ฟังขุนนางสองคนตรงหน้าทะเลาะกัน

ในมือถือลำดับรายชื่อผู้ที่จะมารับตำแหน่งเสนาบดีกรมธรรมการ ในหัวกลับผุดเรื่องราวในนิยายที่อ่านเมื่อวานอย่างไร้สาเหตุ...ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าสิ่งใดเรียกว่าหน้าไม่อายที่แท้จริง...เกิดอาการตาลายขึ้นมาชั่วขณะ

กระทั่งได้ยินคนตรงหน้าถาม : "ไม่รู้ว่าท่านอัครมหาเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร"

ลู่เหิงจือเป็นผู้ที่ปิดซ่อนความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร หากยังไม่ได้ข้อสรุป ไม่มีทางให้ผู้ใดคาดเดาได้

ดังนั้นขุนนางอีกสี่คนในสภาขุนนางจึงไม่เข้าใจความคิดของเขาเช่นกัน

ปลายนิ้วของลู่เหิงจือเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ ไม่ได้ตอบสิ่งใด

ขณะนั้นเองมีขันทีผู้หนึ่งเข้ามารายงาน : "ท่านอัครมหาเสนาบดี ฮูหยินมาแล้ว กำลังรออยู่หน้าประตูวัง ท่านจะไปพบหรือไม่"

ซูชิงลั่วไม่เคยมาหาเขาที่นอกวังมาก่อน มากะทันหันเช่นนี้จะต้องมีเรื่องเป็นแน่

ลู่เหิง
Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application
Chapitre verrouillé

Related chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 300

    พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จมายังจวนหย่งซุ่นป๋อย่างกะทันหัน คนทั้งจวนรีบออกมาต้อนรับแม้แต่นายหญิงเฒ่าก็ยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาต้อนรับที่รู้สึกมีหน้ามีตาที่สุดเห็นจะเป็นนางหลิ่ว พระชายาองค์รัชทายาทระบุชัดเจนว่าต้องการให้นางออกมารับ ทั้งยังบอกอีกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ทั้งรู้หนังสือแล้วยังรู้ความ ตั้งใจมาพบเป็นการเฉพาะ ใครจะรู้ได้ว่าลู่หมิงซือไม่อยู่ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พอจะรู้ว่าประโยคนี้หมายความว่าเช่นไรหลังจากที่พระชายาองค์รัชทายาทสด็จกลับไป นายหญิงเฒ่าจึงจำต้องสั่งให้รับลู่หมิงซือกลับมาที่จวนนางออกจากจวนไปยังไม่ถึงครึ่งเดือนบ่ายวันนั้น ลู่หมิงซือกลับมาในจวนอีกครั้งซูชิงลั่วเป็นห่วงสุขภาพหญิงชรา ตอนเช้ามาเยี่ยมไม่ทัน ประมาณการเวลาตื่นจากนอนกลางวันของหญิงชรา แล้วมาที่เรือนของนาง จึงได้เจอกับนางหลิ่วที่หน้าตายิ้มแย้มและลู่หมิงซือที่ดวงตาสดใสเป็นประกายนางหลิ่วมองซูชิงลั่วด้วยความท้าทาย ความรู้สึกได้ใจบนใบหน้าปิดไว้ไม่อยู่สายตาที่ลู่หมิงซือมองนางกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันลึกซึ้ง แม้แต่ซ่อนก็ซ่อนไว้ได้ไม่มิดซูชิงลั่วไม่ได้สนใจพวกนาง มุ่งหน้าตร

