ณ แคว้นหนานฉีภายในพระราชวังความรู้สึกไม่สบายใจของเซียวอวี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆเขาฝืนอ่านฎีกาจนจบ แล้วขึ้นราชรถไปตำหนักหย่งเหอด้วยจิตใจที่ล่องลอยหลิวซื่อเหลียงรีบตามมาด้านหลัง เขามองออกว่าฝ่าบาทกำลังวิตกกังวล ก็นึกว่าฝ่าบาททรงกังวลเรื่องของแคว้น จึงให้ข้าหลวงถอยออกไปด้วยสายตาที่เฉียบแหลมเซียวอวี้นั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้ในตำหนักชั้นในเป็นเวลานานหากไม่ติดเรื่องฐานะฮ่องเต้ ยามนี้เขาอยากจะไปแคว้นซีหนี่ว์ ตามจิ่วเหยียนของเขากลับมาแล้วแคว้นซีหนี่ว์ในเวลาเดียวกันเฟิ่งจิ่วเหยียนตกอยู่ในสองสถานการณ์ที่ยากลำบากด้านหนึ่ง นางรู้ดีว่าด้วยฐานะฮองเฮาแคว้นหนานฉีของนาง ไม่อาจอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ได้อีกด้านหนึ่ง แคว้นซีหนี่ว์ถูกคุกคามจากแคว้นศัตรู หากนางพาท่านแม่จากไปโดยไม่สนใจความอยู่รอดของแคว้นซีหนี่ว์ ย่อมทำใจได้ยากภายในตำหนัก โอวหยางเหลียนและหูย่วนเอ๋อร์ต่างคุกเข่าให้นางอยู่บนพื้น ขอร้องให้นางอยู่ต่อด้านนอกตำหนัก เหล่าขุนนางที่เดิมยังอยู่ที่ท้องพระโรงหน้า ไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากที่ใด ยามนี้ต่างก็มาคุกเข่าอยู่ด้านนอก ขอให้นางขึ้นครองราชย์แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนหนักอึ้ง“ลุกข
ความผูกพันที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อแคว้นซีหนี่ว์ ไม่ลึกซึ้งเท่าความผูกพันที่มีต่อแคว้นหนานฉีเนื่องจากนางเติบโตในแคว้นหนานฉีตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเคยเป็นทหารของแคว้นหนานฉีญาติสนิทมิตรสหายของนาง ล้วนอยู่ในแคว้นหนานฉีทั้งนั้นตอนนี้ นางยังเป็นฮองเฮาของแคว้นหนานฉีอีกด้วยหากนางตัวคนเดียว บางทีนางอาจจะสามารถอยู่ได้แบบไม่ต้องลังเล แต่ว่าตอนนี้ หากให้นางทิ้งทุกอย่างในแคว้นหนานฉี อยู่เป็นฮ่องเต้ที่แคว้นซีหนี่ว์ นางทำไม่ได้นางมีหลายเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้และยังอาลัยอาวรณ์อยู่สามีของนาง ท่านอาจารย์และอาจารย์หญิง แล้วไหนจะเวยเฉียง…ทว่า แคว้นซีหนี่ว์เองก็ต้องปกป้องในด้านส่วนตัว นี่คือสายเลือดตระกูลบรรพบุรุษของนางในด้านส่วนรวม จำเป็นต้องมีแคว้นเฉกเช่นแคว้นซีหนี่ว์ เพื่อสังคมโลกที่ไม่ยุติธรรมต่อสตรี อีกอย่าง แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งก็สนิทชิดเชื้อกับเป่ยเยี่ยน หากพวกเขาแบ่งแยกแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะสร้างความกดดันต่อชายแดนทางตะวันตกของแคว้นหนานฉี หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด“ข้าจะช่วยแคว้นซีหนี่ว์ปราบปรามศัตรูให้ล่าถอย แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ คงต้องให้ผู้ปรา
