Masukที่ห้องอาหารใหญ่ของตระกูล
คนในตระกูลทยอยมาร่วมโต๊ะกันจนเกือบครบ เหลือเพียงบุตรีทั้งสามที่ยังไม่ปรากฏตัว เสียงสนทนาเป็นไปตามปกติ แต่ในใจเอี้ยซ่งกลับกังวลไม่น้อย โดยเฉพาะบุตรชายคนโต ‘เค่อเต๋อร์’ ที่สีหน้าขุ่นเคืองตั้งแต่รู้เรื่องงานหมั้น หากเจ้าลูกชายหัวแข็งคิดหุนหันพลันแล่นขึ้นมา วันหน้าคงไม่ใช่เรื่องเล็ก
ทว่าสัญชาตญาณผู้เป็นพ่อนั้นก็ไม่เคยพลาด ‘เดาไว้ไม่ผิด’
เมื่อเหลือบตามองสายตาของลูกชาย เขาก็พบว่าบุตรีทั้งสามเดินเข้ามาพร้อมกัน … เพียงแค่การแต่งกายอันกลมกลืน และท่าทีสนิทสนมเกิน พี่น้อง ก็ก่อให้คนที่นั่งเงียบงันมานานแทบคลั่ง
“ท่านพ่อ! คนเถื่อนเช่นนี้หรือขอรับ...ที่ท่านรับเข้ามา...เป็นบุตร บุญธรรม” คำพูดพุ่งตรงเหมือนหอกแทงกลางวง ทุกคนชะงัก
‘กูว่าล่ะ…ปากมันเป็นแบบนี้ถึงได้เป็นแค่รองแม่ทัพ’ เอี้ยซ่งส่ายหน้า ฮูหยินเฒ่าถึงกับกลอกตาอย่างระอา ยิ่งถ้าเทียบรูปร่างแล้ว เค่อเต๋อร์ที่ตัวยังไม่ถึงบ่าจินเซียงด้วยซ้ำ จะเรียกเป็นลูกหมาก็ดูน่าเอ็นดูกว่าเสียอีก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า ทุกท่าน พวกเราทั้งสามมาช้าโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ” จินเซียงโค้งคำนับแทนทั้งสามสาว
“มาเถิด มานั่งทานก่อน ยังมีงานอีกมากต้องทำ” หลอหลันรีบประคองบรรยากาศ
“เจ้าค่ะ”
มื้อเช้าดำเนินไปด้วยเสียงช้อนตะเกียบปะปนกับความเงียบงันของบางคน … คนหนึ่งนั่งค้างเพราะถูกเมินจนไร้ที่ยืนในวงสนทนา
หลังจบมื้อ จินเซียงกับเผยอิงก็พากันไปที่คอกม้า เตรียมมุ่งหน้าไปส่งคนรักที่พระราชวัง แล้วจะได้ไปที่โรงเตี๊ยมตามที่ได้นัดกับนายช่างตอนเที่ยง แต่ปัญหากลับอยู่ตรงที่ม้าสายพันธุ์สูงใหญ่ที่เดินทางมากับจินเซียงจากแดนไกล เกรงว่าจะมีคนอยากครอบครองมัน
“เกิดเรื่องอันใดกัน” จินเซียงเลิกคิ้ว เมื่อเห็นกลุ่มทหารยืนขวาง
“ท่านรองแม่ทัพต้องการใช้ม้าตัวนี้ขอรับ เป็นม้าพันธุ์ดีที่หาได้ยาก” ทหารคนสนิทเอ่ย
“ขอโทษที ม้าของข้า…ใครอย่าแตะ” จินเซียงเดินเข้าไปลูบแผงคอม้าตนเองอย่างอ่อนโยน ก่อนจัดแจงอานโดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง
“คุณหนู หากยอมให้ท่านรองแม่ทัพยืมสักครั้งเถิด แค่เข้าวังเอง” พ่อบ้านรีบพยายามเกลี้ยกล่อม
จินเซียงเงยหน้าขึ้น สายตาคมเฉียบ “ถ้ามีคนมาขอนอนกับฮูหยินของท่าน...หรือลูกสาวท่าน ท่านจะยอมรึไม่”
พ่อบ้านไม่กล้าแม้แต่จะเถียงกลับ ได้แต่ยืนอ้ำอึ้งเมื่อเจอคำตอบของหญิงสาวตรงหน้า
“มันเดินทางมากับข้าหลายหมื่นลี้ ผ่านทั้งความตายและการต่อสู้ … มันไม่ใช่แค่สัตว์ไว้ขี่ แต่เป็นสหายร่วมรบ ข้าว่า หากท่านเป็นทหารม้าจริง คงเข้าใจดี”
คำพูดนั้นจบลงพร้อมกับนางที่เหวี่ยงกายขึ้นอาน แล้วควบม้าออกไปหาเผยอิงที่ยืนรออยู่
“หลบ!” บ่าวไพร่แตกฮือหลีกทาง แต่เสียงโกลาหลกลับเรียกความโกรธให้รองแม่ทัพหนุ่มพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
“เฮ้ย!” คนในบริเวณคอกม้าต่างพากันวิ่งหลบ
พอไกล้ถึงประตูก็พบคนของรองแม่ทัพ เมื่อโดนขวางทางออก ทางเลือกสุดท้ายคือวิ่งย้อนเข้าไปในจวน บ่าวชายหญิงต่างพากันหลบให้วุ่น มีทหารของรองแม่ทัพวิ่งตามเป็นกลุ่มใหญ่
“แค่ม้าตัวเดียวทำเป็นหวง!…เอาธนูมา!” เค่อเต๋อร์กัดฟันกรอด ง้างธนูเล็งตรงไปยังคอม้าของจินเซียง
ฟึบ! ลูกธนูพุ่งออกด้วยความเร็ว
ทว่าในพริบตากลับถูกคว้าไว้กลางอากาศ จินเซียงพลิกมือยิงสวนกลับโดยไม่ลังเล ลูกธนูบินเฉียดใบหูเค่อเต๋อร์ไปเพียงคืบ ก่อนจะฉุดเผยอิงขึ้นม้าแล้วควบฝ่าคนออกไปนอกจวน
“ท่านรองแม่ทัพ!”
