Share

รองแม่ทัพ

last update Last Updated: 2025-09-06 19:38:02

ที่ห้องอาหารใหญ่ของตระกูล

คนในตระกูลทยอยมาร่วมโต๊ะกันจนเกือบครบ เหลือเพียงบุตรีทั้งสามที่ยังไม่ปรากฏตัว เสียงสนทนาเป็นไปตามปกติ แต่ในใจเอี้ยซ่งกลับกังวลไม่น้อย โดยเฉพาะบุตรชายคนโต ‘เค่อเต๋อร์’ ที่สีหน้าขุ่นเคืองตั้งแต่รู้เรื่องงานหมั้น หากเจ้าลูกชายหัวแข็งคิดหุนหันพลันแล่นขึ้นมา วันหน้าคงไม่ใช่เรื่องเล็ก

ทว่าสัญชาตญาณผู้เป็นพ่อนั้นก็ไม่เคยพลาด ‘เดาไว้ไม่ผิด’

เมื่อเหลือบตามองสายตาของลูกชาย เขาก็พบว่าบุตรีทั้งสามเดินเข้ามาพร้อมกัน … เพียงแค่การแต่งกายอันกลมกลืน และท่าทีสนิทสนมเกิน      พี่น้อง ก็ก่อให้คนที่นั่งเงียบงันมานานแทบคลั่ง

“ท่านพ่อ! คนเถื่อนเช่นนี้หรือขอรับ...ที่ท่านรับเข้ามา...เป็นบุตร       บุญธรรม” คำพูดพุ่งตรงเหมือนหอกแทงกลางวง ทุกคนชะงัก

‘กูว่าล่ะ…ปากมันเป็นแบบนี้ถึงได้เป็นแค่รองแม่ทัพ’ เอี้ยซ่งส่ายหน้า ฮูหยินเฒ่าถึงกับกลอกตาอย่างระอา ยิ่งถ้าเทียบรูปร่างแล้ว เค่อเต๋อร์ที่ตัวยังไม่ถึงบ่าจินเซียงด้วยซ้ำ จะเรียกเป็นลูกหมาก็ดูน่าเอ็นดูกว่าเสียอีก

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า ทุกท่าน พวกเราทั้งสามมาช้าโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ” จินเซียงโค้งคำนับแทนทั้งสามสาว

“มาเถิด มานั่งทานก่อน ยังมีงานอีกมากต้องทำ” หลอหลันรีบประคองบรรยากาศ

“เจ้าค่ะ”

มื้อเช้าดำเนินไปด้วยเสียงช้อนตะเกียบปะปนกับความเงียบงันของบางคน … คนหนึ่งนั่งค้างเพราะถูกเมินจนไร้ที่ยืนในวงสนทนา

หลังจบมื้อ จินเซียงกับเผยอิงก็พากันไปที่คอกม้า เตรียมมุ่งหน้าไปส่งคนรักที่พระราชวัง แล้วจะได้ไปที่โรงเตี๊ยมตามที่ได้นัดกับนายช่างตอนเที่ยง แต่ปัญหากลับอยู่ตรงที่ม้าสายพันธุ์สูงใหญ่ที่เดินทางมากับจินเซียงจากแดนไกล เกรงว่าจะมีคนอยากครอบครองมัน

“เกิดเรื่องอันใดกัน” จินเซียงเลิกคิ้ว เมื่อเห็นกลุ่มทหารยืนขวาง

“ท่านรองแม่ทัพต้องการใช้ม้าตัวนี้ขอรับ เป็นม้าพันธุ์ดีที่หาได้ยาก” ทหารคนสนิทเอ่ย

“ขอโทษที ม้าของข้า…ใครอย่าแตะ” จินเซียงเดินเข้าไปลูบแผงคอม้าตนเองอย่างอ่อนโยน ก่อนจัดแจงอานโดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง

“คุณหนู หากยอมให้ท่านรองแม่ทัพยืมสักครั้งเถิด แค่เข้าวังเอง” พ่อบ้านรีบพยายามเกลี้ยกล่อม

จินเซียงเงยหน้าขึ้น สายตาคมเฉียบ “ถ้ามีคนมาขอนอนกับฮูหยินของท่าน...หรือลูกสาวท่าน ท่านจะยอมรึไม่”

พ่อบ้านไม่กล้าแม้แต่จะเถียงกลับ ได้แต่ยืนอ้ำอึ้งเมื่อเจอคำตอบของหญิงสาวตรงหน้า

“มันเดินทางมากับข้าหลายหมื่นลี้ ผ่านทั้งความตายและการต่อสู้ … มันไม่ใช่แค่สัตว์ไว้ขี่ แต่เป็นสหายร่วมรบ ข้าว่า หากท่านเป็นทหารม้าจริง คงเข้าใจดี”

คำพูดนั้นจบลงพร้อมกับนางที่เหวี่ยงกายขึ้นอาน แล้วควบม้าออกไปหาเผยอิงที่ยืนรออยู่

“หลบ!” บ่าวไพร่แตกฮือหลีกทาง แต่เสียงโกลาหลกลับเรียกความโกรธให้รองแม่ทัพหนุ่มพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

“เฮ้ย!” คนในบริเวณคอกม้าต่างพากันวิ่งหลบ

พอไกล้ถึงประตูก็พบคนของรองแม่ทัพ เมื่อโดนขวางทางออก ทางเลือกสุดท้ายคือวิ่งย้อนเข้าไปในจวน บ่าวชายหญิงต่างพากันหลบให้วุ่น  มีทหารของรองแม่ทัพวิ่งตามเป็นกลุ่มใหญ่

“แค่ม้าตัวเดียวทำเป็นหวง!…เอาธนูมา!” เค่อเต๋อร์กัดฟันกรอด ง้างธนูเล็งตรงไปยังคอม้าของจินเซียง

ฟึบ! ลูกธนูพุ่งออกด้วยความเร็ว

ทว่าในพริบตากลับถูกคว้าไว้กลางอากาศ จินเซียงพลิกมือยิงสวนกลับโดยไม่ลังเล ลูกธนูบินเฉียดใบหูเค่อเต๋อร์ไปเพียงคืบ ก่อนจะฉุดเผยอิงขึ้นม้าแล้วควบฝ่าคนออกไปนอกจวน

“ท่านรองแม่ทัพ!” 

