Masukสวรรค์บนดินที่เขาพบเจอในค่ำคืนนั้น เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและยากจะลืมเลือน ความสุขและความเพลิดเพลินที่เขาได้สัมผัสนั้น ทำให้ความรู้สึกที่เคยเป็นบาดแผลทางจิตใจของเขาหายไป และส่งผลให้เขาต้องการกลับไปสัมผัสมันอีกครั้ง
ในความทรงจำของเขา ตำหนักของฮ่องเต้หวังเจียเหอ กลายเป็นที่ที่เขาหมายปองและฝันถึง ความรู้สึกที่ลื่นไหลและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่เขาได้สัมผัส มันทำให้เขาเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะย้อนกลับไปลิ้มลองสิ่งนั้นอีกสักครั้ง
เป็นธรรมดาที่ความสุขที่ล้ำค่าและยากจะลืมเลือนจะสร้างความอยากและความปรารถนาในใจของเขา เมื่อลืมไม่ได้และรู้สึกถึงความพอใจอันยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับ เขาจึงอยากจะกลับไปสัมผัสประสบการณ์นั้นอีกครั้ง เพื่อให้ได้สัมผัสกับความสุขที่เขาเคยพบเจออีกครั้งหนึ่งในชีวิต
“ข้าจะแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างมาจากท่านให้ได้” แม่ทัพฉินเย่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียวและความแค้น ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความขัดแย้ง
ในคำพูดนี้ของเขา แฝงไปด้วยความเจ็บปวดจากการถูกแย่งชิงคนรัก ซึ่งเป็นบาดแผลที่ไม่อาจลืมเลือน ความรู้สึกขัดแย้งระหว่างความต้องการที่จะชดเชยความสูญเสียและความมุ่งมั่นในการทำลายสิ่งที่เป็นของฮ่องเต้หวังเจียเหอ มันถ่ายทอดความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความต้องการในการแก้แค้นอย่างลึกซึ้ง
ความเสียวที่เขารู้สึกไม่เพียงแต่เป็นความรู้สึกทางกายที่ถูกกระตุ้น แต่ยังเป็นความรู้สึกของความผิดหวังและความเศร้าที่ถูกกดทับโดยความแค้นของเขา ความขัดแย้งนี้ทำให้เขาต้องตัดสินใจที่จะก้าวไปข้างหน้าและทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเรียกร้องสิ่งที่เขาเชื่อว่าควรเป็นของเขา
แม่ทัพฉินเย่เหวินนั่งอยู่ในห้องที่เงียบสงัด ขณะเขาพยายามนึกถึงวิธีที่จะกลับไปยังตำหนักผีเสื้ออีกครั้ง สถานที่ที่เขาสัมผัสกับประสบการณ์ความเสียวที่ไม่อาจลืมเลือน ความรู้สึกที่เขามีต่อสถานที่นั้นยังคงฝังแน่นในใจของเขา แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าสถานที่นั้นได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ทหารที่ปกป้องสถานที่นั้นทั้งหมดล้วนเป็นขันทีที่มีความชำนาญและมีอำนาจในราชสำนัก
เขามองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยแผนที่และเอกสารต่างๆ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเครียดเพราะเขาจะต้องใช้พลังงานสมองเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะให้ตนได้รับประสบการณ์เสียวที่สุดแสนจะล้ำค่าอีกครั้ง
"ถ้าข้าต้องการที่จะกลับไปยังตำหนักผีเสื้ออีกครั้ง ข้าต้องหาทางเข้าสู่สถานที่นั้นโดยไม่ถูกจับได้" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและความต้องการที่แรงกล้า
แม่ทัพฉินเย่เหวินคิดถึงขันทีที่มีตำแหน่งอำนาจสูงสุดในราชสำนัก เขานึกถึง ขันทีมหาดเล็ก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดและมีอำนาจในการควบคุมกิจการทั้งหมดภายในพระราชวัง