“คุณชาย!” เสียงโกลาหลดังลั่นทั่วคอก
เค่อเต๋อร์เอื้อมแตะใบหูตนเองที่เลือดซึมเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยไฟโทสะ “ข้าไม่เป็นอะไร รีบเข้าวัง! เสียเวลามามากพอแล้ว!” เขาก้าวขึ้นม้าของตน กัดฟันแน่นด้วยไฟโทสะ
“แยกย้ายกันได้แล้ว! มายืนมองอะไร! การงานการไม่ทำไง! ไป!”
เหล่าทหารและบ่าวที่ยืนมุงต่างรีบสลายตัว เมื่อถูกเอ็ดเสียงดัง
ไม่นานข่าวก็ถึงหูเอี้ยซ่งโดยละเอียด พ่อบ้านรายงานทุกถ้อยคำอย่างไม่ขาดตก จนผู้เป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจยาว
“เฮ้อ…ท่านพ่อช่างสั่งสอนลูกได้สิ้นดี คนไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ต่อให้มีผลงานสักเพียงใด วันหนึ่งก็จะเป็นหายนะของตระกูล”
เอี้ยซ่งเองก็จนปัญญา เพราะลูกคนนี้เรียนจบก็ไปอยู่กับปู่ที่ค่ายทหาร และไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน ถึงแม้จะรู้มาบ้างว่าบุตรชายของตนก่อเรื่องอะไรไว้แต่ก็ไม่อาจทำอะไรมากได้
หลอหลันและสองฮูหยินที่บังเอิญเดินมาได้ยินพอดี ถึงกับสบตากันเงียบๆ พ่อบ้านจึงเล่าซ้ำให้ฟังอีกรอบ
“ต่อให้โง่ ก็ควรรู้จักที่ต่ำที่สูง เห็นเพียงม้าก็รู้ได้แล้วว่าไม่ใช่ม้าที่คนทั่วไปจะมี ราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ” หลอหลันพูดเสียงเย็น
“ลูกใครกัน…”
“น้องสาม” หลอหลันปรายตามองฮวาเจียวเม้มปาก
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
“ลูกของพี่…และก็ลูกของพวกเจ้าด้วย”
ทั้งสองเงียบสนิท ไม่กล้าเอ่ยคำใด
“ว่าแต่ท่านพี่แล้วแบบนี้จะไม่เป็นอะไรรึเจ้าค่ะ เพราะท่านแม่เองก็ชอบนางมากด้วย ขนาดฟางฟางเองยังโดนเมิน ยิ่งเจ้าใหญ่ทำเช่นนี้....” หลี่อิงหันมองหลอหลันผู้เป็นมารดาของคุณชายใหญ่แห่งจวน
“พี่เองก็...จนปัญญาจริงๆ”
ด้านจินเซียงกลับไม่เก็บเรื่องมากวนใจ นางขี่ม้าส่งเผยอิงถึงหน้าวัง ก่อนวกกลับไปตลาด ซื้อของสำหรับสอนฟางฟางกับแม่ครัวทำขนมต่อไป ราวกับเหตุการณ์วุ่นวายในคอกม้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…
พอกลับมาถึงจวนนางก็เอาม้าไปเก็บไว้ที่สวนของเรือนนอนแทนที่จะเอาไปไว้ที่คอกม้าของจวนตามเดิม แล้วเดินไปหานายช่างที่มานั่งรออยู่ด้านนอกของลานหน้าเรือน
“สวัสดีเจ้าค่ะนายช่าง”
“สวัสดีขอรับคุณหนู”
“นี่คือแบบแปลที่ข้าได้วาดไว้” นายช่างและลูกน้องต่างพากันก้มมองแบบแปลนที่วางอยู่บนโต๊ะหินด้วยความตื่นเต้น
“นี่คือ...คุณหนูเขียนเองรึขอรับ” นายช่างรีบถามอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าเขียนเองแล้วก็ยังมีแบบแปลนของร้านอาหารที่จะให้พวกท่านไปปรับปรุงด้วยเจ้าค่ะ ท่านแม่ได้แจ้งพวกท่านรึยัง”
“ฮูหยินบอกพวกเราแล้วขอรับ”
“อืม มาเถอะข้าพาไปดูหน้างาน ฟางฟาง! อี้หลัน อิงอิง พวกเจ้าออกมาเถอะ อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นน่ะ” จินเซียงหันไปพูดกับคนที่แอบอยู่หลังซุ้มประตู
ทั้งสามก็พากันออกมาจากมุมประตู แม้จะอายเล็กน้อยที่โดนจับได้แต่ก็คุ้มเพราะพวกนางนั้นอยากเรียนรู้จากคนที่ยืนตรงหน้ามากกว่า
“ท่านพี่เจ้าค่ะ พวกเราแค่อยากมาดูเท่านั้นเอง” ฟางฟางรีบเข้ามาเกาะแขนพี่สาว ตอนนี้เห็นแล้วว่าเวลามีปัญหาคนที่จะเป็นที่พึ่งได้นั้นเป็นใคร
“ได้ๆ มาเถอะ อย่างน้อยก็เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย”
“ท่านพี่ใจดีที่สุด ไม่เหมือนใครแถวนี้”
“พอเลย” จินเซียงรีบห้ามทัพ แล้วเดินนำทุกคนไปที่จุดที่นางคิดว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเริ่มทำงาน
“คุณหนูใหญ่ท่านแน่ใจแล้วรึขอรับ”
“อืม ตรงนี้คือจุดที่ดีที่สุด ขอให้ท่านจำไว้ว่าอย่าได้เอาเรื่องนี้ไปพูดหรือให้ใครดูเด็ดขาด” มันคือแบบแปลนคนล่ะฉบับ ที่เอาออกไปให้ทุกคนดู
“ขอรับคุณหนูใหญ่ พวกเราจะทำออกมาให้ดีที่สุดเลยขอรับ”
นายช่างรับคำอย่างหนักแน่น บางอย่างมันกระซิบบอกในหัวว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ถ้ายังรักชีวิตของตัวเองและครอบครัว
หลังคุยเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็พากันไปที่โรงเตี๊ยมเก่า แบบแปลนถูกอธิบายทีละจุด ทีละจุด แบบแปลนถูกอธิบายทีละจุดอย่างละเอียดจนผู้ช่วยต้องถามซ้ำหลายรอบเพื่อกันผิดพลาด
“คุณหนู!” เสียงตะโกนดังมาจากชั้นล่าง
“พ่อบ้าน มีอันใดหรือ!” ถังอี้หลันตะโกนถาม
“คุณหนูใหญ่ขอรับ! ฮองเฮาต้องการพบ!”