“คุณชาย!” เสียงโกลาหลดังลั่นทั่วคอก

เค่อเต๋อร์เอื้อมแตะใบหูตนเองที่เลือดซึมเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยไฟโทสะ “ข้าไม่เป็นอะไร รีบเข้าวัง! เสียเวลามามากพอแล้ว!” เขาก้าวขึ้นม้าของตน กัดฟันแน่นด้วยไฟโทสะ

“แยกย้ายกันได้แล้ว! มายืนมองอะไร! การงานการไม่ทำไง! ไป!”

เหล่าทหารและบ่าวที่ยืนมุงต่างรีบสลายตัว เมื่อถูกเอ็ดเสียงดัง

ไม่นานข่าวก็ถึงหูเอี้ยซ่งโดยละเอียด พ่อบ้านรายงานทุกถ้อยคำอย่างไม่ขาดตก จนผู้เป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจยาว

“เฮ้อ…ท่านพ่อช่างสั่งสอนลูกได้สิ้นดี คนไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ต่อให้มีผลงานสักเพียงใด วันหนึ่งก็จะเป็นหายนะของตระกูล”

เอี้ยซ่งเองก็จนปัญญา เพราะลูกคนนี้เรียนจบก็ไปอยู่กับปู่ที่ค่ายทหาร และไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน ถึงแม้จะรู้มาบ้างว่าบุตรชายของตนก่อเรื่องอะไรไว้แต่ก็ไม่อาจทำอะไรมากได้ 

หลอหลันและสองฮูหยินที่บังเอิญเดินมาได้ยินพอดี ถึงกับสบตากันเงียบๆ พ่อบ้านจึงเล่าซ้ำให้ฟังอีกรอบ

“ต่อให้โง่ ก็ควรรู้จักที่ต่ำที่สูง เห็นเพียงม้าก็รู้ได้แล้วว่าไม่ใช่ม้าที่คนทั่วไปจะมี ราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ” หลอหลันพูดเสียงเย็น

“ลูกใครกัน…”

“น้องสาม” หลอหลันปรายตามองฮวาเจียวเม้มปาก

“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”

“ลูกของพี่…และก็ลูกของพวกเจ้าด้วย”

ทั้งสองเงียบสนิท ไม่กล้าเอ่ยคำใด

“ว่าแต่ท่านพี่แล้วแบบนี้จะไม่เป็นอะไรรึเจ้าค่ะ เพราะท่านแม่เองก็ชอบนางมากด้วย ขนาดฟางฟางเองยังโดนเมิน ยิ่งเจ้าใหญ่ทำเช่นนี้....” หลี่อิงหันมองหลอหลันผู้เป็นมารดาของคุณชายใหญ่แห่งจวน

“พี่เองก็...จนปัญญาจริงๆ” 

ด้านจินเซียงกลับไม่เก็บเรื่องมากวนใจ นางขี่ม้าส่งเผยอิงถึงหน้าวัง ก่อนวกกลับไปตลาด ซื้อของสำหรับสอนฟางฟางกับแม่ครัวทำขนมต่อไป ราวกับเหตุการณ์วุ่นวายในคอกม้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…

พอกลับมาถึงจวนนางก็เอาม้าไปเก็บไว้ที่สวนของเรือนนอนแทนที่จะเอาไปไว้ที่คอกม้าของจวนตามเดิม แล้วเดินไปหานายช่างที่มานั่งรออยู่ด้านนอกของลานหน้าเรือน 

“สวัสดีเจ้าค่ะนายช่าง” 

“สวัสดีขอรับคุณหนู” 

“นี่คือแบบแปลที่ข้าได้วาดไว้” นายช่างและลูกน้องต่างพากันก้มมองแบบแปลนที่วางอยู่บนโต๊ะหินด้วยความตื่นเต้น

“นี่คือ...คุณหนูเขียนเองรึขอรับ” นายช่างรีบถามอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น

“ใช่เจ้าค่ะ ข้าเขียนเองแล้วก็ยังมีแบบแปลนของร้านอาหารที่จะให้พวกท่านไปปรับปรุงด้วยเจ้าค่ะ ท่านแม่ได้แจ้งพวกท่านรึยัง” 

“ฮูหยินบอกพวกเราแล้วขอรับ”  

“อืม มาเถอะข้าพาไปดูหน้างาน ฟางฟาง! อี้หลัน อิงอิง พวกเจ้าออกมาเถอะ อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นน่ะ” จินเซียงหันไปพูดกับคนที่แอบอยู่หลังซุ้มประตู

ทั้งสามก็พากันออกมาจากมุมประตู แม้จะอายเล็กน้อยที่โดนจับได้แต่ก็คุ้มเพราะพวกนางนั้นอยากเรียนรู้จากคนที่ยืนตรงหน้ามากกว่า

“ท่านพี่เจ้าค่ะ พวกเราแค่อยากมาดูเท่านั้นเอง” ฟางฟางรีบเข้ามาเกาะแขนพี่สาว ตอนนี้เห็นแล้วว่าเวลามีปัญหาคนที่จะเป็นที่พึ่งได้นั้นเป็นใคร 

“ได้ๆ มาเถอะ อย่างน้อยก็เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย” 

“ท่านพี่ใจดีที่สุด ไม่เหมือนใครแถวนี้” 

“พอเลย” จินเซียงรีบห้ามทัพ แล้วเดินนำทุกคนไปที่จุดที่นางคิดว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเริ่มทำงาน  

“คุณหนูใหญ่ท่านแน่ใจแล้วรึขอรับ” 

“อืม ตรงนี้คือจุดที่ดีที่สุด ขอให้ท่านจำไว้ว่าอย่าได้เอาเรื่องนี้ไปพูดหรือให้ใครดูเด็ดขาด” มันคือแบบแปลนคนล่ะฉบับ ที่เอาออกไปให้ทุกคนดู 

“ขอรับคุณหนูใหญ่ พวกเราจะทำออกมาให้ดีที่สุดเลยขอรับ”

นายช่างรับคำอย่างหนักแน่น บางอย่างมันกระซิบบอกในหัวว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ถ้ายังรักชีวิตของตัวเองและครอบครัว 

หลังคุยเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็พากันไปที่โรงเตี๊ยมเก่า แบบแปลนถูกอธิบายทีละจุด ทีละจุด แบบแปลนถูกอธิบายทีละจุดอย่างละเอียดจนผู้ช่วยต้องถามซ้ำหลายรอบเพื่อกันผิดพลาด

“คุณหนู!” เสียงตะโกนดังมาจากชั้นล่าง

“พ่อบ้าน มีอันใดหรือ!” ถังอี้หลันตะโกนถาม

“คุณหนูใหญ่ขอรับ! ฮองเฮาต้องการพบ!”

