ที่ห้องอาหาร
คนในตระกูลต่างทยอยกันมาร่วมโต๊ะจนครบทุกคนเหลือแต่เพียงบุตรีทั้งสามที่ยังมาไม่ถึง ทุกคนต่างพูดคุยกันปกติ แต่ที่เอี้ยซ่งห่วงสุดคือบุตรชายคนโตที่ดูจะไม่ค่อยพอใจเรื่องงานหมั้นเท่าไหร่ และดีไม่ดีอาจถึงขั้นตั้งตนเป็นศัตรูกับบุตรีคนใหม่เลยก็ว่าได้แล้วรางสังหรณ์ก็ไม่เคยพลาด
‘เดาไว้ไม่ผิด’ เมื่อมองตามสายตาของผู้เป็นบุตรไปก็พบว่าลูกสาวทั้งสามได้มาถึงแล้ว เพียงแค่การแต่งตัวและท่าทีสนิทสนมก็พาให้หลายคนแทบคลั่ง
“ท่านพอ คนเถื่อนเช่นรึขอรับที่ท่านรับเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรม”
‘กูว่าล่ะ ปากมันแบบนี้เลยเป็นได้แค่รองแม่ทัพ’ เอี้ยซ่งสายหัวให้กับบุตรชายแม้แต่ฮูหยินเฒ่าก็ยังกรอกตาไปมา ถ้ายืนเทียบกันเค่อเต้อร์ตัวสูงไม่ถึงบ่าด้วยซ้ำ เรียกว่าตัวแค่ลูกหมาก็ยังจะดูน่ารักเกินไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า ทุกท่าน เราทั้งสามมาช้าโปรดให้อภัย” จินเซียงกล่าวขอโทษและตามด้วยสองสาว
“มาเถอะมานั่งทานข้าวก่อน ยังมีงานอีกมากมายต้องทำ” หลอหลันเรียกทั้งสามคนให้มานั่งใกล้กัน
“เจ้าค่ะ” มื้อเช้าดำเนินไปโดยที่มีคนนั่งค้างเพราะโดนเมิน
หลังจบมื้อเช้าจินเซียงและเผยอิงก็พากันเดินไปที่คอกม้า เพื่อจะได้รีบส่งเผยอิงที่วังเพราะนัดกับนายช่างไว้ตอนเที่ยง ตอนนี้นางอยากขี้ม้าไปดูวังมากที่สุด การได้มาเห็นของจริงเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก แต่ทว่าปัญหากลับมาลงที่ม้าเพราะม้าของนางนั้นเป็นม้าตัวใหญ่สายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก
“อ่าวเกิดอะไรขึ้นกัน” จินเซียงถามคนที่มายืนกันอยู่หน้าคอกม้า
“ม้าตัวนี้เป็นม้าพันธุ์ดี ท่านรองแม่ทัพต้องการใช้มัน” ทหารคนสนิทพูด
“โทษทีน่ะ ม้าของข้าใครอย่าแตะ” จินเซียงเดินเข้าไปหาม้าของตนแล้วลูบขนมันก่อนจะเอาอุปกรณ์ใส่ให้ม้าโดยไม่สนใจคนอื่นๆ
“คุณหนู ให้ม้าท่านรองแม่ทัพยืมเถอะขอรับ แค่เข้าวังเอง” พ่อบ้านพยายามช่วยพูด
“ขอโทษด้วย มันเดินทางมาไกลหลายหมื่นลี้พร้อมข้า ผ่านอะไรหลายต่อหลายอย่างมาด้วยกัน ข้าคงให้ไปไม่ได้หรอก ข้าว่าถ้าท่านเป็นทหารม้าคงจะเข้าใจว่าม้านั้นไม่ใช่แค่สัตว์ไว้ขี่” พูดจบก็เหวี่ยงตัวขึ้นม้าแล้วควบฝ่าผู้คนออกไปหาเผยอิงที่ยืนรออยู่
“เฮ้ย!” คนในบริเวณคอกม้าต่างพากันวิ่งหลบม้า
เมื่อโดนขวางทางออก ทางเลือกสุดท้ายคือวิ่งเข้าไปในจวน บ่าวชายหญิงต่างพากันหลบให้วุ่นโดยมีทหารของรองแม่ทัพวิ่งตาม
“แค่ม้าตัวเดียวทำเป็นหวง เอาธนูมา!” ด้วยอคติและอารมณ์ที่อยู่เหนือทุกอย่างทำให้เค่อเต๋อร์ง้างธนูเล็งไปที่จินเซียง
ฟึบ!
