Masukหวังเสี่ยวจื้อ ขันทีเฒ่าผู้มีสายตาเจ้าเล่ห์มองไปยังแม่ทัพหนุ่มด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความหิวกระหาย แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับแฝงไปด้วยความสุภาพอ่อนน้อม ขันทีเฒ่าค่อยๆ เคลื่อนกายเข้ามาใกล้แม่ทัพหนุ่มทีละน้อย ราวกับนักล่าที่ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เหยื่อโดยไม่ให้อีกฝ่ายทันรู้ตัว เขานั่งลงใกล้ชิดจนแทบจะแนบสนิทกับแม่ทัพ ฉินเย่เหวิน
“แม่ทัพ ฉินเย่เหวิน ข้าหวังเสี่ยวจื้อ รู้สึกปลาบปลื้มยินดียิ่งนักที่ท่านได้กรุณามาเยี่ยมเยือนข้าในวันนี้” หวังเสี่ยวจื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง “ความสง่างามของท่านนั้น สูงส่งยิ่งกว่าคำล่ำลือของผู้คนเสียอีก ท่านช่างเป็นชายที่น่าชื่นชมจริงๆ”
บรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกอึดอัด แม่ทัพหนุ่มรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจในหัวใจ แม้ขันทีเฒ่าจะใช้คำพูดที่อ่อนโยนและมีมารยาท แต่น้ำเสียงและท่าทีของเขากลับทำให้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังคำพูดเหล่านั้น
“ท่านหวังเสี่ยวจื้อ ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว ข้าก็เป็นเพียงแค่แม่ทัพเล็กๆ เท่านั้น จะไปเทียบรัศมีของท่านได้อย่างไร” ฉินเย่เหวินพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกกระอักกระอ่วน “ความสุภาพและอ่อนโยนของท่านที่ข้าได้ยินมานั้น วันนี้ข้าได้เห็นด้วยตาของตนแล้ว ท่านช่างมีความสุภาพอ่อนโยนสมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้จริงๆ”
แม้ว่าเขาจะเอ่ยคำชมออกไป แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ในขณะที่เขาพูด หวังเสี่ยวจื้อก็ดูเหมือนจะไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นได้อีกต่อไป มือของขันทีเฒ่าเริ่มขยับไปมาอย่างกระวนกระวาย ก่อนที่จะวางลงบนท่อนขาของตนเอง ใบหน้าของเขายิ้มแย้ม แต่สายตานั้นกลับแอบจับจ้องไปยังตำแหน่งตรงกลางระหว่างขาของตนด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความหมายที่ไม่อาจคาดเดาได้
บรรยากาศภายในห้องดูเหมือนจะหนักอึ้งขึ้น ฉินเย่เหวินรู้สึกถึงความไม่สบายใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็พยายามรักษาความสงบนิ่ง แสดงออกถึงความสุภาพและสง่างาม
“เชิญแม่ทัพดื่มชาก่อน ชาหอมนี้เด็กๆ ของข้าได้มาจากแดนไกล รสชาติของมันนั้นไม่เลวเลย” หวังเสี่ยวจื้อกล่าวพลางยิ้มอย่างอบอุ่น พลางชี้ไปที่ถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าแม่ทัพหนุ่ม แววตาของเขาเปล่งประกายด้วยความพึงพอใจที่มีแขกสำคัญมาเยือน
ฉินเย่เหวินยิ้มรับคำเชิญอย่างสุภาพ แม้ในใจจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบตามมารยาท รสชาติของชานั้นหอมละมุนและนุ่มนวลกว่าที่เขาคิดไว้ แต่ความรู้สึกไม่สบายใจยังคงไม่จางหายไป