“พบข้า? พระองค์ทรงว่างเกินไปหรือไม่” จินเซียงถามน้องสาว
“คุณหนูใหญ่ อย่าทำเป็นเล่นไปขอรับ ฮองเฮาเป็นพี่สาวของ ฮูหยินหลอหลันขอรับ”
“เอาจริง…” จินเซียงกระพริบตาถี่ ทั้งสามสาวพยักหน้าพร้อมกัน รวมถึงนายช่างก็ยืนยันด้วย
“พี่จะไปส่งพวกเจ้าให้ถึงจวนก่อน แล้วค่อยไปเอง” นางตัดสินใจ แม้หลายคนจะค้าน แต่สุดท้ายนางก็ยืนกรานที่จะไปส่งทั้งสามถึงจวนด้วยตัวเอง
หลังส่งน้อง ๆ ถึงหน้าประตูจวนแล้ว จินเซียงก็ก้าวขึ้นรถม้าที่ส่งมารับโดยเฉพาะ ตรงข้ามมีชายชรานั่งจ้องไม่วางตา
“ท่านเอาไหม ข้าเห็นท่านมองอยู่นานแล้ว”
ชายชรายกคิ้ว “ดี…ยังรู้จักเคารพผู้ใหญ่”
“นี่เจ้าค่ะ ข้าทำเองกับมือ ช่วยแก้อาการเวียนหัวเวลาโดยสารรถม้า น่าเวียนหัวแบบนี้ มีกลิ่นให้เลือกหลายแบบ เด็กกับสตรีมีครรภ์ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย” จินเซียงยื่นกล่องเล็กให้
ชายชรารับไป สีหน้าผ่อนคลายลง “คุณหนูใหญ่เกรงใจนัก”
จินเซียงไม่รีรอถามต่อ “ฮองเฮามีเหตุใดถึงเรียกข้าเป็นการด่วน”
“ขยับมาใกล้หน่อย ข้าพูดดังไม่ได้”
นางพยักหน้าแล้วไปนั่งข้างชายตรงหน้า
‘พระนางว่า ไหนเลยจะไม่พบผู้เป็นอา หากเจ้าเป็นลูกบุญธรรมของน้องสาว ก็ควรไปพบหน้า’
‘บอกตามตรง…..’
‘ว่ามาเถอะ’
‘…ข้าพึ่งรู้จากปากพ่อบ้านนี่เอง’
ชายชรามองนางด้วยความตกใจ
‘หา!? คุณหนูท่านคง...ไม่ได้…ล้อข้าเล่น?’
‘จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ’ จินเซียงยังคงยืนยันหนักแน่น
ชายชราอึ้งไปทั้งหน้า
เมื่อรถเทียบ ทั้งสองเดินตรงไปยังตำหนักใน ผ่านท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด เสียงถกเถียงดังลอดออกมา แต่จินเซียงเลือกที่จะไม่แอบฟัง นางพยายามสู้กับเสียงในหัวอย่างเต็มที่ ‘ท้องไว้ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน’
“เชิญด้านในขอรับ คุณหนูใหญ่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วเดินตามนางกำนัล
“เจ้ามาแล้วรึ นั่งก่อนสิ ไม่ต้องพิธี”
จินเซียงมองสตรีที่ใส่ชุดจัดเต็ม จนมองแล้วเหมือนตู้โชว์เคลื่อนที่
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
ฮองเฮามองตรงไปยังจินเซียง “ได้ยินว่าเจ้าไม่ใช่คนที่นี่?”
“เพคะ”
“แล้วเจ้า...มาที่แผ่นดินจงหยวนได้อย่างไร”
จินเซียงเล่าเรื่องการเดินทางกับกองคาราวาน การเป็นทหารรับจ้าง และการพบเจอสิ่งต่างๆ มากมายระหว่างเดินทาง จนพบหลานสาวพระองค์ที่หมู่บ้านกลางหุบเขา
“แปลกนัก เหตุใดสตรีเช่นเจ้าถึงได้ดั้นด้นเดินทางข้ามแผ่นดินมาไกลเช่นนี้ เจ้าต้องการอันใดกันแน่” ฮองเฮามองด้วยสายตากดดัน
“ที่นั่น..กระหม่อมเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เสียครอบครัวให้กับสงคราม คิดเพียงว่าควรก้าวเดินออกจากสิ่งเดิม จนมาหยุดที่หมู่บ้านกลางหุบเขาอันเงียบสงบ”
“แล้วไปเจอหลานของเราได้อย่างไร”
“ตอนนั้นกระหม่อมนั่งตกปลาอยู่ แต่เพราะเห็นเลือดลอยมาตามน้ำจึงรีบเดินไปดูและพบว่ามีสตรีสองคนที่รอด จึงเข้าทำการช่วยเหลือ” ฮองเฮาหันมองคนสนิทเพื่อเป็นการยืนยัน ก็รับคำตอบเป็นการพยักหน้าจากคนสนิท
ฮองเฮาพยักหน้า แต่กลับวกเข้าเรื่องใหญ่ทันที
“เจ้ารู้หรือไม่ ข่าวว่าตระกูลหยางหมั้นกับตระกูลถัง ทำให้ผู้คนเข้าใจว่านั่นคือเค่อเต๋อร์...หลานชายของเรา”
จินเซียงรู้แล้วว่านี่คือเหตุผลที่ถูกเรียกมา “พระองค์ไม่ควรยุ่งเกี่ยว เรื่องนี้ คนที่แม้แต่รักษาสิ่งใดไม่ได้ แต่กลับอยากได้ของผู้อื่น…ไม่คู่ควรนัก”
“เจ้าพูดอะไร! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของแผ่นดิน!”
“ไม่หรอกเพคะ คนที่ชอบแย่งชิง ดูถูกผู้อื่น ตัดสินด้วยความอคติ ก็ไม่ต่างจากศัตรูนอกด่าน”
“บังอาจ! ทหาร เอานางไปขัง!”