"ขันทีมหาดเล็กคงจะเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเข้าถึงตำหนักผีเสื้อ" เขาพูดกับตัวเอง "หากข้าสามารถเข้าหาหรือขอความช่วยเหลือจากเขาได้ อาจจะมีโอกาสในการเข้าไปสัมผัสประสบการณ์นั้นอีกครั้ง"
เขาพยายามนึกถึงวิธีการเข้าถึงขันทีมหาดเล็ก รวมถึงการหาวิธีในการเจรจาหรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดี โดยมีเป้าหมายในการขออนุญาตหรือรับการสนับสนุน
ช่วงสายของวันเดียวกันนั้น แม่ทัพฉินเย่เหวินเดินทางไปยังตำหนักของขันทีมหาดเล็ก ด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม โดยที่ด้านนอกตำหนักนั้นล้วนแล้วแต่มีทหารขันทีที่ยืนเฝ้าประจำอยู่
บรรยากาศภายนอกตำหนักนั้นสะท้อนถึงความสง่างามและความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย ทหารขันทีในชุดเครื่องแบบที่ประณีตเรียบร้อยยืนอยู่ประจำจุดสำคัญด้วยท่าทางที่มีระเบียบเรียบร้อยและแข็งขัน พวกเขามีใบหน้าที่แฝงไปด้วยความอ่อนหวานและความสุภาพ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ว่าพวกเขามีความเข้มงวดและความเฉียบแหลมในการปฏิบัติหน้าที่
เมื่อล่วงเข้ามาภายในตำหนัก บรรยากาศภายในดูสงบและหรูหราอย่างยิ่ง การตกแต่งภายในเต็มไปด้วยความละเอียดและความสวยงามที่แสดงถึงความร่ำรวยและอำนาจของขันทีมหาดเล็ก
ภายในตำหนักตกแต่งด้วยการใช้สีทองและสีแดงเป็นหลัก ซึ่งเป็นสีที่สื่อถึงความมีเกียรติและความมั่งคั่ง พื้นที่กว้างขวางถูกแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ด้วยม่านที่ทำจากผ้าเนื้อดีและการตกแต่งด้วยลวดลายที่งดงาม
ในห้องใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของตำหนัก ประดับด้วยผ้าม่านหรูหราและเฟอร์นิเจอร์ที่ประณีต ความเงียบสงบที่มีอยู่ในพื้นที่นั้นถูกเติมเต็มด้วยการเคลื่อนไหวของขันทีที่ทำหน้าที่ต่างๆ อย่างมีระเบียบเรียบร้อย ขันทีที่อยู่ภายในห้องมีท่าทางที่สง่างามและให้ความรู้สึกถึงความเคารพและอำนาจ
แม่ทัพฉินเย่เหวินได้เดินผ่านบริเวณที่ตกแต่งด้วยภาพวาดและประติมากรรมที่เป็นศิลปะ ซึ่งสร้างความรู้สึกของความยิ่งใหญ่และอำนาจ ตลอดจนกลิ่นหอมจากดอกไม้และเครื่องหอมที่ถูกจัดวางอย่างมีศิลปะทำให้บรรยากาศในตำหนักรู้สึกอบอุ่นและน่าเคารพ
ในที่สุด เขามาหยุดที่ห้องทำงานของขันทีมหาดเล็ก ที่นี่มีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้แกะสลักอย่างประณีต และบนโต๊ะนั้นวางเอกสารราชการและอุปกรณ์ที่ใช้ในการบริหารราชการ
แม่ทัพฉินเย่เหวินรู้สึกถึงความเข้มข้นของบรรยากาศและความสง่างามของสถานที่นี้ เขามองไปที่ผู้ดูแลตำหนักและขันทีที่ทำงานอย่างมีระเบียบ ก่อนที่เขาจะเริ่มกระบวนการในการเจรจาหรือทำความรู้จักกับขันทีมหาดเล็กเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเข้าไปยังตำหนักผีเสื้ออีกครั้ง
ขันทีมหาดเล็กที่แม่ทัพฉินเย่เหวินพบในวันนี้คือชายสูงวัยวัย 65 ปี ซึ่งมีรูปร่างและลักษณะเฉพาะที่บ่งบอกถึงประสบการณ์ชีวิตและอำนาจที่เขามี
ขันทีเฒ่าผู้นี้มีใบหน้าที่เป็นไปตามธรรมชาติของวัยชรา มีริ้วรอยที่แสดงถึงความชราและประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนาน รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเป็นเส้นโค้งที่แฝงไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน อาจจะเป็นทั้งความเคารพและความรื่นรมย์ที่เขาสามารถแสดงออกได้เมื่อเจอผู้ที่มีสถานะสูงเช่นแม่ทัพฉินเย่เหวิน