ลูกธนูพุ่งตรงไปที่คอม้า แต่ในจังหวะนั้นเองมันก็ถูกคว้าไว้แล้วยิงสวนกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วคว้าเอาตัวเผยอิงขึ้นม้าและฝ่าออกไปนอกจวน ท่ามกลางบ่าวและทหารยามที่พากันวิ่งหลบ
“ท่านรองแม่ทัพ!”
“คุณชาย!” ทุกคนต่างวิ่งมาดูเค่อเต๋อร์ที่ถูกลูกธนูยิงเฉือนเข้าที่ใบหู
“ข้าไม่เป็นอะไร รีบเข้าวังเถอะเสียเวลามากพอแล้ว” เค่อเต๋อร์เดินไปที่ม้าของตนด้วยความโมโห
“แยกย้ายกันได้แล้ว! มายืนมองอะไรงานการไม่ทำไง ไป!” เมื่อเห็นท่าไม่ดีทุกคนจึงรีบแยกย้าย
พ่อบ้านได้รายงานให้เอี้ยซ่งฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เอี้ยซ่งเองก็จนปัญญาเพราะลูกคนนี้เรียนจบก็ไปอยู่กับปู่ที่ค่ายทหาร และไม่ค่อยได้กลับมาบ้านถึงแม้จะรู้มาบ้างว่าบุตรชายของตนก่อเรื่องอะไรไว้บ้างแต่ก็ไม่อาจทำอะไรมากได้
“เฮ้อ~ ท่านพ่อน่ะท่านพ่อ สั่งสอนลูกข้ายังไงกันถึงได้ออกมาเป็นคนไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ถึงแม้จะมีผลงานดีก็เถอะแต่แบบนี้จะนำเอาปัญหามาสู่ตระกูลเข้าซักวัน” หลอหลันกับสองฮูหยินก็เดินมาได้ยินพอดี พ่อบ้านเลยเล่าให้ฟังอีกรอบ
“เฮ้อ~ ให้ตายเถอะ ต่อให้โง่แค่ไหนก็ควรมีขอบเขตบ้างน่ะ แค่เห็นม้าก็ควรรู้แล้วว่าม้าตัวนั้นมันไม่ใช่ม้าที่คนทั่วไปจะมีใช้และราคามันไม่ใช่ถูกๆ ลูกใครกัน”
“น้องสาม” หลอนหลันหันมองฮวาเจียว
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
“ลูกของพี่เองและก็ลูกของพวกเจ้าด้วย” ทั้งสองคนเงียบทันที
“ว่าแต่ท่านพี่แล้วแบบนี้จะไม่เป็นอะไรรึเจ้าค่ะ เพราะท่านแม่เองก็ชอบนางมากด้วย ขนาดฟางฟางเองยังโดนเมิน”
“พี่เองก็จะปัญญา”
ทางด้านจินเซียงเองก็กำลังไปได้ดีเพราะนางไม่ใช่พวกเก็บมาคิดให้รกสมอง ครั้งแรกที่เผยอิงเห็นม้าก็มีอาการตกใจแต่ก็ไม่ถามอะไรเพราะรู้ดีว่าคนรักของตนเป็นใครมาจากไหน นางขี่ม้ามาส่งเผยถึงหน้าวังแล้วก็กลับ ขากลับนางแวะซื้อของที่ตลาดเพื่อกลับไปสอนฟางฟางกับพวกแม่ครัวทำขนม
เมื่อมาถึงจวนนางก็เอาม้าไปเก็บไว้ที่สวนของเรือนแทนที่จะเอาไว้ที่คอกม้าของจวน แล้วเดินไปหานายช่างที่มารออยู่ด้านนอกของลานหน้าเรือน
“สวัสดีเจ้าค่ะนายช่าง”
“สวัสดีขอรับคุณหนู”
“นี่คือแบบที่ข้าจะให้ท่านทำ” นายช่างและลูกน้องต่างพากันก้มมองแบบแปลนที่วางอยู่บนโต๊ะหิน
“นี่คุณหนูเขียนเองรึขอรับ” นายช่างถามอย่างรวดเร็วเมื่อฟังอธิบายจบ