“พบข้า? พระองค์ทรงว่างเกินไปหรือไม่” จินเซียงถามน้องสาว 

“คุณหนูใหญ่ อย่าทำเป็นเล่นไปขอรับ ฮองเฮาเป็นพี่สาวของ                      ฮูหยินหลอหลันขอรับ”

“เอาจริง…” จินเซียงกระพริบตาถี่ ทั้งสามสาวพยักหน้าพร้อมกัน รวมถึงนายช่างก็ยืนยันด้วย

“พี่จะไปส่งพวกเจ้าให้ถึงจวนก่อน แล้วค่อยไปเอง” นางตัดสินใจ แม้หลายคนจะค้าน แต่สุดท้ายนางก็ยืนกรานที่จะไปส่งทั้งสามถึงจวนด้วยตัวเอง

หลังส่งน้อง ๆ ถึงหน้าประตูจวนแล้ว จินเซียงก็ก้าวขึ้นรถม้าที่ส่งมารับโดยเฉพาะ ตรงข้ามมีชายชรานั่งจ้องไม่วางตา

“ท่านเอาไหม ข้าเห็นท่านมองอยู่นานแล้ว”

ชายชรายกคิ้ว “ดี…ยังรู้จักเคารพผู้ใหญ่”

“นี่เจ้าค่ะ ข้าทำเองกับมือ ช่วยแก้อาการเวียนหัวเวลาโดยสารรถม้า น่าเวียนหัวแบบนี้ มีกลิ่นให้เลือกหลายแบบ เด็กกับสตรีมีครรภ์ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย” จินเซียงยื่นกล่องเล็กให้

ชายชรารับไป สีหน้าผ่อนคลายลง “คุณหนูใหญ่เกรงใจนัก”

จินเซียงไม่รีรอถามต่อ “ฮองเฮามีเหตุใดถึงเรียกข้าเป็นการด่วน”

“ขยับมาใกล้หน่อย ข้าพูดดังไม่ได้”

นางพยักหน้าแล้วไปนั่งข้างชายตรงหน้า

‘พระนางว่า ไหนเลยจะไม่พบผู้เป็นอา หากเจ้าเป็นลูกบุญธรรมของน้องสาว ก็ควรไปพบหน้า’

‘บอกตามตรง…..’

‘ว่ามาเถอะ’

‘…ข้าพึ่งรู้จากปากพ่อบ้านนี่เอง’

ชายชรามองนางด้วยความตกใจ 

‘หา!? คุณหนูท่านคง...ไม่ได้…ล้อข้าเล่น?’

‘จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ’ จินเซียงยังคงยืนยันหนักแน่น

ชายชราอึ้งไปทั้งหน้า

เมื่อรถเทียบ ทั้งสองเดินตรงไปยังตำหนักใน ผ่านท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด เสียงถกเถียงดังลอดออกมา แต่จินเซียงเลือกที่จะไม่แอบฟัง นางพยายามสู้กับเสียงในหัวอย่างเต็มที่ ‘ท้องไว้ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน’

“เชิญด้านในขอรับ คุณหนูใหญ่”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วเดินตามนางกำนัล

“เจ้ามาแล้วรึ นั่งก่อนสิ ไม่ต้องพิธี”

จินเซียงมองสตรีที่ใส่ชุดจัดเต็ม จนมองแล้วเหมือนตู้โชว์เคลื่อนที่

“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” 

ฮองเฮามองตรงไปยังจินเซียง “ได้ยินว่าเจ้าไม่ใช่คนที่นี่?”

“เพคะ” 

“แล้วเจ้า...มาที่แผ่นดินจงหยวนได้อย่างไร” 

จินเซียงเล่าเรื่องการเดินทางกับกองคาราวาน การเป็นทหารรับจ้าง และการพบเจอสิ่งต่างๆ มากมายระหว่างเดินทาง จนพบหลานสาวพระองค์ที่หมู่บ้านกลางหุบเขา

“แปลกนัก เหตุใดสตรีเช่นเจ้าถึงได้ดั้นด้นเดินทางข้ามแผ่นดินมาไกลเช่นนี้ เจ้าต้องการอันใดกันแน่” ฮองเฮามองด้วยสายตากดดัน 

“ที่นั่น..กระหม่อมเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เสียครอบครัวให้กับสงคราม คิดเพียงว่าควรก้าวเดินออกจากสิ่งเดิม จนมาหยุดที่หมู่บ้านกลางหุบเขาอันเงียบสงบ” 

“แล้วไปเจอหลานของเราได้อย่างไร” 

“ตอนนั้นกระหม่อมนั่งตกปลาอยู่ แต่เพราะเห็นเลือดลอยมาตามน้ำจึงรีบเดินไปดูและพบว่ามีสตรีสองคนที่รอด จึงเข้าทำการช่วยเหลือ” ฮองเฮาหันมองคนสนิทเพื่อเป็นการยืนยัน ก็รับคำตอบเป็นการพยักหน้าจากคนสนิท 

ฮองเฮาพยักหน้า แต่กลับวกเข้าเรื่องใหญ่ทันที

“เจ้ารู้หรือไม่ ข่าวว่าตระกูลหยางหมั้นกับตระกูลถัง ทำให้ผู้คนเข้าใจว่านั่นคือเค่อเต๋อร์...หลานชายของเรา”

จินเซียงรู้แล้วว่านี่คือเหตุผลที่ถูกเรียกมา “พระองค์ไม่ควรยุ่งเกี่ยว เรื่องนี้ คนที่แม้แต่รักษาสิ่งใดไม่ได้ แต่กลับอยากได้ของผู้อื่น…ไม่คู่ควรนัก”

“เจ้าพูดอะไร! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของแผ่นดิน!”

“ไม่หรอกเพคะ คนที่ชอบแย่งชิง ดูถูกผู้อื่น ตัดสินด้วยความอคติ        ก็ไม่ต่างจากศัตรูนอกด่าน”

“บังอาจ! ทหาร เอานางไปขัง!” 