ในใจของฉินเย่เหวิน เขารู้ดีว่าการที่จะเข้าไปภายในตำหนักผีเสื้ออันเลื่องชื่อนั้น ย่อมต้องมีการเอาอกเอาใจขันทีเฒ่าผู้นี้ให้มาก แม้ว่าความรู้สึกภายในจะบอกให้ระมัดระวัง แต่เขาก็เข้าใจดีว่า การทำตามมารยาทและความคุ้นเคยของราชสำนักนั้นเป็นสิ่งสำคัญ การดื่มชาจึงเป็นเพียงขั้นตอนเล็กๆ ที่เขาต้องผ่านไปให้ได้
บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนจะผ่อนคลายลงบ้าง แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความไม่แน่นอน ขณะที่แม่ทัพหนุ่มจิบชา หวังเสี่ยวจื้อก็นั่งเฝ้ามองด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ ความสง่างามของแม่ทัพหนุ่มดูเหมือนจะทำให้ขันทีเฒ่ายิ่งรู้สึกพอใจ แต่ขณะเดียวกันก็มีบางอย่างในสายตานั้นที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีความลับซ่อนอยู่ภายใน
หลังจากที่แม่ทัพหนุ่ม ฉินเย่เหวิน จิบน้ำชาเข้าไปได้ไม่นาน เขาก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรวดเร็ว ความร้อนรุ่มเริ่มแผ่กระจายจากภายใน ราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชนทั่วร่าง ความรู้สึกไม่สบายเริ่มเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงที่ไม่อาจควบคุมได้ บริเวณตรงกลางระหว่างขาของเขาเกิดการแข็งตัวอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด จนตัวเขาเองยังต้องตกตะลึง
ในยามนี้ ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่กำลังตื่นตัว เต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่อาจต้านทานได้ ขณะที่ความหื่นกระหายเริ่มกลืนกินความรู้สึกและสติสัมปชัญญะของเขา เสียง "ปัง! ปัง! ปัง!" ดังขึ้นกึกก้อง ประตูและหน้าต่างทุกบานในห้องถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว ขันทีที่อยู่ภายนอกต่างก็ปิดผนึกทางออกทุกทางไม่ให้แม่ทัพหนุ่มหลบหนีไปได้
แม่ทัพหนุ่มพยายามที่จะลุกขึ้นยืน แต่พบว่าร่างกายของเขากลับไม่เชื่อฟัง ดวงตาของเขาเหลือบไปมองหวังเสี่ยวจื้อที่กำลังยืนมองเขาด้วยความพึงพอใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย แววตาของขันทีเฒ่าเผยถึงเจตนาร้ายที่ซ่อนอยู่
“ท่านหวังเสี่ยวจื้อ... ในน้ำชานั้นมีอะไรกันแน่?” เสียงของฉินเย่เหวินเต็มไปด้วยความสับสนและโกรธเกรี้ยว แต่ก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว เขารู้สึกถึงพลังที่ควบคุมไม่ได้ ความหื่นกระหายกำลังค่อยๆ กลืนกินจิตใจและร่างกายของเขา หากปล่อยไว้เช่นนี้ เขาคงจะต้องสูญเสียการควบคุมตนเองอย่างแน่นอน
หวังเสี่ยวจื้อก้าวเข้ามาใกล้ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “แม่ทัพ ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก สิ่งที่ท่านดื่มเข้าไปก็เป็นเพียงชาสมุนไพรธรรมดาๆ เท่านั้น... เพียงแต่มันมีสรรพคุณพิเศษที่จะช่วยให้ท่าน...ผ่อนคลายและปลดปล่อยความต้องการที่ท่านเก็บซ่อนไว้”
แม่ทัพหนุ่มพยายามจะต่อต้านความรู้สึกนี้ แต่ยิ่งเขาพยายามมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งตอบสนองต่อยาในน้ำชามากขึ้น เขารู้ดีว่าต้องรีบหาทางหนีจากสถานการณ์นี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป แต่ดูเหมือนว่าทุกหนทางจะถูกปิดกั้นหมดแล้ว...