บรรยากาศแข็งค้าง ข้ารับใช้พากันมองหน้าเลิ่กลั่ก เพราะจากข่าว ที่สืบมานั้น เกรงว่าต่อให้ขนทหารมาทั้งวังก็เอาไม่อยู่
“ถ้าเพียงเท่านี้พระองค์ยังทนไม่ได้ กระหม่อมก็หมดคำพูดแล้ว และขอเตือน...อย่าได้มาแตะต้องตัว ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าไม่เตือน!” ทันที ไอสังหารเข้มข้นพุ่งออกมาจนทหารหลายคนทรุดลงกับพื้น
องครักษ์เงามองหน้ากัน ‘แย่แล้ว…กลุ่มที่มีพลังเช่นนี้ มีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น’
ในจังหวะคับขัน หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา
“พี่สาว ใจเย็นเถอะ ข้าว่าเราคุยกันก่อน แม่ข้าเพียงอยากทดสอบท่าน จริงหรือไม่เพคะเสด็จแม่”
จินเซียงหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาในตำหนัก หน้าตาของนางนั้นแม้จะผ่านไปนานแต่ก็ยังคล้ายเดิม
จินเซียงเหลือบมอง ยิ้มบาง “ศิษย์ของยาซี…โตขึ้นมากแล้ว”
ฮองเฮารีบตามน้ำ “ใช่ ใช่…ขะ...ข้าแค่กลัวเจ้าจะเป็นสายจากนอกด่าน ทุกคนออกไปก่อน!”
หญิงสาวหยิบกระดาษเก่าออกมา “ไม่เจอกันนาน ท่านอันเตรียยาร์สบายดีหรือไม่เจ้าคะ? ตอนอาจารย์ส่งข่าวว่าท่านกำลังมา ข้าส่งคนไปดักที่ชายแดน แต่กลับไร้ข่าวคราว…ใครจะคิดว่าท่านจะปรากฏตัวเช่นนี้”
“กลัวนักล่าจะไม่รู้หรือไร จุดพักนกมีตั้งกี่จุด”
จินเซียงย้อนถามเสียงเย็น
หญิงสาวยิ้มบาง “รู้แค่คนของกลุ่มเจ้าค่ะ คนอื่นไม่รู้ และข้า..เพียงคนเดียวที่รู้ว่าท่านเป็นใคร”
รอยยิ้มนั้นทำให้จินเซียงไม่สบายใจ ‘เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไป’
“ไม่คิดเลยว่าเด็กชายที่เราพบบนเรือค้าทาสวันนั้น จะกลายเป็นองค์หญิงที่เกือบสง่างามเช่นนี้” จินเซียงครุ่นคิด นึกย้อนกลับไปเมื่อสิบสองปีก่อน ตอนที่นางนำภารกิจลอบสังหารเจ้าเรือผู้สนับสนุนกบฏ และบังเอิญช่วยเด็กคนหนึ่งไว้
“12 ปีแล้วซิน่ะเจ้าค่ะ”
ฮองเฮาถึงกับหน้าเหวอ ไม่คาดคิดว่าคนที่ช่วยชีวิตบุตรสาวของตนไว้ จะเป็นหญิงสาวตรงหน้า
“ลูกหญิง แม่ขอถามได้หรือไม่ ว่าตอนนั้นนางอายุเท่าไหร่” ฮองเฮาหันไปถามลูกสาว
“สิบสองเพคะ เสด็จแม่...แต่อาจารย์ขอลูกจะยี่สิบแล้วเพคะ”
“สิบสอง! เด็กมาก” ฮองเฮาตกใจ “แล้วตอนนี้เจ้าอายุเท่าใด”
คำถามนั้นพอดีกับจังหวะที่ฮ่องเต้เสด็จเข้ามาในตำหนัก
“ยี่สิบห้าเพค่ะ แก่กว่าหลานชายท่านห้าปี”
ทุกคนในห้องพากันตกตะลึง ใบหน้าอ่อนเยาว์เกินจะเชื่อว่าอายุเยอะแล้ว ยกเว้นเพียง…ส่วนนั้นที่ยืนยันวัยสาวอย่างชัดเจน
“ไหนน้องข้าว่ายี่สิบสองเท่านั้น”
“ลืม... ” คำตอบสั้น ๆ แบบหน้าด้าน ๆ ทำเอาทุกคนเงียบไปชั่วขณะ
ฮ่องเต้หัวเราะหึ “เอาเป็นว่า เราจะไม่คัดค้านเรื่องแต่งงานระหว่างเจ้ากับแม่ทัพหยาง…แต่ว่า”
ทั้งสามหันมองต้นเสียงแล้วรีบพากันลุกขึ้น แต่พระองค์โบกพระหัตถ์ห้ามไว้ “เจ้าต้องช่วยต้าซ่ง และห้ามทรยศ”
“ฝ่าบาท” ทุกคนในห้องคำนับพร้อมกัน
“ตามสบายเถิด เราเพียงแวะมาพัก เดี๋ยวก็ต้องกลับไปประชุมอีก เฮ้อ…น่าเบื่อจริง พึ่งสงบได้ไม่กี่ปี ตอนนี้พวกนั้นก็เริ่มส่งคนมาก่อกวน ไหนยังจะพวกที่หวังเพียงผลประโยชน์ ชาวบ้านเดือดร้อนนัก ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี” พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
องค์หญิงรองยกยิ้ม “เสด็จพ่อ พระองค์ก็สนับสนุนให้พี่สาวแต่งกับแม่ทัพหยางสิ หากท่านเอ่ย คงไม่มีใครกล้าขัดแน่นอน”
“เจ้านี่… เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น รัชทายาทเองก็กำลังหาทางขอสมรสพระราชทานเพื่อเพิ่มอำนาจ ไหนยังจะพวกตระกูลเยี่ยอีก” พระเนตรหรี่ลงครุ่นคิด “บางที คนตรงหน้า…อาจเป็นตัวหมากที่เรากำลังมองหา”
“เยี่ยเฟยหรือเพคะ เสด็จพี่”
“อืม แต่มีสองตระกูลที่สนับสนุนการแต่ง”
ฮองเฮาพยักหน้า “ลิ่งกุ้ยเฟยกับหยางกุ้ยเฟย” คือชื่อที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด
“ใช่แล้ว” ฮ่องเต้ยืนยัน พลันพระเนตรหันมาที่จินเซียง
“จริงสิ ขอเราทดสอบฝีมือเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่”
“ได้เพคะ”
เพียงคำตอบนั้น ทุกคนก็เคลื่อนขบวนไปยังลานหน้าตำหนักฮองเฮา แต่เพราะมีผู้สนใจมาก จึงถูกย้ายไปยังลานฝึกขององครักษ์แทน บรรดาเหล่าขุนนางฝ่ายทหาร แม่ทัพใหญ่ และคนตระกูลหยาง ต่างพากันมารวมตัว หัวหน้าองครักษ์ผู้มากฝีมือก็ถูกเรียกตัวมาเพื่อทดสอบโดยเฉพาะ
ทางด้านหนึ่ง ชายชราร่างกำยำถามหลานสาว “ข้าได้ข่าวว่าคนรักของเจ้าถูกเรียกเข้าวัง และตอนนี้อยู่ที่ลานฝึก เจ้าจะไปดูด้วยกันหรือไม่”
เผยอิงยิ้มบาง “ท่านปู่อยากรู้หรือเจ้าคะ”
