ภายใต้แสงจันทรา สีหน้าของเฟิ่งเวยเฉียงเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งประหลาดใจ ตื่นเต้น และเสียใจที่รู้ความจริงช้าไป... พี่สาวเข้าพิธีสมรสกับฝ่าบาทในนามของนาง และได้หย่าร้างกับฝ่าบาทอีก!? ราวกับนางกำลังฟังคนเล่านิทาน “ท่านพี่ ท่านหย่าร้าง เพราะไม่ชอบฝ่าบาทหรือ?” ตอนนี้นางได้พบกับชายที่นางชอบแล้ว จึงหวังว่าพี่สาวจะได้มีความสุขเช่นกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูจันทราบนนภา และเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ในตอนแรกก็ไม่ชอบหรอก...” ทันใดนั้น เมฆาเคลื่อนคล้อย บดบังแสงจันทรา ณ เมืองหลวง ในพระราชวัง อุทยานหลวง หรงเฟยเข้ามายืนขวางรุ่ยอ๋องที่กำลังจะออกจากวัง และซักถามเขา “ฝ่าบาทเสด็จไปที่ใด?” แววตาที่อ่อนโยนของรุ่ยอ๋องไร้ระลอกคลื่น “ก่อนหน้านี้เกิดกบฏในเมืองเซวียน และมีการจัดสรรเบี้ยหวัดทหารใหม่ ฝ่าบาทไม่วางพระทัย จึงเสด็จไปตรวจสอบที่เมืองเซวียนด้วยพระองค์เอง เพื่อให้แน่ใจว่าเบี้ยหวัดจะถึงมือของทหารทุกนาย นอกจากนี้ ยังเป็นการตรวจสอบการทำงานของขุนนางชุดใหม่ในเมืองเซวียนด้วย “เรื่องเหล่านี้ พระสนมมิใช่ทราบอยู่แล้วหรือ? เหตุใดมาถามอีก”
ยามเข้าสู่ต้นคิมหันต์ เซียวอวี้สวมเสื้อคลุมยาวครึ่งตัวผ้าโปร่งสีม่วงเข้ม แสงตะวันสาดส่องลงมา ยิ่งสง่างามเลิศล้ำ ทุกคนในลานกว้างก็เข้ามาทำความเคารพตามแม่ทัพเมิ่ง ไม่เว้นฮูหยินเมิ่งด้วยเช่นกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนได้สติเป็นคนสุดท้าย จึงก้มลงทำมือคารวะ “ถวายบังคมฝ่าบาท” นางไม่คาดคิดว่า เซียวอวี้จะมาเยือน โดยเฉพาะตอนนี้นางเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องหยางเหลียนซั่วกับพรรคเทียนหลง การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขา จึงทำให้นางรับมือไม่ทัน... “ไม่ต้องมากพิธี” เซียวอวี้ก้าวไปข้างหน้า พลันช่วยประคองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเอง ครั้นนางยืดกายขึ้น เขาจึงถือโอกาสกระซิบข้างหูนาง “ครบกำหนดสามเดือน เจ้าควรจะให้คำตอบแก่เราแล้ว” สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แปรเปลี่ยน “เพคะ” แม่ทัพเมิ่งย่นคิ้วเบา ๆ เหตุใดฝ่าบาทจึงเสด็จมายังชายแดนเหนืออีกแล้ว? ทรงไม่ไว้วางใจเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ? เซียวอวี้ยังต้องการจะพูดคุยกับเฟิ่งจิ่วเหยียนต่อ เมิ่งฉวีพลันก้าวไปข้างหน้า และทูลรายงานอย่างจริงจังเคร่งครัด “ฝ่าบาท เรื่องความวุ่นวายในเมืองเซวียนนั้น กระหม่อมขอบังอาจแสดงความเห็น เพี
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเซียวอวี้ถูกปกคลุมด้วยความอดกลั้นและยับยั้งชั่งใจ เขายัดพิมพ์เขียวปืนมังกรไฟใส่มือของนางคืนทันที “เราไม่ต้องการ! “เราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้า ไม่เคยคิดที่จะให้เจ้ามาตอบแทน “ถึงแม้เจ้าไม่อยากแต่งงานกับเรา ก็มิจำเป็นต้องเอาสิ่งใดมาแลกกับอิสรภาพ “เฟิ่งจิ่วเหยียน เจ้าเป็นอิสระตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มศีรษะลงมองกระบอกไม้ไผ่ส่งสาส์นในมือตนเอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าอีกครั้ง นางเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “หม่อมฉันถูกทอดทิ้งตั้งแต่เกิด และเป็นอาจารย์กับอาจารย์หญิงคอยเลี้ยงดูหม่อมฉันขึ้นมา “ดังนั้น หม่อมฉันควรจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง “ทว่ารายได้ตลอดหลายปีของหม่อมฉัน ได้นำไปซื้อเซียวเหยาจวีหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้เป็นสินเดิมของเวยเฉียง “ดังนั้น หม่อมฉันจึงเหลือเงินเก็บไม่มากนักเพคะ” เซียวอวี้ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ “เจ้าต้องการจะพูดอันใดกันแน่?” เดิมเขาไม่ใช่คนโง่เขลา ทว่าในขณะนี้ สมองของเขาอย่างไรก็ไม่สามารถทำงานได้เลย และเข้าใจได้เฉพาะถ้อยคำที่ชัดเจนตรงไปตรงมาเท่านั้น ใบหน้าของเฟิ่งจิ่ว