บรรยากาศแข็งค้าง ข้ารับใช้พากันมองหน้าเลิ่กลั่ก เพราะจากข่าว      ที่สืบมานั้น เกรงว่าต่อให้ขนทหารมาทั้งวังก็เอาไม่อยู่

“ถ้าเพียงเท่านี้พระองค์ยังทนไม่ได้ กระหม่อมก็หมดคำพูดแล้ว และขอเตือน...อย่าได้มาแตะต้องตัว ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าไม่เตือน!” ทันที ไอสังหารเข้มข้นพุ่งออกมาจนทหารหลายคนทรุดลงกับพื้น

องครักษ์เงามองหน้ากัน ‘แย่แล้ว…กลุ่มที่มีพลังเช่นนี้ มีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น’

ในจังหวะคับขัน หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา

“พี่สาว ใจเย็นเถอะ ข้าว่าเราคุยกันก่อน แม่ข้าเพียงอยากทดสอบท่าน จริงหรือไม่เพคะเสด็จแม่”

 จินเซียงหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาในตำหนัก หน้าตาของนางนั้นแม้จะผ่านไปนานแต่ก็ยังคล้ายเดิม

จินเซียงเหลือบมอง ยิ้มบาง “ศิษย์ของยาซี…โตขึ้นมากแล้ว”

ฮองเฮารีบตามน้ำ “ใช่ ใช่…ขะ...ข้าแค่กลัวเจ้าจะเป็นสายจากนอกด่าน ทุกคนออกไปก่อน!”

หญิงสาวหยิบกระดาษเก่าออกมา “ไม่เจอกันนาน ท่านอันเตรียยาร์สบายดีหรือไม่เจ้าคะ? ตอนอาจารย์ส่งข่าวว่าท่านกำลังมา ข้าส่งคนไปดักที่ชายแดน แต่กลับไร้ข่าวคราว…ใครจะคิดว่าท่านจะปรากฏตัวเช่นนี้”

“กลัวนักล่าจะไม่รู้หรือไร จุดพักนกมีตั้งกี่จุด”

จินเซียงย้อนถามเสียงเย็น

หญิงสาวยิ้มบาง “รู้แค่คนของกลุ่มเจ้าค่ะ คนอื่นไม่รู้ และข้า..เพียงคนเดียวที่รู้ว่าท่านเป็นใคร”

รอยยิ้มนั้นทำให้จินเซียงไม่สบายใจ ‘เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไป’

“ไม่คิดเลยว่าเด็กชายที่เราพบบนเรือค้าทาสวันนั้น จะกลายเป็นองค์หญิงที่เกือบสง่างามเช่นนี้” จินเซียงครุ่นคิด นึกย้อนกลับไปเมื่อสิบสองปีก่อน ตอนที่นางนำภารกิจลอบสังหารเจ้าเรือผู้สนับสนุนกบฏ และบังเอิญช่วยเด็กคนหนึ่งไว้

“12 ปีแล้วซิน่ะเจ้าค่ะ”

ฮองเฮาถึงกับหน้าเหวอ ไม่คาดคิดว่าคนที่ช่วยชีวิตบุตรสาวของตนไว้ จะเป็นหญิงสาวตรงหน้า

“ลูกหญิง แม่ขอถามได้หรือไม่ ว่าตอนนั้นนางอายุเท่าไหร่” ฮองเฮาหันไปถามลูกสาว 

“สิบสองเพคะ เสด็จแม่...แต่อาจารย์ขอลูกจะยี่สิบแล้วเพคะ” 

“สิบสอง! เด็กมาก” ฮองเฮาตกใจ “แล้วตอนนี้เจ้าอายุเท่าใด”

คำถามนั้นพอดีกับจังหวะที่ฮ่องเต้เสด็จเข้ามาในตำหนัก

“ยี่สิบห้าเพค่ะ แก่กว่าหลานชายท่านห้าปี”

ทุกคนในห้องพากันตกตะลึง ใบหน้าอ่อนเยาว์เกินจะเชื่อว่าอายุเยอะแล้ว ยกเว้นเพียง…ส่วนนั้นที่ยืนยันวัยสาวอย่างชัดเจน

“ไหนน้องข้าว่ายี่สิบสองเท่านั้น”

“ลืม... ” คำตอบสั้น ๆ แบบหน้าด้าน ๆ ทำเอาทุกคนเงียบไปชั่วขณะ

ฮ่องเต้หัวเราะหึ “เอาเป็นว่า เราจะไม่คัดค้านเรื่องแต่งงานระหว่างเจ้ากับแม่ทัพหยาง…แต่ว่า”

ทั้งสามหันมองต้นเสียงแล้วรีบพากันลุกขึ้น แต่พระองค์โบกพระหัตถ์ห้ามไว้ “เจ้าต้องช่วยต้าซ่ง และห้ามทรยศ”

“ฝ่าบาท” ทุกคนในห้องคำนับพร้อมกัน

“ตามสบายเถิด เราเพียงแวะมาพัก เดี๋ยวก็ต้องกลับไปประชุมอีก เฮ้อ…น่าเบื่อจริง พึ่งสงบได้ไม่กี่ปี ตอนนี้พวกนั้นก็เริ่มส่งคนมาก่อกวน ไหนยังจะพวกที่หวังเพียงผลประโยชน์ ชาวบ้านเดือดร้อนนัก ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี” พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

องค์หญิงรองยกยิ้ม “เสด็จพ่อ พระองค์ก็สนับสนุนให้พี่สาวแต่งกับแม่ทัพหยางสิ หากท่านเอ่ย คงไม่มีใครกล้าขัดแน่นอน”

“เจ้านี่… เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น รัชทายาทเองก็กำลังหาทางขอสมรสพระราชทานเพื่อเพิ่มอำนาจ ไหนยังจะพวกตระกูลเยี่ยอีก” พระเนตรหรี่ลงครุ่นคิด “บางที คนตรงหน้า…อาจเป็นตัวหมากที่เรากำลังมองหา” 

“เยี่ยเฟยหรือเพคะ เสด็จพี่”

“อืม แต่มีสองตระกูลที่สนับสนุนการแต่ง”

ฮองเฮาพยักหน้า “ลิ่งกุ้ยเฟยกับหยางกุ้ยเฟย” คือชื่อที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด 

“ใช่แล้ว” ฮ่องเต้ยืนยัน พลันพระเนตรหันมาที่จินเซียง

“จริงสิ ขอเราทดสอบฝีมือเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่”

“ได้เพคะ”

เพียงคำตอบนั้น ทุกคนก็เคลื่อนขบวนไปยังลานหน้าตำหนักฮองเฮา แต่เพราะมีผู้สนใจมาก จึงถูกย้ายไปยังลานฝึกขององครักษ์แทน บรรดาเหล่าขุนนางฝ่ายทหาร แม่ทัพใหญ่ และคนตระกูลหยาง ต่างพากันมารวมตัว หัวหน้าองครักษ์ผู้มากฝีมือก็ถูกเรียกตัวมาเพื่อทดสอบโดยเฉพาะ