“แน่นอน ปู่อยากเห็นว่านางเป็นคนเช่นไร เก่งกล้าพอจะเคียงคู่กับเจ้าได้หรือไม่”
“เช่นนั้นรีบไปเถิดเจ้าค่ะ หลานเองก็อยากรู้เหมือนกัน…ว่านางจะเก่งเพียงใด”
“เช่นนั้นรีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวไม่ทัน หลานเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านางเก่งเพียงใด”
ทั้งคู่รีบเดินตามทุกคนไปทันที รวมถึงแม่ทัพคนอื่นด้วย ที่ลานฝึกตอนนี้มีคนมายืนรอดูมากมาย เพราะทุกคนต่างก็อยากเห็นหน้าตาของผู้ที่ได้หมั้นหมายกับตระกูลขุนศึก แม่ทัพหยางนั้นที่เป็นสตรีที่มากฝีมือเป็นรองเพียงปู่ของนาง เทียบเท่าหรืออาจมากกว่าผู้เป็นพ่อและบรรดาพี่ชาย
ณ ที่ลานฝึกตอนนี้ บรรยากาศเงียบงันด้วยสายตาของผู้คนที่จับจ้อง ทุกคนต่างตั้งความหวังและคาดเดา ขันทีประกาศเริ่มการประลอง ท่ามกลางเสียงกระซิบคาดคั้น
“เริ่มสู้ได้”
ทันทีที่ขันทีประกาศ ทุกคนต่างพากันจับจ้องการต่อสู้ไม่วางตา
หัวหน้าองครักษ์เปิดเกม ด้วยการพุ่งดาบเข้าหาจินเซียงตั้งแต่แรก หวังใช้ความรวดเร็วทำให้หญิงสาวตั้งตัวไม่ทัน ดาบฟาดชัดเป้ากอที่คอ แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้ยินเสียงคนร้อง มีเงาร่างหนึ่งหายวับไป
“ย้ากกก ฟับ!” ผู้ชมเฮลั่น เมื่อเห็นดาบฟันเข้าเป้า
แต่เมื่อสายตาทุกคู่ตามมองให้ชัด กลับเห็นเพียงเงา “นี่มันไม่ถูกต้อง! นางหายไปไหน!” แล้วหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของหัวหน้าองครักษ์ เหงื่อเย็นผุดที่ดาบเงินที่สะท้อนแสง “ชู่~ ท่านช้าเกินไป” เสียงเยือกเย็นของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมดาบที่พาดคอหัวหน้าองครักษ์
หัวหน้าองครักษ์ค่อยๆปล่อยดาบลงพื้น ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยสีหน้าช็อก
‘ฮึ! ชั่งเป็น..การกระทำที่โง่เง่านัก อัศวินกว่าร้อยคนยังเอานางไม่ลง’ องค์หญิงรองส่ายหัวให้กับคนที่กำลังสบประหมาดรุ่นพี่ของนาง
“จบการประลอง!” ขันทีประกาศ พิธีดูเหมือนจบลงด้วยมารยาทและความเคารพ แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ถอนหายใจ เสียงท้าทายก็ดังขึ้น
“จบการประลอง!” ขันทีประกาศเสียงดัง จินเซียงขอบคุณหัวหน้าองครักษ์อย่างมีมารยาทแต่ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางผู้คน
“ช้าก่อน! ข้าขอท้าสู้กับนาง!” ใครบางคนตะโกน กลุ่มผู้ชมผงกหัวหันไปที่ต้นเสียง มองเห็นเค่อเต๋อร์ลุกขึ้นอย่างอารมณ์พุ่งพล่าน
ขันทีหันซ้ายมองขวา แล้วค้อมพนมกราบ “ฝ่าบาท?” ทุกสายตาหันไปทางบัลลังก์ ฮ่องเต้พยักหน้าเบาๆ เป็นอนุญาต
“เชิญท่านรองแม่ทัพ” ขันทีประกาศเสียงเรียบ
เค่อเต๋อร์ก้าวออกมา “ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าต้องออกจากตระกูลข้า” แววตานั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย
“แล้วถ้าข้าชนะล่ะ?” จินเซียงย้อนถาม
“ชนะให้ได้ก่อนเถอะ!” เค่อเต๋อร์ตอบแล้วพุ่งเข้าทันที
จินเซียงยักคิ้วอย่างเย็นชา “ปากดีแบบนี้ ระวังไม่มีฟันไว้กินข้าวน่ะน้องชาย” แล้ววางดาบไว้กับองค์หญิงรองที่ยืนใกล้ๆ ทว่านางลืมถามชื่อสมัยอยู่กลุ่มเดียวกัน จึงเรียกตามเสียงเรียกตามเดิมว่า “หนุ่มน้อย” ตามความเคยชิน เช่นสมัยอยู่ที่กลุ่มนักฆ่า
“เริ่มการประลอง!” ขันทีตะโกน
เค่อเต๋อร์พุ่งตัวเหมือนพายุ แต่จินเซียงหายวับในพริบตา เขาลอยเคว้งกลางอากาศ ร่างกระแทกพื้นศิลาอย่างแรง เสียงกระแทกดังสนั่น ฝุ่นฟุ้งกระจาย ผู้ชมเงียบกริบ
“กัดฟันไว้แน่ๆ น่ะไอน้องชาย!” จินเซียงวิ่งด้วยความเร็วก่อนจะจับโยนเค่อเต๋อร์ไปบนอากาศ ร่างของเค่อเต๋อร์ลอยกลางอากาศ และหญิงสาวที่กระโดดตามขึ้นไป พลิกตัวตีลังกา ก่อนจะเตะลงมากระแทกพื้นด้วยท่วงท่ารุนแรง กระแทกพื้นศิลาจนแตกอีกครั้ง
“..........” ผู้ชมพากันยืนเงียบกริบ
“ผะ...ผู้ชนะคือ คุณหนูใหญ่จินเซียง” ขันทีประกาศ ท่ามกลางความเงียบอึ้งของผู้คน ทุกสายตาหันไปหา ฮ่องเต้ยิ้มอย่างพอใจ
ทว่าหลายคนกลับคิดไปในทางเดียวกันว่า ‘เดิมพันไปตั้งเยอะ แบบนี้มีหวังหมดตัวเป็นแน่’ ต่างจากฮ่องเต้ที่นั่งยิ้มเพราะครั้งนี้ได้เงินเข้ามาเติมคลังไม่น้อยเลยทีเดียว
“เอ่อ~ แล้วอย่างนี้ ใครจะเป็นรองแม่ทัพล่ะเพคะ?” ฮ่องเต้ยิ้มค้างเมื่อได้ยินคำถามจากฮองเฮาคู่บัลลังก์ แล้วชี้ไปที่ตัวต้นเหตุ
“นางไง” พระองค์ประกาศเสียงเข้ม ทุกคนพากันหันไปมองที่ จินเซียงที่ยังยืนงงในวงลานฝึก
“ให้นางสู้กับแม่ทัพหยาง ถ้าหากนางชนะก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าหากนางแพ้...ก็ต้องไป” ฮ่องเต้กล่าวเหมือนตัดสินแล้ว ใคร ๆ ก็หน้าซีดกับเงื่อนไขนี้ เพราะ “แม่ทัพหยาง” ในที่นี้ไม่ใช่ผู้เฒ่าตำแหน่งสูง แต่คือแม่ทัพหยางผู้แข็งแกร่งจริงจัง