ในยามที่ความรักคุกรุ่น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ผลักเซียวอวี้ออก และถามเขา “หยิ่นลิ่วผู้นั้น เป็นท่านสั่งให้มาติดตามหม่อมฉันหรือไม่เพคะ?” ในเวลานี้เซียวอวี้ไร้ซึ่งความสนใจจะตอบคำถามที่ไม่สลักสำคัญเหล่านี้ เขาจับปลายคางของนางไว้ ป้องกันมิให้นางหลบเลี่ยง ทว่านางค่อนข้างดื้อรั้น และยกมือข้างหนึ่งปิดปากเขาไว้ “ส่งมาตั้งแต่เมื่อไร ตอนที่หม่อมฉันออกจากเมืองอวี่ เขาได้ติดตามมาหรือไม่เพคะ?” เซียวอวี้พยักศีรษะ “อืม เพียงแต่เจตนามิใช่เพื่อสอดแนมเจ้า เราเพียงสั่งให้เขาคอยคุ้มกันเจ้า เพราะกลัวว่าเจ้าจะได้เผชิญหน้ากับหยางเหลียนซั่ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างใจเย็น “คราวหน้า จักต้องแจ้งให้หม่อมฉันทราบก่อนเพคะ” “ได้สิ” สันกรามของเขาคมชัด ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง ราวกับเพลิงหิวกระหายโหมไหม้ จักให้ตอบว่าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น “เราจะทำต่อได้หรือยัง?” นิ้วหัวแม่มือของเขาลูบริมฝีปากของนาง ความหมายชัดเจนคือ หมกหมุ่นถึงเรื่องนี้มานานแล้ว ต้องการดับความกระหายเหลือเกิน เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีโอกาสได้ขัดเขินเลย “ทว่า...อื้อ!” นางยังไม่ทันได้เอ่ยมากมาย เซียวอวี้พลันกระโจน
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฮูหยินเมิ่งจึงออกหน้ากล่าว “ฝ่าบาท พระองค์คงยังไม่ทราบ เวยเฉียงก็อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย เกรงว่าจะไม่สะดวกเพคะ” เซียวอวี้กลับเอาแต่จ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างไม่กะพริบตา เพื่อรอคำตอบจากนาง เฟิ่งจิ่วเหยียนได้แต่เอ่ย “รบกวนอาจารย์หญิงแล้วเจ้าค่ะ คืนนี้ข้าจะพักที่จวนแม่ทัพ” เพียงเท่านี้เซียวอวี้ก็พอใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนนอนอยู่ที่เรือนปีกตะวันตก เซียวอวี้พำนักที่เรือนปีกตะวันออก เดิมทีก็ควรอยู่กันอย่างสงบ ทว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะผล็อยหลับไป พลันมีคนเข้ามา นางลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นตัว กลับได้เห็นว่า เป็นเซียวอวี้ “ไยท่านถึงมาที่นี่เพคะ” นางวางกริชกลับไว้ใต้หมอนอย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ยกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งบนเตียงของนาง ก่อนจะจับมือนางไว้ “ร่างแผนปรับโครงสร้างที่อาจารย์ของเจ้าเขียนนั้น เรายิ่งอ่านก็ยิ่งฮึกเหิม จึงนอนไม่หลับ อีกทั้งยังนึกขึ้นได้ว่า มีอีกสิ่งหนึ่งที่เรายังมิได้ทำให้เสร็จ” “เรื่องใดเพคะ?” หลังจากนั้นเขาหยิบปิ่นหงส์ออกมา “มิใช่ขอเราปักปิ่นให้เจ้าเองหรือ” เฟิ่งจิ่วเหยียนปล่อยมวยผมสยายออกแล้