ทางด้านหนึ่ง ชายชราร่างกำยำถามหลานสาว “ข้าได้ข่าวว่าคนรักของเจ้าถูกเรียกเข้าวัง และตอนนี้อยู่ที่ลานฝึก เจ้าจะไปดูด้วยกันหรือไม่”

เผยอิงยิ้มบาง “ท่านปู่อยากรู้หรือเจ้าคะ”

“แน่นอน ปู่อยากเห็นว่านางเป็นคนเช่นไร เก่งกล้าพอจะเคียงคู่กับเจ้าได้หรือไม่”

“เช่นนั้นรีบไปเถิดเจ้าค่ะ หลานเองก็อยากรู้เหมือนกัน…ว่านางจะเก่งเพียงใด”

“เช่นนั้นรีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวไม่ทัน หลานเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านางเก่งเพียงใด” 

ทั้งคู่รีบเดินตามทุกคนไปทันที รวมถึงแม่ทัพคนอื่นด้วย ที่ลานฝึกตอนนี้มีคนมายืนรอดูมากมาย เพราะทุกคนต่างก็อยากเห็นหน้าตาของผู้ที่ได้หมั้นหมายกับตระกูลขุนศึก แม่ทัพหยางนั้นที่เป็นสตรีที่มากฝีมือเป็นรองเพียงปู่ของนาง เทียบเท่าหรืออาจมากกว่าผู้เป็นพ่อและบรรดาพี่ชาย

ณ ที่ลานฝึกตอนนี้ บรรยากาศเงียบงันด้วยสายตาของผู้คนที่จับจ้อง ทุกคนต่างตั้งความหวังและคาดเดา ขันทีประกาศเริ่มการประลอง ท่ามกลางเสียงกระซิบคาดคั้น

“เริ่มสู้ได้”

ทันทีที่ขันทีประกาศ ทุกคนต่างพากันจับจ้องการต่อสู้ไม่วางตา 

หัวหน้าองครักษ์เปิดเกม ด้วยการพุ่งดาบเข้าหาจินเซียงตั้งแต่แรก หวังใช้ความรวดเร็วทำให้หญิงสาวตั้งตัวไม่ทัน ดาบฟาดชัดเป้ากอที่คอ             แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้ยินเสียงคนร้อง มีเงาร่างหนึ่งหายวับไป

“ย้ากกก ฟับ!” ผู้ชมเฮลั่น เมื่อเห็นดาบฟันเข้าเป้า

แต่เมื่อสายตาทุกคู่ตามมองให้ชัด กลับเห็นเพียงเงา “นี่มันไม่ถูกต้อง! นางหายไปไหน!” แล้วหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของหัวหน้าองครักษ์ เหงื่อเย็นผุดที่ดาบเงินที่สะท้อนแสง “ชู่~ ท่านช้าเกินไป” เสียงเยือกเย็นของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมดาบที่พาดคอหัวหน้าองครักษ์

หัวหน้าองครักษ์ค่อยๆปล่อยดาบลงพื้น ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยสีหน้าช็อก

‘ฮึ! ชั่งเป็น..การกระทำที่โง่เง่านัก อัศวินกว่าร้อยคนยังเอานางไม่ลง’ องค์หญิงรองส่ายหัวให้กับคนที่กำลังสบประหมาดรุ่นพี่ของนาง

“จบการประลอง!” ขันทีประกาศ พิธีดูเหมือนจบลงด้วยมารยาทและความเคารพ แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ถอนหายใจ เสียงท้าทายก็ดังขึ้น

“จบการประลอง!” ขันทีประกาศเสียงดัง จินเซียงขอบคุณหัวหน้าองครักษ์อย่างมีมารยาทแต่ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางผู้คน 

“ช้าก่อน! ข้าขอท้าสู้กับนาง!” ใครบางคนตะโกน กลุ่มผู้ชมผงกหัวหันไปที่ต้นเสียง มองเห็นเค่อเต๋อร์ลุกขึ้นอย่างอารมณ์พุ่งพล่าน

ขันทีหันซ้ายมองขวา แล้วค้อมพนมกราบ “ฝ่าบาท?” ทุกสายตาหันไปทางบัลลังก์ ฮ่องเต้พยักหน้าเบาๆ เป็นอนุญาต

“เชิญท่านรองแม่ทัพ” ขันทีประกาศเสียงเรียบ

เค่อเต๋อร์ก้าวออกมา “ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าต้องออกจากตระกูลข้า” แววตานั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย

“แล้วถ้าข้าชนะล่ะ?” จินเซียงย้อนถาม

“ชนะให้ได้ก่อนเถอะ!” เค่อเต๋อร์ตอบแล้วพุ่งเข้าทันที

จินเซียงยักคิ้วอย่างเย็นชา “ปากดีแบบนี้ ระวังไม่มีฟันไว้กินข้าวน่ะน้องชาย” แล้ววางดาบไว้กับองค์หญิงรองที่ยืนใกล้ๆ ทว่านางลืมถามชื่อสมัยอยู่กลุ่มเดียวกัน จึงเรียกตามเสียงเรียกตามเดิมว่า “หนุ่มน้อย” ตามความเคยชิน เช่นสมัยอยู่ที่กลุ่มนักฆ่า

“เริ่มการประลอง!” ขันทีตะโกน

เค่อเต๋อร์พุ่งตัวเหมือนพายุ แต่จินเซียงหายวับในพริบตา เขาลอยเคว้งกลางอากาศ ร่างกระแทกพื้นศิลาอย่างแรง เสียงกระแทกดังสนั่น ฝุ่นฟุ้งกระจาย ผู้ชมเงียบกริบ

“กัดฟันไว้แน่ๆ น่ะไอน้องชาย!” จินเซียงวิ่งด้วยความเร็วก่อนจะจับโยนเค่อเต๋อร์ไปบนอากาศ ร่างของเค่อเต๋อร์ลอยกลางอากาศ และหญิงสาวที่กระโดดตามขึ้นไป พลิกตัวตีลังกา ก่อนจะเตะลงมากระแทกพื้นด้วยท่วงท่ารุนแรง กระแทกพื้นศิลาจนแตกอีกครั้ง

“..........” ผู้ชมพากันยืนเงียบกริบ

“ผะ...ผู้ชนะคือ คุณหนูใหญ่จินเซียง” ขันทีประกาศ ท่ามกลางความเงียบอึ้งของผู้คน ทุกสายตาหันไปหา ฮ่องเต้ยิ้มอย่างพอใจ