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าเขียนเองแล้วก็ยังมีแบบของร้านที่พวกท่านต้องไปปรับปรุงด้วยน่ะเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านแม่แจ้งพวกท่านรึยัง”
“ฮูหยินบอกพวกเราแล้วขอรับ”
“อืม มาเถอะข้าพาไปดูหน้างาน ฟางฟาง! อี้หลัน อิงอิง พวกเจ้าออกมาเถอะ อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นน่ะ” ทั้งสามก็พากันออกมาจากมุมประตู
“ท่านพี่เจ้าค่ะ พวกเราแค่อยากมาดูเท่านั้นเอง” ฟางฟางรีบเข้ามาเกาะแขนเพราะเห็นแล้วว่าถ้าลำบากจะพึ่งใครได้
“ได้ๆ มาเถอะอย่างน้อยก็เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย”
“ท่านใจดีที่สุดไม่เหมือนใครแถวนี้”
“พอเลย” จินเซียงรีบห้ามทัพและเดินนำทุกคนไปที่จุดที่นางคิดว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับทำงาน
“คุณหนูใหญ่ท่านแน่ใจแล้วรึขอรับ”
“อืม ตรงนี้คือจุดที่ดีที่สุด และขอให้ท่านจำไว้ว่าอย่าได้เอาเรื่องแบบที่ข้าเขียนไปพูดหรือให้ใครดูเด็ดขาด” เพราะมันคือคนล่ะแบบกับที่เอาออกไปให้ทุกคนดู
“ขอรับคุณหนูใหญ่ พวกเราจะทำออกมาให้ดีที่สุดเลยขอรับ” นายช่างรับคำอย่างหนักแน่น บางอย่างมันบอกเค้าว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรถ้าเค้ายังรักชีวิตของตัวเองและครอบครัว
เมื่อคุยเสร็จแล้วทั้งหมดก็พากันไปที่โรงเตี๊ยมเก่า แบบแปลนถูกอธิบายทีละจุด ทีละจุด โดยละเอียดจนผู้ช่วยต้องถ้ามซ้ำหลายรอบเพื่อกันผิดพลาด
“คุณหนู!” ระหว่างที่คุยกันอยู่ก็มีเสียงตะโกนมาจากชั้นล่าง
“อ่าวพ่อบ้าน มีอะไรเจ้าค่ะ” อี้หลันตะโกนถาม
“คุณหนูขอรับ ฮองเฮาต้องการพบขอรับ ด่วนเลย”
“พบข้าหรอ หรือว่าพระองค์ทรงว่างไม่มีอะไรทำ” จินเซียงกันไปถามอี้หลัน
“โถ่วคุณหนูใหญ่อย่าทำเป็นเล่นไปน่ะขอรับ ฮองเฮาเป็นพี่สาวของฮูหยินหลอหลันน่ะขอรับ” จิบเซียงกระพริบตาถี่ “เอาจริงดิ” สามสาวพยักหน้าพร้อมกัน พกวนายช่างก็ด้วย
“พี่จะไปส่งพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยไป” แม้หลายคนจะคัดค้านแต่นางไม่ฟัง การไปส่งทั้งสามถึงจวนด้วยตัวเองถือว่าดีที่สุด
หลังจากส่งคนเสร็จแล้วก็เดินไปขึ้นรถม้าที่ถูกส่งมารับนางโดยเฉพาะ ที่นั่งตรงข้ามยังมีชายคนหนึ่งนั่งจ้องมองนางอยู่อย่างไม่วางตา
“ท่านเอามั้ย ข้าเห็นท่านมองซักพักแล้ว”
“ดี ดีที่เจ้ายังมีสัมมาคารวะรู้จักเคารพผู้ใหญ่”