เผยอิงยิ้มพลางก้าวขึ้นลานประลอง นางเดินมาข้างจินเซียงแล้วกระซิบอะไรสั้น ๆ ก่อนตบบ่าด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่ม คำเพียงไม่กี่คำก็ทำให้ จินเซียงยืนนิ่ง ไม่สนใจความหวาดกลัวอีกต่อไป มองหน้าเผยอิงเหมือนเห็นภาพย้ำในใจ
“เริ่มการประลองได้!” ขันทีตะโกนอีกครั้ง
การประลองเริ่มดุเดือด แรงปะทะ เสียงโลหะกระทบ เสียงกู่ร้อง และท่วงท่าที่ชวนตะลึง แต่ครั้งนี้สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ กฎบางอย่างที่จินเซียงรับรู้ได้… ‘กฎที่ห้ามชนะเมีย’
จินเซียงพลาดจังหวะชั่วครู่ ถูกเผยอิงชกแล้วเตะซ้ำจนล้ม เสียงเงียบกดลงกลืนทุกความตื่นเต้น
“.......” ผู้ชมพากันยืนเงียบกริบ ‘นี่มันงานต้มล้มมวย’
‘จบแล้ว.’ เสนาบดีหยางส่ายหัวอย่างขมขื่น ‘หลานข้า สามีเจ้านี่มัน’
“ผู้ชนะคือ แม่ทัพหยาง คุณหนูใหญ่จินเซียง รับราชโองการ”
เสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนเป็นการจัดเตรียมล่วงหน้า ทั้งหมดไม่ได้แปลกใจนัก ฮ่องเต้ทราบดีว่าในสนามรบจริง ๆ กติกาและแผนอาจต่างออกไป การส่งจินเซียงไปออกรบ อาจเป็นทางเลือกดีกว่าการให้เค่อเต๋อร์คุมกองทัพทั้งหมด
“ข้าน้อย จินเซียง รับราชโองการ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“เนื่องจากรองแม่ทัพ เค่อเต๋อร์ ได้รับบาดเจ็บหนัก จึงไม่อาจออกรบได้ ทางราชสำนักแต่งตั้งคุณหนูใหญ่ ผู้มีวรยุทธล้ำเลิศแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพชั่วคราว ให้ไปรับศึกทางเหนือ ฯลฯ … ออกเดินทางในอีก 5 วัน” กงกงประกาศจบ ผู้สูงศักดิ์หลายคนสีหน้าไม่ดีนัก
ไม่นานข่าวการเปลี่ยนตัวแม่ทัพชั่วคราวถูกส่งไปถึงจวนตระกูลถัง เมื่อถามทหารว่าจะส่งใครไปแทนต่างก็สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิด
พอรถม้าจอดหน้าจวน จินเซียงถูกเรียกตัวทันที เธอก้าวไปที่ห้องโถงด้วยความสงบนิ่ง ไม่ได้สับสนมากนัก เพราะลึก ๆ รู้สึกว่ามันต้องมาถึงจุดนี้
“คุณหนูใหญ่ เชิญข้างในขอรับ” พ่อบ้านเรียกด้วยความเคารพที่มีให้เสมอ แม้จะมาได้ไม่ถึงเดือนแต่นางก็เป็นที่เคารพของเหล่าคนใช้ในจวน
“ขอบใจเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วเดินเข้า
“ขออภัยที่มาช้าเจ้าค่ะ”
“นั่งลงเถอะ เล่าให้ข้าฟังที ว่าเหตุใดเค่อเต๋อร์ถึงสภาพย่ำแย่จนออกรบไม่ได้?” ฮูหยินเฒ่าถามเสียงเข้ม
“คือว่า…ข้าต่อยเค้า แล้วจับโยนขึ้นฟ้า แล้วซัดลงมาเจ้าค่ะ ยังไม่ทันครบขั้นตอน เค้าก็หมดสภาพแล้ว” จินเซียงพูดตรง ๆ เหล่าองครักษ์ที่ฟังต่างอยากรู้ว่าเพราะอะไรคนตัวเล็กเช่นนี้ถึงกล้าและทำได้
ประตูเปิดออกอีกครั้ง ชายรูปร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามา เสียงเรียกชื่อดังทะลวงฝ่าความตึงเครียด
“สตรีตัวแค่นี้จะมีแรงแค่ไหนกันเชียว” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่กำยำเดินเข้ามาในห้องโถง
“ท่านพ่อ! คือว่า…” เอี้ยซ่งเรียกชายชรา
“เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่า ‘พ่อ’ อีกหรือ! เจ้ารับคนนอกด่านมาเป็นลูกบุญธรรมไม่ว่า ยังมาทำร้ายหลานข้าอีก! แบบนี้เจ้ายังจะเรียกตัวเองว่าพ่อได้หรือ!” ชายผู้นั้นตวาด ใบหน้าแดงไปด้วยโทสะ
“ท่านพี่เจ้าค่ะ”
“น้องหญิงอย่ามาห้ามพี่”
“ท่านพี่” เสียงเริ่มกดต่ำลงเลื่อย
“อย่ามาห้ามข้า ข้าจะสั่งสอนนาง”
“ท่าน… พี่…” ชายชราค่อย ๆ หันไปมองเจ้าของเสียงช้า ๆ
สถานการณ์ตึงขึ้น พ่อแม่เฒ่าและคนรอบข้างพากันยกมือห้าม แต่บุรุษหัวขาวผู้นี้หาได้ยอมหยุด จนเกิดการโต้เถียงกันขึ้น ถึงขั้นประกาศท้าทายความสามารถของจินเซียงทันที
“อะไร! นางทำหลานเจ้าน่ะ ดูซิเจ้าใหญ่เจ็บหนักขนาดนี้” ชายชราชี้ไปที่คนเจ็บที่นอนหมดสภาพอยู่บนเปล
“ท่านที่อยู่ค่ายนอกเมือง ก็เลยต้องรีบกลับมาเพื่อมาดูหลานชายเจ้าปัญหาใช่รึไม่” ฮูหยินเฒ่าถามเข้ม
“ใช่! เฮ้ย! ไม่ใช่! ข้ามาเพราะได้ข่าวเรื่องการเปลี่ยนตัวรองแม่ทัพเท่านั้น รวมถึงงานหมั้นของสองตระกูลเท่านั้นเอง” ชายชราเริ่มแก้ตัว
“แล้วท่าน อยากทดสอบนางไหมเจ้าค่ะ” ฮูหยินเฒ่าถ้ามด้วยเสียงเรียบทั้งยังยิ้มให้
“ดี! ถ้าเป็นรองแม่ทัพ ต้องได้ทั้งบู๊และบุ๋น ข้าจะทดสอบทั้งยิงธนู ดาบ ง้าว ทวน หมัด ยิงธนูบนหลังมา และหมากล้อม!” เขาประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บรรยากาศทั้งห้องเปลี่ยนเป็นตื่นตัว ทุกคนหันไปมองจินเซียงที่ยืนตรงกลาง องค์หญิงรองเอ่ยเรียกชื่อ และทุกสายตาต่างหันไปจ้องมอง