เมื่อเห็นว่าขอร้องไปก็ไร้ความหวัง เจิ้งจีก็ตะโกนสาปแช่งไล่หลังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ค่อย ๆ เดินออกไปไกล“เฟิ่งจิ่วเหยียนเจ้าไม่ได้ตายดีแน่ เจ้าสร้างบาปกรรมเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้เจ้ามีลูกอีกไม่ได้แน่นอน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยิน ในใจกลับไม่สะทกสะท้านด้านหลัง มีเสียงยกดาบและลงดาบดังตามมาติด ๆหลิวอิ๋งพูดถูก ถูกประหารศีรษะก็แค่หลุดล่วงบนพื้นวันนี้ ศีรษะของนางหลุดในวังหลวงแคว้นซีหนี่ว์หัวกลิ้งหลุน ๆ ดึงดันหันไปทางตำหนักหลัก จ้องบัลลังก์ที่นางยังไม่ได้ครอบครอง อย่างตายตาไม่หลับเจิ้งจีเห็นภาพนี้ พลันนิ่งอึ้ง“ไม่นะ! ไม่——ท่านแม่!”เมื่อเห็นดาบกำลังจะฟันลงที่นาง นางก็เบิกตากว้างนางเสียใจนางไม่น่าตามมารดาไปที่เมืองหลวง ไม่น่าไปฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยากเป็นนางสนม ไม่น่ากลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์อีกครั้งหากนางอยู่ที่เจียงโจว ก็คงไม่ตายต่อมา เลือดสด ๆ ก็สาดกระเซ็นออกมา…ศีรษะหลุดออกจากบ่าหล่นบนพื้นตายตาไม่หลับเหมือนกัน……นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์กองทัพของแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งโจวเตรียมบุกโจมตีเวลากลางคืน ทหารสอดแนมมารายงาน“ท่านแม่ทัพ! ประมุขแคว้นซีหนี่ว์สิ้นพระชนม์แล้ว! แต่ซู่ย
หัวหน้าแม่ทัพของแคว้นเจิ้งมีสีหน้าอดกลั้น“ผู้หญิงคนนั้นพูดถูก ควรถอยทัพ เพื่อปกป้องกองกำลังของแค้นให้คงอยู่!”หัวหน้าแม่ทัพแคว้นเสี่ยวโจวหงุดหงิดอย่างยิ่ง“สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่เข้าข้างข้า! ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์และแคว้นหนานฉี ผูกมัดรวมกันแล้ว!”หากพวกเขาเคลื่อนทัพเมื่อใด กองทัพชายแดนตะวันตกของแคว้นหนานฉีก็จะเคลื่อนไหวทันทีพอถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะถูกโจมตีทั้งสองทางอันตรายนี้ จะเข้าไปเสี่ยงไม่ได้แคว้นหนานฉีในปัจจุบัน เปรียบเสมือนปีศาจจอมตะกละที่กินอย่างไรก็ไม่อิ่มท้องหากถูกพวกเขาโจมตียึดครอง ก็ไม่ใช่แค่ตกเป็นแคว้นอาณานิคม แต่แคว้นจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวันได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีก……บริเวณขอบชายแดนเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่ไปไหนลมค่อย ๆ แรงขึ้น หูย่วนเอ๋อร์นำผ้าคลุมกันลม มาคลุมให้นางอย่างนอบน้อมสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนทอดมองยังเบื้องหน้า กล่าวอย่างลุ่มลึก“แม่ทัพหู ข้าอยากให้เจ้าบอกมาตามตรง“เรื่องที่สองแม่ลูกหลิวอิ๋งกลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์ ท่านป้ารู้หรือไม่?”หูย่วนเอ๋อร์บอกอย่างงุนงง“ยามที่ประมุขแคว้นรักษาตัวอยู่ที่ชานเมือง นางรู้อะไร หรือไม่รู้อะไรนั้น ข้าไม่รู้เรื่อ