“นี่เจ้าค่ะ ข้าทำเองกับมือเลยน่ะ มันช่วยได้เยอะเวลานั่งรถม้าที่น่าเวียนหัวแบบนี้ มีหลายกลิ่นให้เลือก ทุกกลิ่นมีเอกลักษณ์ของตัวเอง เด็กและสตรีมีครรภ์สามารถใช้ได้ไม่มีปัญหา” จินเซียงยื่นกล่องใบเล็กให้คนตรงหน้า
“คุณหนูใหญ่เกรงใจท่านแล้ว” ท่าทีเปลี่ยนไปราวกับคนล่ะคน
“ข้าขอถามท่านได้รึไม่ว่าฮองเฮามีเรื่องอะไรถึงเรียกข้าเป็นการด่วนเช่นนี้”
“ขยับมาใกล้หน่อยข้าพูดดังไม่ได้” นางพยักหน้าแล้วไปนั่งข้างชายตรงหน้าา
'พระนางบอกว่าในเมื่อท่านคือลูกบุญธรรมของน้องสาว ไหนเลยจะไม่มาพบผู้เป็นอา'
'บอกตามตรงน่ะเจ้าค่ะ'
'ว่ามาเถอะ'
'ข้าพึ่งรู้ตอนที่พ่อบ้านบอกเจ้าค่ะ' ขันทีชรามองนางด้วยความตกใจ
'ท่านล้อข้าเล่นแล้ว'
'จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ'
ชายตรงหน้าทำหน้าไม่ถูก เมื่อรถจอดเทียบแล้วทั้งสองก็เดินตรงไปที่ตำหนักของฝ่ายในทันที ระหว่างทางก็ผ่านท้องพระโรงและเสียงด้านในก็ฟังดูเครียดมาก แม้อยากรู้แค่ไหนแต่การไปฟังแอบก็เหมือนจะดูเป็นอะไรที่ไม่ดี
“เชิญด้านในขอรับคุณหนูใหญ่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วเดินตามนางกำนัลเข้าไปด้านใน
“เจ้ามาแล้วรึ นั่งก่อนไม่ต้องมากพิธี” จินเซียงมองคนพูดที่ไบ่นางไปนั่ง
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
“ได้ยินว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนที่นี่อย่างนั้นรึ”
“เพค่ะ”
“แล้วเจ้ามาที่แผ่นดินจงหยวนได้อย่างไร”
“กระหม่อมเดินทางมาพร้อมกองคาราวานเพค่ะ ในฐานะทหารรับจ้างเดินทางผ่านหลายประเทศ หลายเมือง เลยได้มีโอกาสเข้าร่วมในการรบหลายครั้งเพค่ะ”
“แปลก เหตุใดสตรีเช่นเจ้าถึงได้ดั้นด้นเดินทางข้ามแผ่นดินมาไกลเช่นนี้”
“ที่นั่นกระหม่อมเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เสียครอบครัวให้กับสงครามเพค่ะ และคิดว่าควรออกเดินทางออกจากสิ่งเดิม จนมาหยุดที่หมู่บ้านกลางหุบเขาอันเงียบสงบจนกระทั้งหลานสาวพระองค์โผล่ไป”
“แล้วไปเจอหลานของเราได้อย่างไร”
“ทูลฮองเฮา ตอนนั้นกระหม่อมนั่งตกปลาอยู่แต่เพราะเห็นเลือดลอยมาตามน้ำจึงรีบเดินไปดูและพบว่ามีสตรีสองคนที่รอดเพค่ะ จึงเข้าทำการช่วยเหลือ” ฮองเฮาหันมองคนสนิทและเค้าก็พยักหน้า
“เจ้ารู้รึไม่ว่าการที่มีข่าวออกมาว่าแม่ทัพหยางเจ้าพิธีกับคนของตระกูลถังนั้น มันทำให้ทุกคนพากันคิดไปว่าคนที่หมั้นด้วยคือเค่อเต๋อร์หลานชายของเรา”