“องค์หญิงรอง!” เสียงรับคำดังขึ้นเป็นการปิดฉากก่อนการทดสอบใหม่จะเริ่มต้น
สายลมอุ่นพัดผ่านไปตามตรอกอาคารบ้านเรือนในย่านตลาดหลังท่าเรือ บนหลังคาอาคารรอบ ๆ เรือนหลังหนึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเฝ้าจับตามองอยู่เด็กสาวสองคนเดินฮัมเพลงเป็นจังหวะสบาย ๆ เข้ากับบรรยากาศอบอุ่นและกลิ่นของน้ำทะเล ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของเรือนหลังใหญ่ที่สุดในตรอกนี้ มีคนคุ้มกันสองคนยืนเฝ้าอยู่“เจ้าหนู ถ้าไม่มีอะไรอย่ามายืนขวางประตู!” ผู้คุ้มกันตะโกนใส่“ที่นี่คือเรือนของผู้ใดกัน ถึงมีคนคุ้มกันที่เป็นถึงจอมยุทธ์เช่นนี้” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย“พวกเจ้าดูไปก็ใช้ได้เลยนิ ถ้ายอม.... เล่นกับพวกข้าบางทีอาจยอมให้เข้า... ก็...”ผัวะ! ตุ้บ! พูดไม่ทันจบ... พวกมันก็ถูกตีจนสลบแล้วถูกมัดมือมัดเท้าก่อนจะโดนหิ้วตัวออกไปอย่างรวดเร็ว“เจอรึยัง” ไต้เจียงหันไปถามชายคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเงามืด“ขอรับ ที่คุกใต้ดินมีคนถูกจับไว้สิบห้าคน แล้วก็... อื้ม...”ไต้เฉียวหันมองหน้าคนพูดอย่างตั้งคำถาม “แล้วก็อะไร พูดมา”“ขอรับคุณหนูใหญ่... คือว่ามีทาสจำนวนมากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีกแห่งขอรับ”สองสาวพี่น้องมองหน้ากันด้วยสายตาเย็นชา เพราะกฎหมายเรื่องค้าทาสนั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ ที่ทรงส
สายลมอุ่น ๆ พัดโชยเข้ามาในหน้าต่างห้องทำงานชั้นบนสุดของหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าซ่ง เด็กสาวสองคนกำลังนั่งเล่นไพ่รับลมชมวิวเมือง ไต้เฉียวกับไต้เจียง สองพี่น้องผู้เป็นคุณหนูของหอการค้า ที่นับวันยิ่งมีความคล้ายกับผู้เป็นแม่ไต้เฉียวนั้นจะคล้ายกับจินเซียงมากที่สุด ไต้เจียงนั้นจะออกไปทางเผยอิงผู้เป็นมารดา สองคนนี้จะแตกต่างกันตรงสีผิวและดวงตาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่หาตัวยากมากที่สุด พวกนางขึ้นชื่อเรื่องการซ่อนตัวเป็นที่สุด ส่วนน้อยจะได้เห็นหน้าพวกนาง“ท่านแม่ไปไหนกัน” ไต้เจียงหันไปถามเลขาหน้าห้องของจินเซียง “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณหนู ท่านประธานออกไปแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”“ไปกับท่านแม่หรอ”“เจ้าค่ะ ฮูหยินไปด้วย”“พี่ใหญ่เอาไงต่อดี แม่ไม่อยู่”“ไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นไง เดี๋ยวต้องไปรับองค์หญิงน้อยอีก เบื่อพวกองค์ชายมาก” ไต้เฉียวบ่นอย่างเบื่อหน่าย ทุกวันนี้อีกฝ่ายมักหาเรื่องเข้าหาตลอด“คุณหนู อีกสองวันมีงานเลี้ยงตระกูลหวาง ของพระสนมหวางหลงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะเข้าร่วมไหมเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวมองหน้าคนพูดอย่างรู้เจตนา“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”“หลานเจ้าหรือคนในตระกูลให้เอามาให้พวกเรา”“ปะ..เป็นคุณ
เช้าวันต่อมา ทั้งสองสาวจีนพาเพื่อนชาวไทยผู้ที่ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนไปเดินชมหมู่บ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมไม่ได้ทำให้ความกระหายใคร่รู้ของมีมี่ลดลงเลยพวกเธอเข้าไปไหว้หอบรรพบุรุษตามคำแนะนำของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน บรรยากาศภายในเงียบสงัด มีมี่เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะกับภาพวาดเก่าแก่บนกำแพงภาพวาดนั้นคือเงาหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นซ้อนทับอยู่ในความฝันเมื่อคืน!“นั่นใครกัน?” มีมี่ถามเสียงแผ่ว“คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่า ภาพนี้คือภาพของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่งนู่นเลย”“เก่าเหมือนกันเนอะ ภาพยังคมชัดเหมือนพึ่งถ่ายเลย” มีมี่ยิ้มแห้ง ๆ มองดูรูปบนกำแพง เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของตัวเองในอดีต“พวกเราก็คิดเหมือนกัน มา ๆ ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ” สองสาวลากตัวมีมี่ขึ้นรถเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปีซึ่งถูกทิ้งร้างไว้กลางป่า นี่คือหมู่บ้านเริ่มแรกที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีมี่ที่เดินตามสาวจีนทั้งสองอยู่หลังสุดนั้น พยายามสลัดความคิดเรื่องภาพวาดออกไป เธอสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติแต่แล้ว... สายตาของ