ทว่าหลายคนกลับคิดไปในทางเดียวกันว่า ‘เดิมพันไปตั้งเยอะ แบบนี้มีหวังหมดตัวเป็นแน่’ ต่างจากฮ่องเต้ที่นั่งยิ้มเพราะครั้งนี้ได้เงินเข้ามาเติมคลังไม่น้อยเลยทีเดียว

“เอ่อ~ แล้วอย่างนี้ ใครจะเป็นรองแม่ทัพล่ะเพคะ?” ฮ่องเต้ยิ้มค้างเมื่อได้ยินคำถามจากฮองเฮาคู่บัลลังก์ แล้วชี้ไปที่ตัวต้นเหตุ

“นางไง” พระองค์ประกาศเสียงเข้ม ทุกคนพากันหันไปมองที่              จินเซียงที่ยังยืนงงในวงลานฝึก

“ให้นางสู้กับแม่ทัพหยาง ถ้าหากนางชนะก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าหากนางแพ้...ก็ต้องไป” ฮ่องเต้กล่าวเหมือนตัดสินแล้ว ใคร ๆ ก็หน้าซีดกับเงื่อนไขนี้ เพราะ “แม่ทัพหยาง” ในที่นี้ไม่ใช่ผู้เฒ่าตำแหน่งสูง แต่คือแม่ทัพหยางผู้แข็งแกร่งจริงจัง

เผยอิงยิ้มพลางก้าวขึ้นลานประลอง นางเดินมาข้างจินเซียงแล้วกระซิบอะไรสั้น ๆ ก่อนตบบ่าด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่ม คำเพียงไม่กี่คำก็ทำให้       จินเซียงยืนนิ่ง ไม่สนใจความหวาดกลัวอีกต่อไป มองหน้าเผยอิงเหมือนเห็นภาพย้ำในใจ

“เริ่มการประลองได้!” ขันทีตะโกนอีกครั้ง

การประลองเริ่มดุเดือด แรงปะทะ เสียงโลหะกระทบ เสียงกู่ร้อง และท่วงท่าที่ชวนตะลึง แต่ครั้งนี้สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ กฎบางอย่างที่จินเซียงรับรู้ได้… ‘กฎที่ห้ามชนะเมีย’

จินเซียงพลาดจังหวะชั่วครู่ ถูกเผยอิงชกแล้วเตะซ้ำจนล้ม เสียงเงียบกดลงกลืนทุกความตื่นเต้น

“.......” ผู้ชมพากันยืนเงียบกริบ ‘นี่มันงานต้มล้มมวย’

‘จบแล้ว.’ เสนาบดีหยางส่ายหัวอย่างขมขื่น ‘หลานข้า สามีเจ้านี่มัน’

“ผู้ชนะคือ แม่ทัพหยาง คุณหนูใหญ่จินเซียง รับราชโองการ”

เสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนเป็นการจัดเตรียมล่วงหน้า ทั้งหมดไม่ได้แปลกใจนัก ฮ่องเต้ทราบดีว่าในสนามรบจริง ๆ กติกาและแผนอาจต่างออกไป การส่งจินเซียงไปออกรบ อาจเป็นทางเลือกดีกว่าการให้เค่อเต๋อร์คุมกองทัพทั้งหมด

“ข้าน้อย จินเซียง รับราชโองการ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง

“เนื่องจากรองแม่ทัพ เค่อเต๋อร์ ได้รับบาดเจ็บหนัก จึงไม่อาจออกรบได้ ทางราชสำนักแต่งตั้งคุณหนูใหญ่ ผู้มีวรยุทธล้ำเลิศแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพชั่วคราว ให้ไปรับศึกทางเหนือ ฯลฯ … ออกเดินทางในอีก 5 วัน” กงกงประกาศจบ ผู้สูงศักดิ์หลายคนสีหน้าไม่ดีนัก

ไม่นานข่าวการเปลี่ยนตัวแม่ทัพชั่วคราวถูกส่งไปถึงจวนตระกูลถัง เมื่อถามทหารว่าจะส่งใครไปแทนต่างก็สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิด

พอรถม้าจอดหน้าจวน จินเซียงถูกเรียกตัวทันที เธอก้าวไปที่ห้องโถงด้วยความสงบนิ่ง ไม่ได้สับสนมากนัก เพราะลึก ๆ รู้สึกว่ามันต้องมาถึงจุดนี้

“คุณหนูใหญ่ เชิญข้างในขอรับ” พ่อบ้านเรียกด้วยความเคารพที่มีให้เสมอ แม้จะมาได้ไม่ถึงเดือนแต่นางก็เป็นที่เคารพของเหล่าคนใช้ในจวน

“ขอบใจเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วเดินเข้า

“ขออภัยที่มาช้าเจ้าค่ะ”

“นั่งลงเถอะ เล่าให้ข้าฟังที ว่าเหตุใดเค่อเต๋อร์ถึงสภาพย่ำแย่จนออกรบไม่ได้?” ฮูหยินเฒ่าถามเสียงเข้ม

“คือว่า…ข้าต่อยเค้า แล้วจับโยนขึ้นฟ้า แล้วซัดลงมาเจ้าค่ะ ยังไม่ทันครบขั้นตอน เค้าก็หมดสภาพแล้ว” จินเซียงพูดตรง ๆ เหล่าองครักษ์ที่ฟังต่างอยากรู้ว่าเพราะอะไรคนตัวเล็กเช่นนี้ถึงกล้าและทำได้

ประตูเปิดออกอีกครั้ง ชายรูปร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามา เสียงเรียกชื่อดังทะลวงฝ่าความตึงเครียด

“สตรีตัวแค่นี้จะมีแรงแค่ไหนกันเชียว” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่กำยำเดินเข้ามาในห้องโถง 

“ท่านพ่อ! คือว่า…” เอี้ยซ่งเรียกชายชรา

“เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่า ‘พ่อ’ อีกหรือ! เจ้ารับคนนอกด่านมาเป็นลูกบุญธรรมไม่ว่า ยังมาทำร้ายหลานข้าอีก! แบบนี้เจ้ายังจะเรียกตัวเองว่าพ่อได้หรือ!” ชายผู้นั้นตวาด ใบหน้าแดงไปด้วยโทสะ

“ท่านพี่เจ้าค่ะ” 

“น้องหญิงอย่ามาห้ามพี่” 