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 301

    นางหลิ่วและลูกกลับมาครั้งนี้สงบเสงี่ยมลงไปไม่น้อยอย่างแรกเพราะลู่หมิงซือกำลังจะแต่งงาน อย่างที่สองเพราะลู่เหยียนก็กำลังสอบคัดเลือกขุนนาง ทำให้ซูชิงลั่วเงียบหูลงไปเยอะนางจึงทุ่มเทฝึกฝนยิงธนูทุกวัน แม้แต่ในวันที่หิมะตกก็ไม่เคยหยุดพักเพราะอีกสามวันก็จะถึงวันล่าสัตว์ฤดูหนาวแล้วพูดแล้วก็แปลก หากจะบอกว่าซูชิงลั่วไม่มีพรสวรรค์ แต่ศรสิบลูก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้ากลางเป้าห้าลูกทุกครั้งแต่หากจะบอกว่านางมีพรสวรรค์ ที่เหลืออีกห้าดอก แม้แต่เป้าก็ไม่เฉียดเลยสักนิด หลุดออกนอกเป้าไปทั้งหมดมีหนึ่งดอกที่เกือบจะพุ่งเข้าหัวสาวใช้แล้วเสียด้วยซ้ำ โชคดีที่โฉวกว่างตอบสนองไว หยุดลูกศรดอกนั้นไว้ได้สาวใช้เพิ่งจะสิบสี่สิบห้า เกือบจะเสียขวัญ ซูชิงลั่วทั้งขอโทษทั้งให้เงินปลอบขวัญ พูดปลอบอย่างใส่ใจอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็สั่งให้คนปิดประตูสวนเพื่อฝึกธนู แล้วไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกตามใจหลังจากผ่านเรื่องนี้ไป โฉวกว่างมีเพียงประโยคเดียวให้กับทักษะในการยิงธนูของซูชิงลั่ว...แม้แต่ผีสางเทวดาก็ยากจะคาดเดาหิมะตกสะสมสูงหนึ่งนิ้วจื๋อหยวนกลัวนางจะหนาวจึงรีบนำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมา ตั้งใจจะคลุมให้นาง แต่กลับโดนซูชิงลั่ว

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 302

    หลังจากนั้น ลู่เหิงจือก็ก้มลงไปประโลมจูบด้วยความหนักแน่นซูชิงลั่วผลักเขา : "ระวังข้าจะเอาไข้ไปติดท่าน...""ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ไม่เหมือนเจ้า" เขาเพียงแค่จูบนางจากนั้นก็ปล่อยนางออก แล้วนวดคลึงศีรษะให้นางซูชิงลั่วจ้องมองเขาลู่เหิงจือหลุบตาลง : "มีอันใด"ในที่สุดซูชิงลั่วก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง : "ท่าน...ท่านแอบอ่านนิยายของข้าหรือ ท่านอัครมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่กลับแอบอ่านนิยายของข้าเสียได้ !"แม้เสียงจะแหบ แต่ทรงพลังยิ่งนักลู่เหิงจือเผลอนวดขมับตัวเองโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่ก็ไม่ได้จงใจนึกถึงนิยายเล่มนั้นเลย ทำท่าทางออกมาเองตามธรรมชาติ เห็นได้เลยว่าเขาถูกนิยายเล่มนั้นเล่นงานเสียแล้วหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นอาจจะรู้สึกเก้อเขินบ้าง แต่อยู่ต่อหน้าภรรยาของตัวเอง...ไม่มีสิ่งใดไม่น่ายอมรับเขาอมยิ้ม บีบแก้มซูชิงลั่วเบาๆ : "ข้าไม่เพียงแต่แอบอ่านนิยาย ยังตั้งใจจะเขียนให้เจ้าสักเล่มด้วย เจ้าอยากอ่านไหม"ซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "จริงหรือเจ้าคะ""แน่นอน"ซูชิงลั่วยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิม : "ท่านจะมีเวลาหรือ""อืม" ลู่เหิงจือขานรับ ก่อนจะพูดนิ่งๆ "รอข้าเกษียณกลับมาอยู่บ้านแล้ว ย่อมมีเวลาเป็นแน่"“……”

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 303

    รองอัครมหาเสนาบดีเอ่ย : "ได้ เช่นนั้นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมกลาโหม..."ลู่เหิงจือมองดูฟ้าปราดหนึ่ง : "สั่งให้เสนาบดีกรมกลาโหมยื่นฎีกามาบอกความต้องการของเขา ยังมีเรื่องสำคัญใดอีกหรือไม่"น้ำเสียงของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากวันทั่วไป แต่มีเพียงแค่เขาเองที่รู้ว่าความอดทนของเขาหมดสิ้นไม่เหลืออีกแล้วโชคดที่มีขุนนางอีกคนหนึ่งมาดึงตัวรองอัครมหาเสนาบดีไปเขาส่งสายตาบ่งบอกเป็นนัยๆ ว่า "รู้ความดีมาก" ให้กับคนผู้นั้น แล้วรีบออกไปจากวังทันทีรองอัครมหาเสนาบดีเอ่ย : "เจ้าทำอะไร ข้ายังมีเรื่องไม่ได้ถาม..."คนผู้นั้นตอบ : "ท่านไม่ได้ยินหรือว่าฮูหยินของใต้เท้าป่วย ใต้เท้ากำลังรีบกลับไปดูฮูหยินเช่นไรเล่า"รองอัครมหาเสนาบดีตำหนิ : "เจ้าอย่าพูดเพ้อเจ้อ ใต้เท้าใช่ผู้ที่รู้สึกกับสตรีลึกซึ้งเสียที่ไหน"คนผู้นั้น : "..."ผู้อาวุโสรอบรู้อย่างท่าน ไม่เข้าใจหรอกใต้เท้ายังหนุ่มยังแน่น*ข่าวที่ฮ่องเต้ทรงเลื่อนการล่าสัตว์ฤดูหนาวออกไปเป็นครึ่งเดือนรู้ไปถึงองค์หญิงอวี้หยาง มุมปากนางพลันยกยิ้มเย้ยหยันโดยไม่รู้ตัว"เกรงว่าคงจะไม่กล้ามาน่ะสิ" องค์หญิงอวี้หยางถือหน้าไม้สีทองไว้ในมือ พลันกดออกไปอย่างรวดเร็ว ศรปักลงไปกลางเป้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 304