“พระองค์ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะเพค่ะ กับคนที่แม้แต่จะให้ความสำคัญกับอะไรซักอย่างยังทำไม่ได้ แต่อยากได้ของคนอื่นแบบเค้า” จินเซียงเริ่มรู้ตัว ว่าที่เรียกมาด้วยเรื่องอันใด
“มันเป็นเรื่องของประเทศชาติ เจ้าไม่ควรเอาอารมณ์มาตัดสินใจ ถ้าสองคนนั้นแต่งกันก็จะยิ่งทำให้ตระกูลแข็งแกร่งขึ้น”
“แต่ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติมั่นคง กันคนที่คิดแย่งชิงของคนอื่นและดูถูกเหยียดหยามชนชาติอื่น รวมทั้งตัดสินพวกเค้าอย่างโหดร้าย ก็ไม่ต่างอะไรกับที่พวกคนอื่นกระทำต่อคนในจงหยวน”
“บังอาจว่าข้ารึ! ทหาร! เอานางไปขัง!” พวกข้ารับใช้พากันมองหน้าเลิ่กลั่ก จากข่าวที่สืบมานั้นเกรงว่าต่อให้ขนทหารมาทั้งวังก็เอาไม่อยู่
“ถ้าแค่นี้พระองค์ยังยอมรับไม่ได้ กระหม่อนก็หมดคำจะพูดแล้วและขอเตือนว่าอย่ามาเตะตัวไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าไม่เตือน” จินเซียงปลดปล่อยไอสังหารเข้มข้นออกมาจนทหารต่างพากันอึดอัดและล้มลง
'แย่แล้ว! กลุ่มคนที่จะมีไอสังหารแบบนี้ได้มีเพียงกลุ่มเดียว'
องครักษ์เงาต่างมองหน้ากัน และตอนนั้นเองก็มีใครบางคนเดินเข้ามา
“พี่สาวใจเย็นก่อน ข้าว่าเรามาคุยกันดีก่อนเถอะ แม่ข้าแค่อยากทดสอบท่าน จริงไหมเพค่ะ” จินเซียงหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาในตำหนัก
'ศิษย์ของยาซีหรอ โตขึ้นเยอะเลย' จินเซียงเก็บสายตาแล้วยิ้มให้
“ใช่ ใช่ ใช่ ระ เราแค่กลัวมาเจ้าจะเป็นสายของพวกนอกด่าน ทุกคนออกไปก่อน” ฮองเฮารีบตามน้ำเมื่อลูกสาวยิ้มให้
“ไม่เจอกันนานน่ะเจ้าค่ะ ท่านอันเตรียย่าร์ท่านสบายดีไหมเจ้า ตอนที่อาจารย์ส่งข่าวมาว่าท่านกำลังมาที่นี่ข้าก็ให้คนไปดักรอท่านที่ชายแดน แต่กลับไม่มีข่าวของท่านเลย ใครจะไปคิดว่าจะโผล่มาแบบนี้” หญิงสาวส่งกระดาษข้อความที่อาจารย์ของตนส่งมาให้เมื่อหลายปีก่อนให้กับจินเซียง
“กลัวนักล่าจะไม่รู้ใช่ไหม จุดพักนกตั้งกี่จุด” จินเซียงถาม
“รู้แค่คนของกลุ่มเจ้าค่ะ คนอื่นไม่รู้และข้าเพียงคนเดียวที่รู้ว่าท่านเป็นใคร” หญิงสาวยิ้มแต่จินเซียงรู้สึกไม่ชอบเลย ลูกศิษย์คนนี้เป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาก
“ไม่คิดว่าเด็กชายในตอนนั้นที่พวกเราพบบนเรือค้าทาสในวันนั้นจะเป็นองค์หญิงที่เกือบสง่างามแบบนี้” จินเซียงนึกถึงครั้งที่นางต้องพาสมาชิกระดับสูงไปทำภารกิจลอบสังหารชายคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของเรือค้าทาสผิดกฎหมายรวมถึงให้การสนับสนุนผ่ายกบฏ