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะมีความเคร่งเครียดตามธรรมชาติของวัย แต่ในแววตาของขันทีเฒ่ามีแสงแห่งความสนใจที่ไม่สามารถซ่อนเร้นได้ สายตาของเขามองไปที่แม่ทัพหนุ่มด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับว่าต้องการจะตรวจสอบและรู้จักแม่ทัพให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การจ้องมองนั้นเต็มไปด้วยความหื่นกระหายที่แฝงตัวอยู่ในความสุภาพและการปฏิบัติหน้าที่
ร่างกายของขันทีเฒ่ามีลักษณะท่าทางที่สง่างามและเต็มไปด้วยความสงบ เขาสวมชุดเครื่องแบบของขันทีที่ประณีต ประกอบด้วยผ้าเนื้อดีที่ตกแต่งด้วยลวดลายทองคำที่สวยงาม ชุดนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงฐานะและตำแหน่งของเขา แต่ยังแสดงถึงความรักในรายละเอียดและความประณีตที่เขามี
ขันทีเฒ่ามีการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนและระมัดระวัง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกทำด้วยความระมัดระวังและความเคารพ ขณะที่เขาดึงมือของแม่ทัพฉินเย่เหวินเข้าไปภายในตำหนัก เขาแสดงให้เห็นถึงความมีมารยาทและความเป็นเจ้าบ้านที่ดี
"เชิญเข้ามานั่งก่อน แม่ทัพฉินเย่เหวิน" ขันทีเฒ่าพูดด้วยเสียงที่มีความเรียบและสุภาพ พร้อมกับรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความต้อนรับอย่างอบอุ่น การเชิญนี้เป็นสัญญาณของการให้เกียรติและความต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
การตั้งท่าทางและการแสดงออกของขันทีเฒ่าทำให้แม่ทัพฉินเย่เหวินรู้สึกถึงความเป็นมิตรและความจริงใจ แต่ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งและความรู้สึกที่แฝงอยู่ในสายตาของเขา
หลังจากที่หวังเจียเหอ ฮ่องเต้ ประสบความเจ็บป่วยอย่างหนัก องค์ฮองเฮาหลี่หวงซินได้ตัดสินใจทุบกำแพงที่แยกตำหนักส่วนตัวของนางกับจวนของแม่ทัพฉินเย่เหวิน และสร้างพื้นที่ร่วมกันใหม่ ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย นางได้แปลงตำหนักของนางให้กลายเป็นสถานที่ที่คล้ายหลุดออกจากโลกภายนอกพื้นที่ในตำหนักของนางถูกปกคลุมด้วยความลับและความเย้ายวนใจ ไม่มีข้อบังคับทางศีลธรรมมาขวางกั้น ความหลงใหลและความปรารถนาของนางกับแม่ทัพหนุ่มจึงถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่ ทุกวัน แม่ทัพฉินเย่เหวินจะมอบความเร่าร้อนและความพึงพอใจให้แก่องค์ฮองเฮาอย่างดุเดือด นางร้องครวญครางด้วยความสุขจนเต็มอิ่มเสียงครางจากองค์ฮองเฮาดังขึ้น "ท่านแม่ทัพ แรงอีก แรงอีก ข้าเสียวจนข้าจะไม่ไหวอยู่แล้ว" นางร้องออกมาด้วยความรู้สึกอันร้อนแรงและเต็มไปด้วยความพอใจในขณะที่ภาพความรักอันร้อนแรงเผยออกมา ภายในตำหนักที่เปล่าเปลือยแห่งนี้ นางสนมจากตำหนักผีเสื้อยืนอยู่ด้วยความหลงใหลและชื่นชม การมองดูฉากนี้ราวกับเป็นการแสดงถึงความงดงามและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนางสนมราวกับถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์อันล้ำลึกของฉากที่พวกนางเฝ้าดู ร่างกายของพวกนางทั้งหมดรวม 100 ชีวิต นุ่งน้อยห่