เซียวอวี้ไม่ทันได้รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมา แต่กลับได้ยินข่าวลือที่นางจะขึ้นบัลลังก์ในแคว้นซีหนี่ว์เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็อดที่จะคิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้จากนิสัยของจิ่วเหยียน มีความเป็นไปได้ว่าเพื่อปกป้องแคว้นซีหนี่ว์แล้ว นางจะปล่อยไปตามสถานการณ์ รับช่วงแก้ปัญหาต่อของแคว้นซีหนี่ว์ นัยน์ตาของเซียวอวี้เจือแววหม่นหมองเขาสั่งเฉินจี๋ “ไปสืบมาให้ชัดเจน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”เฉินจี่เองก็ไม่อยากจะเชื่อ ฮองเฮาจะทิ้งฝ่าบาท และหันหลังให้แคว้นหนานฉีทั้งอย่างนี้วันต่อมาณ ตำหนักฉือหนิง หลายวันนี้ไทเฮารู้สึกอ่อนเพลีย มักจะนอนไม่หลับสนิทหมอหลวงตรวจชีพจรให้นาง หนิงเฟยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ “หมอหลวง ร่างกายของท่านป้าเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรหรือไม่?”หมอหลวงโค้งคำนับ “ทูลพระนาง เส้นลมปราณจุดเริ่นของไทเฮาอ่อนแรง เส้นลมปราณไท่ชงก็น้อยลง ชีพจรเทียนขุยหดหาย อุโมงค์อุดตัน ระดูหมด”เขาอธิบายจบ สีหน้าของไทเฮาพลันแข็งค้าง หัวใจเหมือนถูกอะไรทับไว้ จนหายใจไม่ออกระดูหมด นั่นหมายความว่านางเข้าสู่วัยชราอย่างสมบูรณ์นี่เป็นเรื่องที่สตรีต้องประสบพบเจอในชีวิตแต่นางไม่คิดเลยว
ณ ตำหนักฉือหนิงสายตาที่ไทเฮามองมายังฮ่องเต้ ดูไม่สบายใจและไม่มั่นใจอยู่บ้างนางไม่คิดว่า ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง เลยแวะมาเยี่ยมนางเซียวอวี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการถามสารทุกข์สุกดิบใด ๆ“ถวายบังคมเสด็จแม่“เราจะไม่อยู่วัง วันกลับยังไม่แน่ชัด เรื่องภายในวังหลัง เรากังวลว่าหนิงเฟยคนเดียวจะตัดสินใจไม่ได้ จึงอยากฝากให้ท่านดูแลชั่วคราว”ไทเฮางุนงงยิ่งกว่าเดิมเขาจะออกจากวังไปทำอะไรอีก?ไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ?เซียวอวี้ส่งสายตา หลิวซื่อเหลียงจึงนำตราประทับทองวางลงบนโต๊ะมีตราประทับทอง ก็จะสามารถควบคุมเรื่องทุกอย่างในวังหลังได้นานแล้วที่ไทเฮาไม่ได้จับตราประทับทองแต่บางเรื่อง นางเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี“ฮ่องเต้ เจ้าไม่อยู่วังอีกแล้วหรือ ครั้งนี้เพราะอะไรล่ะ? อีกอย่าง ตอนนั้นฮองเฮาใส่ชุดสามัญชนออกตรวจแต่ละเมืองกับเจ้า ทำไมมีแต่เจ้ากลับมาคนเดียว ฮองเฮาล่ะ?”แววตาของเซียวอวี้ราบเรียบ คำโป้ปดพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด“เราต้องกลับมาจัดการเรื่องสำคัญในราชสำนัก ฮองเฮายังออกตรวจอยู่ ครั้งนี้ เราจึงต้องไปตามหานาง”ไม่รู้ไทเฮาเชื่อหรือไม่ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างขณะที่