เมิ่งฉวีแกล้งเมากรึ่ม ทั้งที่จริงแล้วจิตใจกระจ่างใสดุจคันฉ่อง เขาบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจในวัยเด็กของจิ่วเหยียนให้ฟัง ด้วยต้องการให้ฝ่าบาทได้รู้จักจิ่วเหยียนมากขึ้น ทว่าสิ่งใดสมควรพูดนั้น เขายังรู้จักแยกแยะได้ “มีเด็กผู้ชายหลายคนชื่นชอบนางพ่ะย่ะค่ะ “ทว่า เด็กหญิงคนนั้นหาได้รับรู้ไม่ แข็งทื่อเสมือนก้อนหินก็มิปาน “ในสมัยนั้นมีเด็กชายคนหนึ่งมาเรียนวิทยายุทธกับกระหม่อมด้วย และมักจะชอบดึงผมของจิ่วเหยียนบ่อย ๆ เพราะแค่อยากให้นางหันมาสนใจตนเองมากขึ้น ผลลัพธ์คือ สาวน้อยโมโหโทโสขึ้นมา และกระชากดึงผมของเขาติดออกมาเป็นกำมือ “หลังจากนั้น เด็กชายคนนั้นไม่เคยกลับมาเรียนอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ” เมิ่งฉวีเอ่ยถึงแค่เรื่องเล็กน้อยไม่มีปัญหามากนัก และมิได้เอ่ยถึงต้วนไหวซวี่เลย เขาย่อมรู้ว่า ต้วนไหวซวี่แตกต่างจากเด็กชายเหล่านั้น เพราะนั่นคือคนที่จิ่วเหยียนเคยชอบด้วยใจจริง ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเก่าก่อนก็ตาม ก็คงมิชอบฟังเรื่องแบบนี้ กลับกลายเป็นว่า หม้อไหนไม่เดือดกลับยกหม้อนั้นแทน เซียวอวี้รุกถามเอง “ในเมื่อนางหัวช้าขนาดนั้น แล้วนางตกหลุมร
ต้วนเจิ้งถูกพาไปยังกระโจมที่พัก และที่นั่นมีเพียงฮ่องเต้พระองค์เดียวเท่านั้น เขาถามอย่างโกรธเคืองโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัว “จักต้องทำอย่างไร...ท่านถึงจะยอมปล่อยนางไป!” คิ้วกระบี่ของเซียวอวี้ขมวดแน่น ในยามที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่น เขามิได้อัธยาศัยดีเหมือนอยู่ต่อหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน ร่างกายแผ่รัศมีความเป็นศัตรู ประสงค์จะฆ่าคนสารเลวที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำได้ทุกเวลา เซียวอวี้เผชิญหน้ากับต้วนเจิ้งผู้เกรี้ยวกราด ด้วยการเอ่ยเหน็บแนม “พวกเจ้าสองคนพี่น้อง นิสัยช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว” คนหนึ่งอ่อนโยนใจดี อีกคนหนึ่งเห็นแก่ตัวและเลวทราม ต้วนเจิ้งหรี่ตาลง “ตอบข้ามาสิ! ท่านจะปล่อยนาง และกลับไปที่วังหลวงของท่านได้หรือไม่!” เซียวอวี้ได้ฟังเช่นนี้ แค่รู้สึกว่ามันน่าตลกสิ้นดี สีหน้าแววตาของเขาทั้งน่าเกรงขามและเย็นชา “เจ้าควรจะนึกโชคดี ที่เจ้ามีพี่ชายที่ดี” ต้วนเจิ้งเอ่ยจี้ใจดำเขาในคำเดียว “ท่านกล้าทำร้ายข้ารึ? เชื่อหรือไม่ว่า หากท่านกล้าทำร้ายข้า นางก็จะทิ้งท่านไปทันที!” เซียวอวี้กำหมัดที่อยู่ใต้แขนเสื้อกว้างจนแน่น ไอ้เด็กนี่... ต้วนเจ
หลังจากที่หยางเหลียนซั่วได้รับการช่วยเหลือไปได้ ก็ถูกติดประกาศจับทั่วแคว้นหนานฉี นอกจากราชสำนัก ยังมีกลุ่มในยุทธภพเช่น พันธมิตรอู่หลินที่นำโดยหร่านชิว และจอมยุทธ์พเนจรทั่วไปที่นำโดยตงฟางซื่อ พวกเขาล้วนกำลังตามล่าตัวหยางเหลียนซั่วผู้ชั่วร้าย ทว่าเส้นทางหลบหนีของหยางเหลียนซั่วมีความลึกลับยิ่งนัก จึงไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย คาดไม่ถึงว่า จักได้รับข่าวดีอย่างกะทันหันเช่นนี้ ในห้องหนังสือ หยิ่นลิ่วทูลรายงาน “ฝ่าบาท หยิ่นเอ้อร์ส่งข่าวมาว่า หยางเหลียนซั่วเคยปรากฏตัวในเขตแดนเป่ยเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนก็อยู่ที่นั่นด้วย ครั้นได้ฟังข่าวนี้ พลางคิดถึงการคาดเดาครั้งก่อนของนางกับอาจารย์และอาจารย์หญิง “มีความเป็นไปได้สูงที่หยางเหลียนซั่วจะลอบติดต่อกับชาวเป่ยเยี่ยนมานานแล้ว” เซียวอวี้เผยสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึม หากหยางเหลียนซั่วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเป่ยเยี่ยนแล้วไซร้ หนานฉียังสามารถส่งทูตไปเจรจา เพื่อขอให้เป่ยเยี่ยนอนุญาตให้พวกเขาจับกุมอาชญากรได้ ทว่าหากเป็นจริงดังที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าว หยางเหลียนซั่วได้ร่วมมือกับศัตรู เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแอบดำเ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้