น้ำชาที่แม่ทัพหนุ่ม ฉินเย่เหวิน ได้ดื่มเข้าไปนั้น แท้ที่จริงแล้วมีส่วนผสมของ ผงดอกไม้แดง ซึ่งเป็นยาปลุกอารมณ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ผงดอกไม้แดงมีชื่อเสียงในหมู่ชาววังว่าเป็นยาที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้อย่างรุนแรงและรวดเร็ว มันไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายของผู้ที่ดื่มเข้าไปเกิดความต้องการทางเพศอย่างมหาศาล แต่ยังเพิ่มพละกำลังและทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนกับมีพลังเหนือมนุษย์ธรรมดา
ผลกระทบของผงดอกไม้แดงนั้นรุนแรงถึงขนาดที่สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นเหมือนสัตว์ป่า ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความต้องการที่จะผสมพันธุ์ ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ที่ได้รับผงดอกไม้แดงเข้าไปจะถูกขยายออกไปจนถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ สิ่งนี้ทำให้แม่ทัพหนุ่มฉินเย่เหวินรู้สึกร้อนรุ่มและหื่นกระหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในขณะที่ฤทธิ์ยาของผงดอกไม้แดงเริ่มแสดงผลอย่างเต็มที่ แม่ทัพหนุ่มรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังถูกเปลี่ยนแปลง พละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลและความต้องการทางเพศที่ไม่อาจหยุดยั้งได้กำลังเข้าครอบงำความคิดและการกระทำของเขา ความรู้สึกที่ปกติจะเก็บงำไว้กลับถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมดในครั้งเดียว
หวังเสี่ยวจื้อ ขันทีเฒ่าที่แอบวางแผนไว้ล่วงหน้า ยืนมองแม่ทัพหนุ่มที่ตกอยู่ในอาการเช่นนี้ด้วยความพึงพอใจ เขารู้ดีว่าเมื่อผงดอกไม้แดงเริ่มทำงานเต็มที่ แม่ทัพหนุ่มจะไม่มีทางหนีรอดไปได้เลย ความเร่าร้อนและพลังงานที่ล้นเหลือกำลังเผาผลาญฉินเย่เหวินทั้งร่าง และหากไม่มีใครหยุดเขาได้ เขาอาจกลายเป็นอสูรร้ายที่ไม่มีวันหยุดยั้งได้เลย
แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าตนกำลังจะหลุดจากการควบคุม หากปล่อยไว้ต่อไป อาจเกิดเหตุการณ์ที่เขาไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก แต่ในสภาพเช่นนี้ ความสามารถในการคิดและการตัดสินใจเริ่มเลือนลางลงทุกที...
หลังจากที่หวังเจียเหอ ฮ่องเต้ ประสบความเจ็บป่วยอย่างหนัก องค์ฮองเฮาหลี่หวงซินได้ตัดสินใจทุบกำแพงที่แยกตำหนักส่วนตัวของนางกับจวนของแม่ทัพฉินเย่เหวิน และสร้างพื้นที่ร่วมกันใหม่ ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย นางได้แปลงตำหนักของนางให้กลายเป็นสถานที่ที่คล้ายหลุดออกจากโลกภายนอกพื้นที่ในตำหนักของนางถูกปกคลุมด้วยความลับและความเย้ายวนใจ ไม่มีข้อบังคับทางศีลธรรมมาขวางกั้น ความหลงใหลและความปรารถนาของนางกับแม่ทัพหนุ่มจึงถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่ ทุกวัน แม่ทัพฉินเย่เหวินจะมอบความเร่าร้อนและความพึงพอใจให้แก่องค์ฮองเฮาอย่างดุเดือด นางร้องครวญครางด้วยความสุขจนเต็มอิ่มเสียงครางจากองค์ฮองเฮาดังขึ้น "ท่านแม่ทัพ แรงอีก แรงอีก ข้าเสียวจนข้าจะไม่ไหวอยู่แล้ว" นางร้องออกมาด้วยความรู้สึกอันร้อนแรงและเต็มไปด้วยความพอใจในขณะที่ภาพความรักอันร้อนแรงเผยออกมา ภายในตำหนักที่เปล่าเปลือยแห่งนี้ นางสนมจากตำหนักผีเสื้อยืนอยู่ด้วยความหลงใหลและชื่นชม การมองดูฉากนี้ราวกับเป็นการแสดงถึงความงดงามและอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนางสนมราวกับถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์อันล้ำลึกของฉากที่พวกนางเฝ้าดู ร่างกายของพวกนางทั้งหมดรวม 100 ชีวิต นุ่งน้อยห่