    แน่นอนว่าลู่เหิงจือไม่มีทางแสดงให้นางดูตอนนี้ได้ เขาก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่เห็นได้ชัดว่าซูชิงลั่วเองก็เข้าใจถึงจุดนี้เช่นกัน จึงลองหยั่งเชิงโดยการโผล่ออกมาจากผ้าห่มนางไม่ได้พูดเรื่องที่จะให้ลู่เหิงจือเขียนนิยายให้นางอีกแล้ว เพียงแค่แสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ : "ได้ยินมาว่าตอนที่พี่เมิ่งไม่สบาย เพื่อที่จะทำให้นางอารมณ์ดี ติ้งอ๋องถึงขั้นระบำดาบให้นางด้วย"น้ำเสียงของลู่เหิงจือเรียบเฉย : "ข้าก็ทำได้"ซูชิงลั่ว : "แต่ข้าไม่ชอบดูระบำดาบ ข้าชอบอ่านนิยาย"“……”"ท่านเขียนมาสักท่อน ไม่แน่ข้าอ่านแล้วอารมณ์ดี ไข้อาจจะหายทันทีเลยก็ได้"ลู่เหิงจือมองนางเงียบๆซูชิงลั่วเขย่าแขนเขาด้วยความออดอ้อน : "ท่านพี่..."ลู่เหิงจือจ้องนางต่ออีกสักพัก ถึงจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นไปข้างโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึมซูชิงลั่วหลุดขำลั่นออกมา รู้สึกว่าอาการป่วยของตัวเองหายไปครึ่งหนึ่งแล้วอัครมหาเสนบาดีก็คืออัครมหาเสนาบดีจริงๆ เขียนนิยายก็เขียนไว้กว่าผู้อื่นยิ่งนัก จับพู่กันเขียนเสร็จหนึ่งหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบมาแล้วโยนให้นางอ่านตอนที่นางกำลังจะรับได้ กระดาษแผ่นนั้นก็ถูกเขาหยิบกลับไปลู่เหิงจือ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 305

    นางมองลู่เหิงจือลงมาจากที่สูง สายตาเลื่อนไปหยุดบนตัวซูชิงลั่ว แววตานั้นแฝงไว้ด้วยความริษยาและเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด"ฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีอ่อนแอเพียงนี้ อย่าว่าแต่ล่าสัตย์ ห่วงแค่ว่าไม่เป็นเหยื่อให้ผู้อื่นล่าก็พอ"ซูชิงลั่วสบตากับนางโดยไม่หลบตาแม้แต่น้อย : "องค์หญิงทรงล้อหม่อมฉันเล่น ในสวนของราชวงศ์ หม่อมฉันจะกลายเป็นเหยื่อให้ผู้อื่นล่าได้เช่นไร"ลู่เหิงจือก้าวไปด้านหน้า ดึงซูชิงลั่วมากันไว้ด้านหลังแสดงออกถึงการปกป้องอย่างชัดเจนองค์หญิงอวี้หยางส่งเสียงค่อนแคะบ่อยๆ แล้วควบม้าจากไปเมื่อตกดึก ลมในเขตล่ากลับสงบลงท้องฟ้าดูสูงไกลลิบตา ดวงดาวในยามค่ำคืนทั้งเยอะและสว่างกว่าในเมืองหลวงนักซูชิงลั่วมองดูอยู่นอกเรือนพักชั่วคราวอยู่นาน ไม่ไกลออกไปยังมีกลุ่มคนห้อมล้อมกันก่อไฟย่างเนื้อย่างของกินกัน ทั้งดูรื่นเริงและคึกคักยิ่งนักการล่าสัตว์ฤดูหนาว โดยรวมแล้วเน้นความสบายๆ ไว้ก่อนลู่เหิงจือเห็นนางชอบ จึงพานางไปยังที่ที่ไกลออกไปตามลำพัง ก่อไฟกองเล็กๆ ทั้งยังนำขาแกะชิ้นเล็กและข้าวโพดมาย่าง เพื่อบรรยากาศที่สดใหม่ซูชิงลั่วมองเขาย่างขาแกะด้วยความตื่นเต้นดีใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม : "เหตุใดท่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 306