“นายท่าน ช่วงหลายวันมานี้หิมะตกหนัก ไม่อาจเดินทางต่อได้เลย พื้นที่โดยรอบหนึ่งร้อยลี้ก็หาเจอโรงพักแรมแห่งนี้เท่านั้น” อู๋ไป๋นำทางอยู่ด้านหน้า ส่วนเฟิ่งจิ่วเหยียนจูงม้าตามมาด้านหลังพายุหิมะรุนแรง นางใช้มือข้างหนึ่งจูงม้า มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นบังตรงหน้า ทว่ากลับยังมีหิมะเข้าตาและเข้าจมูกหลังจากเข้าไปในโรงพักแรม ร่างกายถึงค่อยอุ่นขึ้นบ้างเสี่ยวเอ้อร์ยกชาร้อนออกมา “ท่านทั้งสอง จะพักชั่วคราวหรือพักค้างคืนขอรับ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนปัดหิมะบนเส้นผมออก “พักค้างคืน สองห้อง แต่ขอสุราสองกา กับเนื้อวัวสี่จินมาก่อน”เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มพร้อมตอบกลับ“ได้ขอรับ! ท่านทั้งสองรอสักครู่ ประเดี๋ยวจะนำมาให้!”เช่นเดียวกันมีพ่อค้าอีกหลายคน ก็เจอพายุหิมะจนต้องติดค้างอยู่ในโรงพักแรม พวกเขายังต้องขนสินค้ามาด้วย นับว่าลำบากกว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่มาก ในเวลานี้ พวกเขานั่งล้อมวงอยู่ที่หนึ่ง พลางดื่มสุรา พลางถอนหายใจ“ไม่รู้ว่าหิมะจะหยุดเมื่อใด หากสินค้าชุดนี้ของข้าไม่อาจส่งตามกำหนดเวลาได้ ก็คงไม่อาจขายได้”“นั่นน่ะสิ! เดิมทีคิดว่าแต่ละแคว้นเปิดเส้นทางการค้าขาย ก่อนสิ้นปีจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ นึกไม่ถึงว่าส
คดีมนุษย์โอสถ เฟิ่งจิ่วเหยียนสืบหามานาน น่าเสียดายที่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆไฉนเลยจะคิดว่า มาค้นพบในโรงพักแรมเล็ก ๆ แห่งนี้สายตาที่นางมองดูพ่อค้าคนนั้น ดูเฉียบคมกว่าเดิมพ่อค้าเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาที่เพิ่งรู้ว่าในลังนั้นคืออะไร ในใจก็มีแผนรับมือไว้แล้ว รู้ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่! มนุษย์โอสถอะไร? ข้าคือผู้คุ้มกัน นั่นคือคนป่วยที่จะส่งไปรักษายังเมืองอื่น...อึก!”อยู่ ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็บีบคอเขา จนทำให้เขาหายใจไม่ออกเขาเงยหน้าขึ้น สบสายตาอันเยือกเย็นดุดันของนางในวินาทีนั้น เขารู้สึกว่าชีวิตตนเองเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายคนที่อยู่ตรงหน้านี้ มีไอสังหารรุนแรง!......คืนราตรียาวนานหลังท้องฟ้าเริ่มสว่าง เสี่ยวเอ้อร์ก็นำน้ำร้อนมาส่งให้แต่ละห้องขณะที่ส่งมาถึงห้องหนึ่ง คนที่เปิดประตูกลับเปลี่ยนไปแล้วตรงช่องประตูเผยให้เห็นริมฝีปากที่เย็นชาดุดัน“น้ำร้อน ไม่ต้องแล้ว”เสี่ยวเอ้อร์ได้กลิ่นคาวเลือด และคล้ายเหมือนเข้าใจผิดไปเองด้วยบริเวณโดยรอบหนึ่งร้อยลี้ก็มีโรงพักแรมนี้แห่งเดียว ก็ถือว่าเคยเจอเรื่องแปลกมาไม่น้อยเสี่ยวเอ้อร์รู้ถึงความผิดปกติ แต่ไม่ก
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้