หลังจากที่หวังเจียเหอ ฮ่องเต้ล้มป่วยและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตำหนักผีเสื้อซึ่งเคยเป็นสวนสวรรค์ของพระองค์ก็ขาดคนดูแล สถานที่นี้เต็มไปด้วยนางสนมร้อยกว่าคนที่มีลีลาในการร่วมรักที่สุดแสนจะร้อนแรงพวกนางถูกรวบรวมมาจากทั่วทั้งแผ่นดินไม่ว่าจะผิวพรรณหน้าตารวมไปถึงความหื่นกระหายของพวกนางนั้นนับว่าเป็นหนึ่งแม่ทัพฉินเย่เหวินได้เชิญนางสนมทั้งหมดให้ย้ายมาอยู่กับตนชายหนุ่มผู้มีพลังอำนาจมากที่สุดภายในเมืองหลวงแห่งนี้นั้นเป็นเขามีหรือที่พวกนางนั้นจะตอบปฏิเสธจวนของท่านแม่ทัพในยามนี้นั้นเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็อยากที่จะมาเยือนสักครั้งในกลุ่มนางสนมมีซูเหม่ยฉิงซึ่งเป็นอดีตภรรยาคนรักของแม่ทัพ ฉินเย่เหวิน นางได้กลับมาด้วยความเต็มใจเพื่อรับหน้าที่ในการดูแลแม่ทัพและรับผิดชอบในการให้ความสุขทางกายแก่เขา ซูเหม่ยฉิงมีลีลาที่เร่าร้อนและประสบการณ์อันลึกซึ้งจากอดีตที่ผ่านมา ความรักและราคะที่เคยมีต่อกันทำให้เธอเต็มใจและพร้อมที่จะรับภาระหนักในการรองรับความต้องการของชายผู้เป็นอดีตสามีของเธอคืนนี้ ซูเหม่ยฉิงได้เตรียมตัวอย่างดีด้วยการสวมใส่ชุดนอนบางเบาที่เผยให้เห็นรูปร่างอันเย้ายวนใจของเธออย่า
แม่ทัพฉินเย่เหวินได้สร้างผลงานที่น่าจดจำอีกครั้งด้วยการปราบจอมโจรที่มีชื่อเสียง จึงได้รับการเลื่อนขั้นจากตำแหน่งแม่ทัพเป็น "แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวง" การเลื่อนขั้นนี้เกิดขึ้นด้วยการสนับสนุนจากองฮองเฮาหลี่หวงซิน ซึ่งไม่เพียงแค่ให้การสนับสนุนด้านตำแหน่ง แต่ยังมอบจวนแม่ทัพหลังใหม่ที่มีขนาดใหญ่โตและกว้างขวางยิ่งกว่าเดิมจวนใหม่ของแม่ทัพฉินเย่เหวินตั้งอยู่ใกล้กับตำหนักขององฮองเฮาหลี่หวงซิน นางให้เหตุผลว่าการมีเขาใกล้ชิดจะทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น เพราะเขาสามารถคอยปกป้องเธอและลูกได้ตลอดเวลา ความใกล้ชิดนี้ยังแสดงถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งฮ่องเต้เองก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจใด ๆ ต่อการเลื่อนขั้นและการมอบจวนใหม่ของแม่ทัพฉินเย่เหวิน เนื่องจากเขาตระหนักถึงความสำคัญและความสามารถของแม่ทัพหนุ่มในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของราชสำนักในช่วงกลางดึกของคืนหนึ่ง องฮองเฮาหลี่หวงซินได้แอบลอบเข้ามาภายในจวนหลังใหม่ของแม่ทัพฉินเย่เหวิน ความรู้สึกของนางที่ไม่อาจต้านทานความต้องการในใจ ทำให้นางตัดสินใจเดินทางจากตำหนักของตนไปยังจวนใหม่ของแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งอยู่ห่างจากตำหนักของนางเพียงไม่กี่ก้าวค่ำคืนนี้ช
แม่ทัพฉินเย่เหวินจ้องมองเรือนร่างของนางโจรสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล ร่างกายของเขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ท่อนเนื้อแข็งผงาดขึ้นมาด้วยความปรารถนา เขารู้สึกถึงความร้อนรุ่มที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ความคิดในใจเต็มไปด้วยภาพของนางที่ชัดเจนทุกอณู เนื้อหนังของนางที่อ่อนนุ่มและโค้งเว้าอย่างน่าหลงใหลทำให้เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้บรรยากาศรอบกายเริ่มเปลี่ยนแปลง กลิ่นอายแห่งราคะค่อยๆ ลอยปกคลุมทั่วบริเวณ ความต้องการในใจของแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ทวีความรุนแรงขึ้น เขารู้ดีว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คือความพึงพอใจอย่างสุดขีดในเรือนร่างของนาง