“12 ปีแล้วซิน่ะเจ้าค่ะ” ฮองเฮาทำหน้าเหวอเพราะไม่คิดว่าคนที่ช่วยชีวิตบุตรสาวไว้คือคนตรงหน้า
“ลูกหญิงแม่ถามได้รึไม่ว่าตอนนั้นนางอายุเท่าไหร่” ฮองเฮาหันไปถามลูก
“12 เพค่ะ เสด็จแม่ แต่อาจารย์ขอลูกจะ 20 แล้วเพค่ะ”
“12! เจ้าอายุเท่าไหร่ตอนนี้” ฮองเฮารีบถามและพอดีกับจังหวะที่ฮ่องเต้เข้ามาในตำหนักพอดี
“25 เพค่ะ แก่กว่าหลานชายท่าน 5 ปี” คนฟังก็ตกใจเพราะนางหน้าเด็กเกินไปยกเว้นเนินเขานั่น
“เอาเป็นว่าเราจะไม่คัดค้านเรื่องของเจ้ากับเจ้าหยาง แต่ว่า” ทั้งสามหันมองต้นเสียง แล้วรีบลุกขึ้นแต่ถูกห้ามไว้ก่อน “เจ้าต้องช่วยต้าซ่งและห้ามทรยศ”
“ฝ่าบาท” ทั้งห้องหันมาคำนับชายในชุดมังกร
“ตามสบายเถอะ เราแต่มาพักเดี๋ยวก็จะกลับไปประชุมต่อแล้ว เฮ้อ น่าเบื่อจริง พึ่งจะสงบไม่กี่ปีตอนนี้พวกนั้นก็เริ่มส่งคนมาก่อกวนแล้วแล้วไหนจะพวกที่หวังแต่ผลประโยชน์อีก” ฮ่องเต้บ่นออกมาอย่าเบื่อหน่าย “ชาวบ้านเดือดร้อนกันอย่างหนักตอนนี้ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร”
“เสด็จพ่อก็สนับสนุนให้พี่สาวแต่งงานกับแม่ทัพหยางซิเจ้าค่ะ เมื่อท่านพูดสนับสนุนก็ไม่มีใครกล้าขัด”
“เจ้ารอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะรัชทายาทก็อยากขอสมรสพระราชทานเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตนและไหนจะกลุ่มของตระกูลเยี่ยอีก” ฮ่องเต้ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในเมื่อคนตรงหน้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มใน อาจเป็นตัวหมากที่พระองค์กำลังมองหา
“เยี่ยเฟยรึเพค่ะท่านพี่”
“อืม แต่มีสองตระกูลพูดสนับสนุนการแต่ง”
“ลิ่งกุ้ยเฟยกับหยางกุ้ยเฟย” ฮองเฮาพูดชื่อที่เป็นไปได้มากที่สุด
“ใช่แล้ว ทั้งสองตระกูลต่างเห็นด้วย จริงซิเราขอทดสอบฝีมือเจ้าได้รึไม่” ฮ่องเต้หันไปถามจินเซียง
“ได้เพค่ะ” เพียงเท่านั้นทุกคนก็พากันไปที่ลานหน้าตำหนักของฮองเฮา
หัวหน้าองครักษ์ถูกเรียกตัวมาที่ลานหน้าตำหนักเพื่อทดสอบ แต่เพราะเป็นช่วงพักพอดีและมีหลายคนอยากรู้ ทำให้ถูกย้ายไปที่ลานฝึกขององครักษ์แทน ขุนนางฝ่ายทหารและแม่ทัพหลายคนที่รู้เรื่องก็พากันมารออยู่ที่ลานฝึกรวมถึงคนตระกูลหยางด้วยเช่นกัน
“ข้าได้ข่าวว่าคนรักของเจ้าถูกเรียกเข้าวังและตอนนี้อยู่ที่ลานฝึก เจ้าจะไปดูด้วยกันไหม” ชายชราร่างกายกำยำถามเผยอิง