หลังจากที่หวังเจียเหอ ฮ่องเต้ล้มป่วยและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตำหนักผีเสื้อซึ่งเคยเป็นสวนสวรรค์ของพระองค์ก็ขาดคนดูแล สถานที่นี้เต็มไปด้วยนางสนมร้อยกว่าคนที่มีลีลาในการร่วมรักที่สุดแสนจะร้อนแรงพวกนางถูกรวบรวมมาจากทั่วทั้งแผ่นดินไม่ว่าจะผิวพรรณหน้าตารวมไปถึงความหื่นกระหายของพวกนางนั้นนับว่าเป็นหนึ่งแม่ทัพฉินเย่เหวินได้เชิญนางสนมทั้งหมดให้ย้ายมาอยู่กับตนชายหนุ่มผู้มีพลังอำนาจมากที่สุดภายในเมืองหลวงแห่งนี้นั้นเป็นเขามีหรือที่พวกนางนั้นจะตอบปฏิเสธจวนของท่านแม่ทัพในยามนี้นั้นเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็อยากที่จะมาเยือนสักครั้งในกลุ่มนางสนมมีซูเหม่ยฉิงซึ่งเป็นอดีตภรรยาคนรักของแม่ทัพ ฉินเย่เหวิน นางได้กลับมาด้วยความเต็มใจเพื่อรับหน้าที่ในการดูแลแม่ทัพและรับผิดชอบในการให้ความสุขทางกายแก่เขา ซูเหม่ยฉิงมีลีลาที่เร่าร้อนและประสบการณ์อันลึกซึ้งจากอดีตที่ผ่านมา ความรักและราคะที่เคยมีต่อกันทำให้เธอเต็มใจและพร้อมที่จะรับภาระหนักในการรองรับความต้องการของชายผู้เป็นอดีตสามีของเธอคืนนี้ ซูเหม่ยฉิงได้เตรียมตัวอย่างดีด้วยการสวมใส่ชุดนอนบางเบาที่เผยให้เห็นรูปร่างอันเย้ายวนใจของเธออย่า
แม่ทัพฉินเย่เหวินได้สร้างผลงานที่น่าจดจำอีกครั้งด้วยการปราบจอมโจรที่มีชื่อเสียง จึงได้รับการเลื่อนขั้นจากตำแหน่งแม่ทัพเป็น "แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวง" การเลื่อนขั้นนี้เกิดขึ้นด้วยการสนับสนุนจากองฮองเฮาหลี่หวงซิน ซึ่งไม่เพียงแค่ให้การสนับสนุนด้านตำแหน่ง แต่ยังมอบจวนแม่ทัพหลังใหม่ที่มีขนาดใหญ่โตและกว้างขวางยิ่งกว่าเดิมจวนใหม่ของแม่ทัพฉินเย่เหวินตั้งอยู่ใกล้กับตำหนักขององฮองเฮาหลี่หวงซิน นางให้เหตุผลว่าการมีเขาใกล้ชิดจะทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น เพราะเขาสามารถคอยปกป้องเธอและลูกได้ตลอดเวลา ความใกล้ชิดนี้ยังแสดงถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งฮ่องเต้เองก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจใด ๆ ต่อการเลื่อนขั้นและการมอบจวนใหม่ของแม่ทัพฉินเย่เหวิน เนื่องจากเขาตระหนักถึงความสำคัญและความสามารถของแม่ทัพหนุ่มในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของราชสำนักในช่วงกลางดึกของคืนหนึ่ง องฮองเฮาหลี่หวงซินได้แอบลอบเข้ามาภายในจวนหลังใหม่ของแม่ทัพฉินเย่เหวิน ความรู้สึกของนางที่ไม่อาจต้านทานความต้องการในใจ ทำให้นางตัดสินใจเดินทางจากตำหนักของตนไปยังจวนใหม่ของแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งอยู่ห่างจากตำหนักของนางเพียงไม่กี่ก้าวค่ำคืนนี้ช
แม่ทัพฉินเย่เหวินจ้องมองเรือนร่างของนางโจรสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล ร่างกายของเขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ท่อนเนื้อแข็งผงาดขึ้นมาด้วยความปรารถนา เขารู้สึกถึงความร้อนรุ่มที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ความคิดในใจเต็มไปด้วยภาพของนางที่ชัดเจนทุกอณู เนื้อหนังของนางที่อ่อนนุ่มและโค้งเว้าอย่างน่าหลงใหลทำให้เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้บรรยากาศรอบกายเริ่มเปลี่ยนแปลง กลิ่นอายแห่งราคะค่อยๆ ลอยปกคลุมทั่วบริเวณ ความต้องการในใจของแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ทวีความรุนแรงขึ้น เขารู้ดีว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คือความพึงพอใจอย่างสุดขีดในเรือนร่างของนาง และไม่อาจหลบหนีจากเสน่ห์ที่นางมีต่อเขาได้เลยร่างกายของจอมโจรสาวเริ่มสั่นเทาด้วยความรู้สึกที่เธอไม่อาจควบคุมได้ เปลวไฟแห่งราคะกำลังลุกไหม้ไปทั่วร่างของเธอ หลังจากที่ดื่มชาที่มีส่วนผสมปลุกอารมณ์เข้าไป ความร้อนรุ่มก็เริ่มแผ่กระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย สายตาของเธอพร่ามัวด้วยแรงปรารถนา หัวใจเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกจากอก ความคิดที่เคยเข้มแข็งและมุ่งมั่นของเธอถูกแทนที่ด้วยความต้องการที่รุนแรง เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตั
ในช่วงนี้ ทางตอนใต้ของเมืองหลวงต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากจอมโจรภูเขาที่กำลังระบาดหนัก พวกมันปล้นฆ่าไม่เลือกหน้า สร้างความหวาดกลัวและความเดือดร้อนไปทั่วทั้งแถบ ชาวบ้านต่างต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดผวาและไม่มีความสงบสุข แม่ทัพฉินเย่เหวิน ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักรบผู้เก่งกาจและกล้าหาญ จึงขออาสาออกไปปราบปรามโจรร้ายเหล่านี้ เพื่อสร้างผลงานและคืนความสงบสุขให้กับบ้านเมืองจอมโจรภูเขาเลือกตั้งฐานที่มั่นในพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร เป็นดินแดนที่เข้าถึงได้ยากและเต็มไปด้วยภูมิประเทศที่ท้าทาย การเดินทางไปยังถิ่นของพวกมันจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งเส้นทางที่คดเคี้ยวและอันตราย รวมถึงการต้องระมัดระวังการซุ่มโจมตีจากพวกโจรที่ชำนาญพื้นที่แม่ทัพฉินเย่เหวินไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขานำกำลังพลติดตามไปเพียง 100 คน เป็นทหารที่เชี่ยวชาญและไว้วางใจได้ ความมุ่งมั่นในสายตาของแม่ทัพหนุ่มฉายชัด เขารู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่จะสร้างผลงานและแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขาอีกครั้งเมื่อออกเดินทางเข้าสู่พื้นที่อันทุรกันดาร กองกำลังของแม่ทัพฉินเย่เหวินต้องเผชิญกับเส้นทางที่ยากลำบาก ฝ่าดงพงไพรและข้ามภูเขาที่สูงชัน แม้ความเหน็ดเหนื่อยจ
ในวังหลวงที่ถูกปิดบังด้วยกำแพงสูงตระหง่านและเงาของราชบัลลังก์ ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ความสง่างามขององฮองเฮาหลี่หวงซินนั้นกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้ แม่ทัพฉินเย่เหวิน ผู้เป็นดั่งยอดฝีมือในสนามรบ กลับพ่ายแพ้ต่อเสน่ห์ของนางผู้เลอโฉม ทั้งสองแอบมีสัมพันธ์ลับอันเร่าร้อนซึ่งถูกปิดซ่อนไว้ในม่านความลับในช่วงที่แม่ทัพฉินเย่เหวินทำหน้าที่สอนวิชาเชิงดาบให้กับองค์ชายหวังอี้เฟิง เขาไม่อาจหักห้ามใจจากการพบปะกับนางได้ ทุกครั้งที่หยุดพัก ทั้งสองจะพากันหายลับไปยังมุมอันเงียบสงบของพระราชวัง ดวงตาของพวกเขามักเต็มไปด้วยความปรารถนา มันแผดเผาใจทำให้พวกเขาไม่อาจละสายตาจากกันได้นับวันผิวพรรณของหลี่หวงซินยิ่งงดงามขึ้น ดวงตาเป็นประกายสดใส ผิวเนียนนุ่มดั่งผลท้ออ่อน นางดูเปล่งปลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความลับของความงามนี้อยู่ที่ไฟราคะอันร้อนแรงของแม่ทัพหนุ่มผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อศึกใด ไม่เว้นแม้แต่ศึกรักก็เช่นกันเขามักจะอัดฉีดน้ำกามของตนเข้าไปภายในเรือนร่างของนางทุกครั้งเพื่อที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ“อ๊า...ข้าเสียวเหรอเกิน” องฮองเฮาหลี่หวงซิน กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความพึงพอใจยามที่น้ำกามของชู้รั







