ณ บ้านน้อยริมลำธาร
“คุณยายเอาอีก!” เสียงหวานส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องขอข้าวจากฮูหยินฉางที่กำลังตักข้าวให้หญิงสาวจนพูนชาม จางเพ่ยอันรีบเอื้อมมือรับชามข้าวด้วยความดีใจ พลางใช้ตะเกียบที่ทำจากไม้ไผ่คีบข้าวเข้าปากด้วยความหิว เนื้อปลาย่างจนสุกหอมน่ากินและน้ำแกงปลา เพื่อบำรุงกำลังทำให้หญิงสาวเจริญอาหารอย่างยิ่งยวด “คุณยายทำกับข้าวอร่อยจังเลยค่ะ อร่อยมากๆ อร่อยจริงๆ นะ” เธอพูดชมไม่ขาดปากพร้อมพุ้ยข้าวไปด้วย สองสามีภรรยาหันไปมองหน้ากันก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ เมื่อฟังคำพูดของสาวน้อยตรงหน้าไม่เข้าใจ ในขณะที่จางเพ่ยอันเริ่มจะรู้สึกตัวว่าเธอพูดอะไรผิดไปหรือไร ใยผู้อาวุโสทั้งสองจึงได้นั่งเงียบงันอยู่เช่นนั้น “เอ่อ... หนูพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมตากับยายถึงนั่งมองหน้าแบบนั้นคะ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปพร้อมเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากพลางยกน้ำแกงซดตามไปด้วย ก่อนจะได้ยินหยงอู่เอ่ยขึ้น “แม่หนู... เจ้าเป็นคนแคว้นใดรึ เป็นชาวเมืองฉินหรือเปล่า เหตุใดถ้อยเจรจราของเจ้าจึงแลดูแปลกชอบกลนัก ข้าและฮูหยินพยายามตั้งใจฟังเจ้าพูดอยู่เป็นนานแต่ก็หาเข้าใจถ้อยคำของเจ้าแต่อย่างใด” ครั้นหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นตะเกียบที่กำลังคีบเนื้อปลาเข้าปากหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบนำเข้าปากดั่งเดิมพร้อมวางตะเกียบลงบนถ้วยข้าว เมื่อล่วงรู้ว่าคำกล่าวของเธอในยุคที่จากมาผู้คนยุคนี้หาได้เข้าใจกับสิ่งที่เธอพูดไม่ “ภาษาพูดในยุคประวัติศาสตร์ก็ไม่แตกต่างจากยุคปัจจุบันเสียเท่าไร อาจจะมีบางคำที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเพียงแต่สำเนียงนี่สิ จะแยกออกทันทีว่าเป็นชาวเมืองแคว้นใด อดีตชาติของเราคือชาวแคว้นฉินมิใช่เหรอ แล้วพูดแบบไหนกันหว่า” หญิงสาวนั่งมองถ้วยข้าวตรงหน้าเขม็ง ด้วยกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายในใจท่ามกลางสายตาของสองสามีภรรยา “เออ... เจ้าเป็นอะไรไปแม่หนู ถ้าไม่สะดวกที่จะตอบก็ไม่เป็นไรนะ สบายใจเมื่อไรค่อยเล่าสู่กันฟังก็ได้” ฮูหยินฉางเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา ดวงตากลมโตมองสองสามีภรรยาที่ช่วยชีวิตเธอพร้อมส่งยิ้มหวานกลับไปให้ “ช่างเถอะ! ช่างเถอะ! มัวคิดเรื่องวิชาการในยุคนี้ได้ยังไงช่างไม่เข้าท่า จะพูดแบบไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น แค่พูดให้สอดคล้องกับยุคสมัยของที่นี่้ก็พอ” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจพร้อมเอ่ยขึ้น “เออ... หนู... เอ้ย! ท่านตาท่านยายอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดไปนะ พอดีว่าข้าจดจำอะไรไม่ได้มากเสียเท่าไร ยังจำอะไรไม่ค่อยได้ก็เลยพูดอะไรแปลกๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ตอนนี้ข้าเริ่มจะจำได้บ้างแล้ว อย่างไรเสียที่ผ่านมาก็ขอได้โปรดอภัยให้แก่ข้าด้วยเถิด” หญิงสาวพูดพลางส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้กับสองตายาย ในขณะที่สองสามีภรรยาพากันนั่งมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดูพร้อมเอ่ยถามกลับไป “ถ้าเช่นนั้นจดจำชื่อของเจ้าได้หรือไม่ มีชื่อเรียงเสียงใดรึ” ฮูหยินฉางเอ่ยถามกลับไป ครั้นหญิงสาวถูกถามชื่อแซ่กลับมาตรงๆ เช่นนั้น เธอมิรอช้ารีบตอบกลับไปทันทีโดยไม่ต้องคิด “อือ... ข้าจำได้แล้วท่านยาย ข้าชื่อเพ่ยอัน เรียกข้าว่าอันอันก็ได้” หญิงสาวตอบเป็นชื่อของเธอออกไปทันที “อ่อ... ชื่อนี้สมรูปโฉมของเจ้าเสียจริง รูปก็งามนามก็เพราะ" ฮูหยินฉางกล่าวออกมาพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ "แล้วมาจากสกุลใดรึ” ผู้สูงวัยไม่วายถามกลับไปด้วยความอยากรู้ จางเพ่ยอันซึ่งกำลังซดน้ำแกงอยู่ในขณะนั้นหยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อถูกถามกลับมา “ถ้าบอกว่าเราแซ่จาง คนทั่วไปก็จะรู้ทันทีว่ามาจากสกุลจาง ไม่เป็นผลดีกับตัวเองให้ตายสินะ ดีไม่ดีพวกคนที่ฆ่าเจี๋ยเจี๋ยจะตามแกะรอยมาถึงตัวเราได้ด้วย” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในใจพลางวางน้ำแกงลงบนโต๊ะอาหารเมื่อรู้สึกว่าอิ่มแล้วพร้อมเอ่ยตอบกลบไป “ข้าจำไม่ได้เลยท่านตาท่านยายว่ามาจากสกุลไหน พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหนด้วย จากนี้ไปจะทำอย่างไรข้าก็ยังไม่รู้เลย ท่านตาท่านยายคงจะไล่ข้าไปแล้วใช่ไหมถึงได้ถามแบบนี้ อีกอย่างข้าก็กินจุด้วยแค่วันนี้ก็ทำให้ท่านยายหุงข้าวมากกว่าทุกวันแล้ว” หญิงสาวหยั่งเชิงเอ่ยถามกลับไป ด้วยตลอดวันที่ผ่านมาเธอพบว่าสถานที่แห่งนี้สามารถซ่อนเร้นกายได้อย่างมิดชิด เหมาะที่จะเตรียมพร้อมเพื่อเตรียมแผนให้รัดกุมหากจะติดต่อกลับไปที่จวนสกุลจาง ซึ่งพ่อและแม่ในชาตินี้ของเธอรอคอยการกลับมาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่สองสามีภรรยาครั้นได้ยินหญิงสาวถามกลับมาเช่นนั้น ทั้งคู่ต่างพากันส่ายหน้าไปมาติดๆ กันด้วยความเอ็นดูไม่คิดว่าเด็กสาวรูปโฉมสวยงามจะคิดว่าทั้งสองจะไล่นางไปอยู่ที่อื่น พร้อมเสียงของหยงอู่เอ่ยขึ้น “พูดอะไรออกมาแบบนั้นเด็กโง่! ตรงกันข้ามข้าและฮูหยินดีใจเสียมากกว่าที่บ้านหลังนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้น อยู่กันตามลำพังสองคนตายายมานานมากแล้ว มีเจ้ามาอยู่ด้วยจะเป็นไรไป อยากอยู่นานแค่ไหนตามใจเถิด หรือจะอยู่ด้วยกันตลอดไปก็จะดีมากเลย” หยงอู่ตอบกลับมาท่ามกลางความดีใจของหญิงสาว ร่างระหงรีบลุกจากตั่งที่เธอนั่งมาคุกเข่าลงบนเสื่อพร้อมก้มศีรษะโค้งคำนับสองสามีภรรยาทันที “ถ้าเช่นนั้นเพ่ยอันขอฝากชีวิตกับท่านตาและท่านยาย ขอเป็นหลานสาวคอยดูแลและอยู่กับท่านทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ” หญิงสาวรู้จักใช้ถ้อยเจรจาย้อนยุคดั่งเช่นคนในยุคอดีตได้อย่างคล่องแคล่ว มือน้อยเรียวสวยรีบรินน้ำชาลงถ้วยสองใบพร้อมยื่นส่งให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองเพื่อเป็นการคาราวะและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว สองสามีภรรยาพยักหน้าขึ้นลงด้วยความดีใจพลางเอื้อมมือรับถ้วยน้ำชายกขึ้นจิบเป็นการยอมรับหญิงสาวเข้ามาเป็นหลานสาวของคนทั้งคู่ “จากนี้ไปเจ้าก็เป็นคนสกุลหยงแล้วนะ ชื่อของเจ้ารวมกับแซ่ของข้าก็จะเรียกขานว่าหยงเพ่ยอัน ช่างดีเสียจริง ในที่สุดข้าก็จะได้มีผู้สืบทอดตำราแพทย์ที่มิมีใครสานต่อนี้ได้แล้ว” หยงอู่เอ่ยออกมา จางเพ่ยอันนั่งอึ้งไปเลยทีเดียวด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “โอ้โฮ! ท่านตาเป็นหมออย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปทันที ชายชราพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับ “เดิมทีข้าเป็นชาวแคว้นจงซาน มีวิชาแพทย์ติดตัวของบรรพบุรุษและมีโรงหมอเปิดรับรักษาคนป่วยในแคว้นนั้น พอแคว้นถูกทำลายลงก็เลยหนีมาตั้งรกรากอยู่ที่แคว้นฉินจนได้พบกับฮูหยินของข้า วิชาแพทย์ที่อยู่ติดกายจะนำมาใช้เมื่อพานพบคนรู้จักหรือได้ช่วยเหลือระหว่างทาง ซึ่งวิชาแพทย์ของข้าจะไม่ถ่ายทอดให้แก่ผู้ใดหากไม่ใช่สายเลือดของสกุล” ใบหน้าแสนสวยพยักขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้น “แล้วข้าเป็นเพียงแค่หลานสาวบุญธรรมมิได้มีสายเลือดจากสกุลหยงโดยตรงเช่นนี้แล้วท่านตาสามารถถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้แก่ข้าได้ด้วยเหรอ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ทำไมจะไม่ได้เล่าในเมื่อข้ายอมรับเจ้าเข้าตระกูลหยงในฐานะหลานสาวของข้า เช่นนี้แล้วมิได้ผิดเจตนาในการสืบทอดวิชาแพทย์ซึ่งเป็นตำราหมอเทวดาจากแคว้นจงซานแต่อย่างใด สืบทอดต่อๆ กันมาจากหมอเทวดาหยงเซี๊ยะในราชวงศ์เซี่ยเลยทีเดียว” หยงอู่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “หยงเซี๊ยะอย่างนั้นเหรอ ชื่อนี้ทำไมคุ้นจังเลย” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในใจเมื่อรู้สึกว่าจะอ่านพบในประวัติศาสตร์ ก่อนจะเบิกตากว้างครั้นเธอจดจำได้ “หยงเซี๊ยะ หมอเทวดาในสมัยราชวงศ์เซี่ยโบราณ ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถรักษาคนเจ็บหายทุกราย จนไปถึงทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ เล่าลือกันว่ายังสามารถล่วงรู้อนาคตได้อีกด้วย โอ้โฮ! สุดยอดเป็นบ้า ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉัน... จางเพ่ยอันจะได้มาพบกับลูกหลานของหมอเทวดาหยงเซี๊ยะในเวลานี้” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะคลานเข่าเข้าไปหาท่านผู้เฒ่าหยงอู่ “ท่านตา! หากท่านเชื่อว่าข้าสามารถเรียนรู้ตำราแพทย์ของสกุลหยงได้ ข้ายินดีที่จะเรียนรู้วิชาแพทย์ทั้งหมดของท่านเพื่อสืบทอดการเป็นหมอเทวดาของบรรพบุรุษต่อไป” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้มศีรษะคำนับชายชราติดต่อกันสามครั้ง ท่ามกลางความพึงพอใจของหยงอู่ ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอออกมาทันที “ท่าทางเจ้าจะเป็นหมอที่เต็มไปด้วยความปราดเปรื่องและเจ้าเล่ห์ไม่เบาเชียวนะอันอัน” หยงอู่กระเซ้าหญิงสาวกลับไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทั้งสามชีวิตที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด จางเพ่ยอันเปล่งเสียงหัวเราะของเธอออกมาอย่างเต็มที่ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาในชาติปัจจุบันที่เติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ครั้นเมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของสกุลหยงทำให้เธอมีความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที ครอบครัวที่เคยวาดฝันเอาไว้บัดนี้ได้มีโอกาสสัมผัสแล้ว และที่นี่คือบ้านหลังแรกของเธอนับตั้งแต่กลับมาในชาติอดีตอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเสียงหัวเราะและดวงตาเจ้าเล่ห์เปล่งประกายระยิบระยับอย่างมีความหวัง เมื่อเธอจะได้เรียนรู้วิชาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์พบว่าวิชาแพทย์ของชาวจีนโบราณเต็มไปด้วยความลี้ลับและมีตำรายาวิเศษมากมายเกิดขึ้นนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของจีน “ในที่สุด! ฉันก็ได้เรียนวิชาแพทย์โดยไม่ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์แล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมส่งเสียงหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจเป็นการใหญ่ จางเพ่ยอันชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสูง ท่ามกลางสายตาของสองสามีภรรยาต่างพากันนั่งมองกิริยาแปลกประหลาดของหลานสาวที่เพิ่งรับเข้าสกุล ก่อนจะพากันตกใจไปตามๆ กันเมื่อจู่ๆ คนงามก็ตะโกนคำแปลกประหลาดดังลั่นออกมา “สู้โว้ย!!!”ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