    ม้าเหงื่อโลหิตกินข้าวโพดที่พวกเขานำมาหมดแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นและเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังซูชิงลั่วอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า "ช่างใจร้ายใจดำเหลือเกิน"ลู่เหิงจือเหลือบมองนางเบาๆ แล้วพูดว่า "เจ้าก็ไม่ต่างกัน"ซูชิงลั่วรีบยกเนื้อย่างในมือขึ้นมาและยื่นไปที่ข้างปากของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนว่า "ท่านสามี ลองชิมอันนี้สิ อร่อยมาก"ลู่เหิงจือไม่อยากจะเถียงกับนางจึงก้มลงกัดเนื้อย่างช้าๆ ซึ่งก็อร่อยจริงๆหลังจากพูดคุยกันสักพักทั้งสองก็เดินกลับอย่างช้าๆ เมื่อเดินผ่านเรือนพักชั่วคราวแห่งหนึ่ง พวกเขาได้ยินเสียงขันทีคนหนึ่งถามด้วยความวิตกกังวลว่า "ม้าเหงื่อโลหิตขององค์หญิงยังไม่กลับมาหรือ? พรุ่งนี้จะต้องลงแข่งแล้วด้วย"ขันทีอีกคนพูดว่า "กลืนความกังวลลงไปซะ ม้าตัวนั้นฉลาดมาก องค์หญิงไม่เคยผูกมัน มันจะกลับมาเอง"ซูชิงลั่วถอนหายใจด้วยความปลงแล้วพูดกับลู่เหิงจือว่า "ม้าตัวนั้นฉลาดมาก เสียดายที่เจอนายไม่ดี"ลู่เหิงจือพูดอย่างใจเย็นว่า "ฉลาดจริง มิเช่นนั้นคงหลอกเจ้าให้เอาข้าวโพดย่างให้มันกินทั้งหมดไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ยามที่เจ้าแข่ง มันอาจยอมให้เจ้าชนะเพราะข้าวโพดย่างก็ได้นะ"“……”ประชดนางอีกแล้วแค่กินข้า

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 307

    ลู่เหิงจือพลันนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับนาง ชุดของนางก็เป็นชุดสีเหลืองอ่อนเช่นนี้ เพียงแต่ยามนั้นนางไม่ได้เกล้าผมเมื่อรู้สึกตัวว่าเขามองมา ซูชิงลั่วจึงหันกลับมาลู่เหิงจือยื่นมือออกไป โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนนานพอสมควรจึงค่อยๆ เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ ฮูหยิน ข้าจะคว้าอันดับหนึ่งพร้อมกับเจ้า”ซูชิงลั่วรู้สึกประหม่าในยามนี้ จึงโอบแขนเขาถามว่า “หากไม่ได้อันดับหนึ่งล่ะ?”ลู่เหิงจือตอบอย่างใจเย็นว่า “อันดับสุดท้ายก็คืออันดับหนึ่ง”ซูชิงลั่ว "......"สองสามีภรรยาเดินไปยังสนามแข่งด้วยกัน ร่างทั้งสองในชุดสีขาวและสีเหลืองดึงดูดสายตาของทุกคนในทันทีทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเคยได้ยินมาว่าอัครมหาเสนาบดีลู่คลั่งรักฮูหยินของตนเพียงใด ทั้งเรื่องพลุเอย ข่าวลือต่างๆ เอยที่เล็ดลอดออกมาจากเจียงหนาน ทำให้พวกนางอยากรู้จักซูชิงลั่วเป็นอย่างยิ่งพวกนางจึงอดกระซิบไม่ได้“ผอมขนาดนี้ ดูอ่อนแอเหลือเกิน”“ผู้ชายชอบเอวบางกันทั้งนั้น แม้แต่ใต้เท้าลู่ก็เช่นกัน”"ดวงตาคู่นั้น เอวคอดๆ นั่น ช่างราวกับจิ้งจอกสาวเสียจริงๆ......"เสียงซุบซิบเหล่านั้นเข้ามาในหูของซูชิงลั่ว กลายเป็นเสียงซ่าๆ ฟังไม่ชัดเจนว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรแต

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status