“ท่านพี่” เสียงเริ่มกดต่ำลงเลื่อย 

“อย่ามาห้ามข้า ข้าจะสั่งสอนนาง” 

“ท่าน… พี่…” ชายชราค่อย ๆ หันไปมองเจ้าของเสียงช้า ๆ

สถานการณ์ตึงขึ้น พ่อแม่เฒ่าและคนรอบข้างพากันยกมือห้าม แต่บุรุษหัวขาวผู้นี้หาได้ยอมหยุด จนเกิดการโต้เถียงกันขึ้น ถึงขั้นประกาศท้าทายความสามารถของจินเซียงทันที

“อะไร! นางทำหลานเจ้าน่ะ ดูซิเจ้าใหญ่เจ็บหนักขนาดนี้” ชายชราชี้ไปที่คนเจ็บที่นอนหมดสภาพอยู่บนเปล

“ท่านที่อยู่ค่ายนอกเมือง ก็เลยต้องรีบกลับมาเพื่อมาดูหลานชายเจ้าปัญหาใช่รึไม่” ฮูหยินเฒ่าถามเข้ม

“ใช่! เฮ้ย! ไม่ใช่! ข้ามาเพราะได้ข่าวเรื่องการเปลี่ยนตัวรองแม่ทัพเท่านั้น รวมถึงงานหมั้นของสองตระกูลเท่านั้นเอง” ชายชราเริ่มแก้ตัว

“แล้วท่าน อยากทดสอบนางไหมเจ้าค่ะ” ฮูหยินเฒ่าถ้ามด้วยเสียงเรียบทั้งยังยิ้มให้

“ดี! ถ้าเป็นรองแม่ทัพ ต้องได้ทั้งบู๊และบุ๋น ข้าจะทดสอบทั้งยิงธนู ดาบ ง้าว ทวน หมัด ยิงธนูบนหลังมา และหมากล้อม!” เขาประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

บรรยากาศทั้งห้องเปลี่ยนเป็นตื่นตัว ทุกคนหันไปมองจินเซียงที่ยืนตรงกลาง องค์หญิงรองเอ่ยเรียกชื่อ และทุกสายตาต่างหันไปจ้องมอง

“องค์หญิงรอง!” เสียงรับคำดังขึ้นเป็นการปิดฉากก่อนการทดสอบใหม่จะเริ่มต้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • แม่นางไก่ทอด   พบคนรู้จัก

    บรรยากาศครึกครื้นเมื่อครู่พลันเงียบลง กลุ่มคนเริ่มแตกฮือหนีเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ยกอาวุธเข้ามา จินเซียงขยับตัวเล็กน้อย ดันเด็กสาวญี่ปุ่นทั้งสองให้หลบไปอยู่หลังเผยอิง“ข้าถามอีกครั้ง มีเรื่องอะไรกับเด็กสองคนนี้” เสียงของนางนิ่งเรียบ แต่แฝงแรงกดดันจนอีกฝ่ายชะงักวูบหนึ่งชายหน้าบากหัวเราะหยัน “หึ! เจ้าไม่ต้องรู้หรอกคุณหนูใหญ่ แค่ส่งตัวพวกนางมา เรื่องก็จบ”“ขู่ข้า? ถ้าไม่จบล่ะ” จินเซียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยสิ้นคำพูด ร่างของนางหายวับไปจากที่ยืน ก่อนจะปรากฏอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว มือข้างหนึ่งกดข้อมือของเขาอย่างแรงจนดาบร่วงลงพื้น เสียงเหล็กกระทบดัง เคร้ง!“เจ้าจะ!” อีกสองคนรีบพุ่งเข้ามา แต่เพียงพริบตา จินเซียงสะบัดชายแขนเสื้อออก หมัดและปลายเท้าแทรกผ่านราวสายลม ปัดอาวุธออกจากมือพวกมันทีละคนอย่างแม่นยำเสียงแตกตื่นดังไปทั่วตลาด พ่อค้าแม่ค้าพากันถอยหนี บรรยากาศรอบท่าเรือกลายเป็นความวุ่นวายเผยอิงก้าวขึ้นมาข้าง ๆ พลางชักดาบสั้นที่พกติดตัวไว้“หากยังกล้าแตะต้องพวกนางอีกแม้แต่น้อย… อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”สีหน้าของชายฉกรรจ์เริ่มแปรเปลี่ยนจากหยิ่งผยองเป็นหวาดหวั่น เหลือบตามองฝูงชนที่เริ่ม

  • แม่นางไก่ทอด   เถ้าถ่านและรอยยิ้ม

    กลองศึกยังไม่ทันเงียบสนิท เสียงกีบม้าก็เร่งเร้าสะท้านพื้นดินสะเทือน ร่างของจินเซียงที่เต็มไปด้วยเลือดทั้งของตนเองและศัตรู ถูกหามลงจากหลังม้าโดยทหารที่น้ำตาคลอ ดวงตาของผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนแดงก่ำ ทั้งยกย่อง ทั้งโกรธแค้นที่คนอย่างนางต้องบาดเจ็บเพราะ ‘การตัดสินใจชักช้า’ ของเบื้องบน“ท่านรองแม่ทัพ… ฮึดไว้นะ! อย่าหลับตาเด็ดขาด!”เสียงของนายกองดังแทรก ขณะนางถูกหามเข้าไปในกระโจมใหญ่ กลิ่นสมุนไพรผสมคาวเลือดคลุ้งไปทั่วเผยอิงที่รออยู่แล้วแทบวิ่งเข้าใส่ เมื่อเห็นร่างที่ไร้สติของคนรัก “เซียง…เจ้าอย่ากล้าทิ้งข้าเชียวนะ!” น้ำเสียงสั่นเครือแต่ก็เต็มไปด้วยความ เด็ดเดี่ยว“ท่านกุนซือ! หากนางเป็นอะไรไป ข้าจะมาเอาชีวิตท่านเอง!”เสียงของแม่ทัพถังประจำเหอเป่ย์ดังก้องไปทั่วค่าย ทหารหลายพันสายตาจับจ้องมาที่ชายชราซึ่งเป็นกุนซือใหญ่“หาใช่ความผิดของข้า! ข้าเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าที่จะเดิมพันกับชีวิตเพียงคนเดียว!” ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างของกุนซือก็ปลิวกระแทกพื้นอย่างแรงจากฝ่ามือที่ฟาดเข้าใส่“นี่! สำหรับพี่น้องข้าที่ตายไปเพราะคนเห็นแก่ตัวเช่นท่าน!”เตียวหลางชี้หน้าด้วยเสียงสั่นสะท้านไปด้วยโทสะ ความเงียบอึดอัดปกค