อากาศร้อนระอุของเดือนเมษายนพัดปะทะหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในชานชาลารถไฟของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ความร้อนที่แผดเผาไม่ได้ช่วยลดความตื่นเต้นผสมความหวาดระแวงในอกของมีมี่เลยแม้แต่น้อย เสียงประกาศตามสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่อื้ออึงของคนที่มารอ เสียงประกาศไทยสลับกับเสียงอังกฤษ‘ผู้โดยสารที่จะไปกับขบวนนี้ขอให้เตรียมตัว รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาที่ 2 อีกสิบนาที’มีมี่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วสำรวจดูความเรียบร้อย เมื่อไม่ลืมอะไรก็เดินไปยืนรอตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่มองตั๋วแล้วยิ้มให้ก่อนจะให้พนักงานอีกคนช่วยขนของไปไว้ที่ห้องโดยสาร“เดินทางคนเดียวหรอค่ะ เห็นจองห้องนอนคู่ไว้ทั้งห้อง”“คะ เลยจองไว้ทั้งสองเตียง”“เดินทางไกลเลยน่ะค่ะ ลาวต่อจีนคงเหนื่อยน่าดู ถึงแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทาง” พนักงานพามาถึงหน้าห้องที่จองไว้ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินจากไปมีมี่รู้สึกแปลกใจกับคำถามของพนักงานคนนี้มาก รู้สึกว่าถูกจับจ้องจนเกินความจำเป็น แต่ก็ไม่ทันจะถาม อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้วกระเป๋าสองใบวางไว้ที่พื้น มีมี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่างมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ในห้องโดยสารส่วนตัวที่จองไว้ทั้งสองเตียงนั้
เสียงผู้คนเดินสัญจรไปมา สลับกับเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์จากอาคารใหญ่ในย่านสุขุมวิท หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดพนักงานออฟฟิศสวมแว่นกันแดด หน้าตาของเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าสาวสวยคนหนึ่งสำหรับออฟฟิศบริษัทใหญ่ที่เธอทำงาน“หัวหน้า! พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดี” เสียงพนักงานรุ่นน้องถาม ทว่าคนตรงหน้าก็หันกลับมา“สาว ๆ พวกเรามีงานด่วน บอสแจ้งว่าลูกค้าชาวจีนตกลงคุยงานที่โรงแรมเชอราตัน เดี๋ยวไปกินข้าวที่นู่นเลย”“หัวหน้า! คุณคงไม่หลอกพาพวกเราไปขายใช่ไหม” รุ่นน้องถามอย่างระแวง“กินไม่กิน!”“กิน ๆ !” สองสาวรีบเดินคล้องแขนรุ่นพี่คนสวยไปที่ลานจอดรถซูซูกิฮัตสเลอร์สีชมพูจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ตึกใหญ่ มีมี่จอดรถแล้วจัดเสื้อผ้า “พวกเราระ...” สองสาวกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่สาวนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว และกำลังเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเอกสารและปริ้นสัญญาที่จะใช้ในวันนี้ออกมา“พี่มีออฟฟิศในรถด้วยหรอค่ะ”“เผื่อไว้ พวกเธอเร็วหน่อยจะเที่ยงแล้ว” มีมี่พูดจบก็เอาเอกสารใส่แฟ้มแล้วปิดท้ายรถ “ป่ะ พี่เสร็จละ”พอถึงหน้าภัตตาคารก็แจ้งกับพนักงานว่าได้นัดไว้กับชาวจีน “ฉัน มีมี่ คนที่จะมาคุยเรื่องสัญญาวันนี้ค่ะ ทางนี้คือรุ่น
หลังจากที่จินเซียงไปถึงเมืองหลวงของเผ่ามองก้าร์แล้ว นางก็ตรงไปหาข่านสูงสุดของเผ่าเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำตัวคนผิดที่ถูกองค์ชายสี่จับมาส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้สงครามของทุกเผ่ายุติลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะชนเผ่าอื่นต่างเกรงกลัวในพลังอำนาจและอิทธิพลที่มองก้าร์มีต่อ “อันเตรีย” หรือ “จินเซียง”นางใช้เวลาในแถบทุ่งหญ้าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน จับจอมธนูผู้มีฝีมือและเป็นมือขวาของข่านแห่งมองก้าร์ มาสอนลูกสาวทั้งสองยิงธนูบนหลังม้าอย่างเข้มงวดจินเซียงมักตั้งกระโจมพักกลางทุ่งกับครอบครัว กินข้าวชมดาวเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตอันวุ่นวายของนาง แต่รอบ ๆ กระโจมกลับมีแต่คนของมองก้าร์มาคอยคุ้มกันห่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้“ท่านแม่~ เมื่อไหร่เราจะกลับอ่ะเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวงอแงเล็กน้อย“ช่าย~” ไต้เจียงเสริมทัพ ทั้งสองพี่น้องต่างเรียกร้อง แต่กลับนอนหนุนตักแม่สบาย“ไม่กี่วันก็กลับแล้ว แม่พาพวกเจ้ามาเที่ยวไง” จินเซียงลูบผมลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“น้องเจียงง่วงแย้ว” ไต้เจียงที่นอนหนุนตักเผยอิงอยู่เริ่มงอแง“รอดูดาวตกก่อนสิคนดี... เขาว่าถ้าอธิษฐานอะไรก็จะสมปรารถนา” จินเซ