และไม่อาจหลบหนีจากเสน่ห์ที่นางมีต่อเขาได้เลยร่างกายของจอมโจรสาวเริ่มสั่นเทาด้วยความรู้สึกที่เธอไม่อาจควบคุมได้ เปลวไฟแห่งราคะกำลังลุกไหม้ไปทั่วร่างของเธอ หลังจากที่ดื่มชาที่มีส่วนผสมปลุกอารมณ์เข้าไป ความร้อนรุ่มก็เริ่มแผ่กระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย สายตาของเธอพร่ามัวด้วยแรงปรารถนา หัวใจเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกจากอก ความคิดที่เคยเข้มแข็งและมุ่งมั่นของเธอถูกแทนที่ด้วยความต้องการที่รุนแรง เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตั
ในช่วงนี้ ทางตอนใต้ของเมืองหลวงต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากจอมโจรภูเขาที่กำลังระบาดหนัก พวกมันปล้นฆ่าไม่เลือกหน้า สร้างความหวาดกลัวและความเดือดร้อนไปทั่วทั้งแถบ ชาวบ้านต่างต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดผวาและไม่มีความสงบสุข แม่ทัพฉินเย่เหวิน ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักรบผู้เก่งกาจและกล้าหาญ จึงขออาสาออกไปปราบปรามโจรร้ายเหล่านี้ เพื่อสร้างผลงานและคืนความสงบสุขให้กับบ้านเมืองจอมโจรภูเขาเลือกตั้งฐานที่มั่นในพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร เป็นดินแดนที่เข้าถึงได้ยากและเต็มไปด้วยภูมิประเทศที่ท้าทาย การเดินทางไปยังถิ่นของพวกมันจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งเส้นทางที่คดเคี้ยวและอันตราย รวมถึงการต้องระมัดระวังการซุ่มโจมตีจากพวกโจรที่ชำนาญพื้นที่แม่ทัพฉินเย่เหวินไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขานำกำลังพลติดตามไปเพียง 100 คน เป็นทหารที่เชี่ยวชาญและไว้วางใจได้ ความมุ่งมั่นในสายตาของแม่ทัพหนุ่มฉายชัด เขารู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่จะสร้างผลงานและแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขาอีกครั้งเมื่อออกเดินทางเข้าสู่พื้นที่อันทุรกันดาร กองกำลังของแม่ทัพฉินเย่เหวินต้องเผชิญกับเส้นทางที่ยากลำบาก ฝ่าดงพงไพรและข้ามภูเขาที่สูงชัน แม้ความเหน็ดเหนื่อยจ
ในวังหลวงที่ถูกปิดบังด้วยกำแพงสูงตระหง่านและเงาของราชบัลลังก์ ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ความสง่างามขององฮองเฮาหลี่หวงซินนั้นกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้ แม่ทัพฉินเย่เหวิน ผู้เป็นดั่งยอดฝีมือในสนามรบ กลับพ่ายแพ้ต่อเสน่ห์ของนางผู้เลอโฉม ทั้งสองแอบมีสัมพันธ์ลับอันเร่าร้อนซึ่งถูกปิดซ่อนไว้ในม่านความลับในช่วงที่แม่ทัพฉินเย่เหวินทำหน้าที่สอนวิชาเชิงดาบให้กับองค์ชายหวังอี้เฟิง เขาไม่อาจหักห้ามใจจากการพบปะกับนางได้ ทุกครั้งที่หยุดพัก ทั้งสองจะพากันหายลับไปยังมุมอันเงียบสงบของพระราชวัง ดวงตาของพวกเขามักเต็มไปด้วยความปรารถนา มันแผดเผาใจทำให้พวกเขาไม่อาจละสายตาจากกันได้นับวันผิวพรรณของหลี่หวงซินยิ่งงดงามขึ้น ดวงตาเป็นประกายสดใส ผิวเนียนนุ่มดั่งผลท้ออ่อน นางดูเปล่งปลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความลับของความงามนี้อยู่ที่ไฟราคะอันร้อนแรงของแม่ทัพหนุ่มผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อศึกใด ไม่เว้นแม้แต่ศึกรักก็เช่นกันเขามักจะอัดฉีดน้ำกามของตนเข้าไปภายในเรือนร่างของนางทุกครั้งเพื่อที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ“อ๊า...ข้าเสียวเหรอเกิน” องฮองเฮาหลี่หวงซิน กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความพึงพอใจยามที่น้ำกามของชู้รั