  • แม่นางไก่ทอด   เรือนทะเลหยก

    แม้ว่าภายนอกจะวุ่นวายเพียงไรแต่ก็ไม่กระทบกับการกินอาหารแม้แต่น้อย บนโต๊ะมีอาหารมากมายพอๆ กับคนที่มีเยอะ ดีที่หวังซุนเทียนได้จองไว้ทั้งชั้นทำให้ไม่มีใครรบกวน“ท่านเอ่อ~” “เรียกข้าซียงก็พอ ไม่ว่าจินเต้องมาก็พิธี” “เจ้าค่ะ พี่จินเซียง จริงซิพวกท่านจะไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ใช่รึไม่” “ใช่แล้ว คนเยอะน่าจะขายดี” ตอบตามที่คิด เพราะนางคิดจะหาเงินจากงานนี้โดยเฉพาะ พอกินข้าวแล้วตีกัน เมื่อโรงเตี้ยมพัง คนก็จะมากินที่ร้านนาง “พวกท่านจะว่าอะไรรึ ไม่ถ้าพวกเราขอตามขบวนท่านไป” จินเซียงเหลือบมองกุ้ยเฟยเล็กน้อย กุ้ยเฟยก็พยักหน้า “ตกลง พวกเราเป็นสตรีเหมือนๆ กัน การที่จะเดินทางด้วยกันก็ไม่ใช่แปลกอันใด มาเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน”“ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้าในนามตัวแทนศิษย์สำนักดอกเหมยขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก” “ดี! มาทุกคนดื่ม” “ดื่ม!” ทุกคนร่วมกินอาหารกันอย่างสนุกสนาน ทางเจ้าของโรงเตี๊ยมได้เชิญนักดนตรีมาแสดงให้ชมเพื่อความเพลิดเพลินและต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีไว้กับสตรีที่อยู่ในห้อง ไม่บ่อยครั้งที่ผู้นำตระกูลหวังจะออกหน้าเพื่อเหมาชั้น สั่งเตรียมอาหารที่ดีที่สุดในเหล่าอาหารไว้เช่นกัน “ไม่ทราบว่าพี่สา

  • แม่นางไก่ทอด   ระหว่างเดินทาง

    เช้าวันต่อมาหลังทานอาหารแล้ว จินเซียงกับเผยอิงก็เข้าไปคุยกับหยางจินเทาเรื่องที่ทางโซซอนส่งคนมาขอความช่วยเหลือ นางรู้ดีว่าโซซอนเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันการรุกรานของพวกญี่ปุ่นถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงพวกโจรสลัดก็ตาม ถึงแม้ในความฝันคนที่คิดว่าเป็นเทพพระเจ้าจะบอกไว้ว่าทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่ใช่แบบเดียวกับโลกเดิมของนางก็ตาม แต่ก็ประมาทไม่ได้ เมื่อพูดคุยกันแล้วทางหยางจินเทาก็มีความกังวลเรื่องปืนใหญ่ เพราะว่าตอนนี้ปืนใหญ่แบบที่ต้าซ่งมีในครอบครองนั้น ที่อื่นยังไม่มีใช้ประกอบกับทหารของต้าซ่งเองก็ใช่ว่าเข้มแข็งเช่นยุคของต้าถัง “ปู่คงต้องไปปรึกษากับพระองค์ดูก่อนว่าจะทำเช่นไร เพราะทางโกโจเองก็ปฏิเสธเรื่องนี้เพราะคนล่ะกลุ่มกัน” “เจ้าค่ะ อย่างไรก็ต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่จะเดินทางไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่หลานต้องไปคุ้มกับกุ้ยเฟย” “งานนี้ได้ข่าวว่าจัดที่ภาคกลาง เอ่~ อ้อ ปู่นึกออกแล้วว่าจัดที่ไหน” “ที่ไหนรึเจ้าค่ะ” เผยอิงถาม “ก็ที่ทำการหลักของพรรคฝ่ายธรรมมะที่เหวย์ฟาง เขตซานตง” “หลานเคยได้ยินมาบ้างว่า-” “ใช่แล้ว!” สองปู่หลานถึงกับสะดุ้งเพราะอยู่ๆ อีกคนก็ตะโกนขึ้นมา “ใช่อะไรท่านพี่” เผยอิงหันไป

  • แม่นางไก่ทอด   พักผ่อน

    เช้าวันต่อมา จินเซียงพาเผยอิงและสองสาวไปเล่นน้ำที่น้ำตกใกล้บ้าน แต่ทว่ากลับไม่มีใครยอมลงเพราะการเปลืองผ้าเล่นน้ำนั้นถือว่าผิดหลักสอนหญิง แต่บางทีพวกนางอาจลืมไปว่าทีนี่มีแต่สตรีเท่านั้น จินเซียงโดดลงน้ำโดยมีเพียงบังทรงกับกางเกงสั้นเท่านั้น ซู่มม~ “สดชื่นจริงๆ อ้าวพวกเจ้าไม่ลงมาล่ะ ฮูหยินข้า เจ้าไม่ลงมาหรอ” “พวกข้าว่ายน้ำไม่เป็นเจ้าค่ะ” เผยอิงตอบตามตรง “อะไรกัน เช่นนั้นก็นั่งเล่นกันดีๆ น่ะ” “เจ้าค่ะ” วันเวลาอันสงบสุขก็ดำเนินต่อไปจนวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึง ทั้งสี่ช่วยกันเก็บข้างของขึ้นรถม้าเพื่อเตรียมตัวกลับไปที่จวน “เสี่ยวจูเจ้าเก็บของมาครบรึยัง” “เจ้าค่ะฮูหยิน” เสียวจูตอบ “ฮวาฮวาปิดรั้วให้ดีด้วยน่ะ จะได้ไม่มีใครเข้าไปได้” “แน่ใจรึเจ้าค่ะ” จินเซียงย้ำอีกรอบ “เชื่อข้า” ฮวาฮวาพยักหน้าแล้วปิดรั้วให้สนิท แล้วเดินมาขึ้นรถม้า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกห่างจากบ้านช้าๆ ไม่มีใครสังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าบ้านหลังดังกล่าวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนอกจากจินเซียงเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด กุบกับ กุบกับ เสียงรถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปตามทางขรุขระมุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่เซี่ยโจว “ทำไมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย”

  • แม่นางไก่ทอด   อดีต

    จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status