“ท่านปู่อยากรู้รึเจ้าค่ะ”
“แน่นอน ปู่อยากรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร มีฝีมือมากน้อยเพียงใด เพียงพอที่จะเคียงคู่กับเจ้าได้รึไม่”
“เช่นนั้นรีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวไม่ทัน หลานเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านางเก่งเพียงใด”
ทั้งคู่รีบเดินตามทุกคนไปทันที รวมถึงแม่ทัพคนอื่นด้วย ที่ลานฝึกตอนนี้มีคนมายืนรอดูมากมายเพราะทุกคนก็อยากเห็นหน้าตาของคนที่ได้หมั้นหมายกับตระกูลขุนศึก แม่ทัพหยางที่เป็นสตรีที่มีฝีมือเป็นรองเพียงปู่ของนาง เทียบเท่าหรืออาจมากกว่าผู้เป็นพ่อและบรรดาพี่ชาย
“เริ่มสู้ได้” ทันทีที่ขันทีประกาศ ทุกคนต่างพากันจับจ้องการต่อสู้ไม่วางตา
หัวหน้าองครักษ์เปิดเกมส์โดยการพุ่งดาบเข้าหาจินเซียงที่ยืนอยู่เพื่อหวังใช้โอกาสนี้ในการโจมตีไม่ให้หญิงสาวตั้งตัว วงดาบกระบวนท่าลับถูกฟาดเข้าที่คอของจินเซียง
“ย้ากกก ฟับ!” ทุกคนต่างพากันยิ้มเมื่อเห็นดาบฟันเข้าที่คอหญิงสาว
'ฮึ เป็นการกระทำที่โง่ อัศวินกว่าร้อยคนยังเอานางไม่ลง' องค์หญิงรองส่ายหัวให้กับคนที่กำลังสบประหมาดรุ่นพี่ของนาง
“นี่มันไม่ถูกต้อง! นางหายไปไหน!” หัวหน้าองครักษ์ตั้งสติ มองไปรอบลานฝึก ตอนนี้เค้ารู้ตัวแล้วว่าตรงหน้าเป็นแค่เงาเมื่ออีกฝ่ายโผล่มาที่ด้านหลังพร้อมดาบ เหงื่อเย็นหยดลงบนใบดาบเงินมันวาวดูอันตราย
“ชู่~ ท่านช้าเกินไป” ดาบโค้งเล่มงามพาดอยู่ที่คอของหัวหน้าองครักษ์
“ได้ไงกัน เจ้าทำอะไร” หัวหน้าองครักษ์ปล่อยดาบลงพื้นเพราะเค้าแพ้แล้ว
“จบการประลอง!” ขันทีประกาศเสียงดัง จินเซียงขอบคุณหัวหน้าองครักษ์อย่างมีมารยาทแต่ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางผู้คน
“ช้าก่อน! ข้าข้อท้าสู้กับนาง” ทุกคนหันไปมองตามเสียง
กงกงคู่พระทัยหันไปมองฮ่องเต้เมื่อขันทีรับใช้หันมอง “ฝ่าบาท” ฮ่องเต้พยักหน้าให้เป็นการอนุญาต
“เชิญท่านรองแม่ทัพ”
“ถ้าแพ้ เจ้าต้องออกจากตระกูลข้า”
“เจ้าแน่ใจรึ แล้วถ้าข้าชนะล่ะ”
“ชนะให้ได้ก่อนเถอะ!”
“ปากดีแบบนี้ระวังไม่มีฟันไว้กินข้าวน่ะน้องชาย” จินเซียงยิ้มและยักคิ้วให้ แล้วเดินเอาดาบไปฝากไว้กับองค์หญิงรองที่นางลืมถามชื่อ เพราะตอนอยู่ที่กลุ่มเรียกกันแค่หนุ่มน้อยเท่านั้น
“เริ่มการประรองได้!”
“ตาย!” เค่อเต๋อร์พุ่งตัวเข้าหาด้วยความเร็ว
“กัดฟันไว้แน่ๆ น่ะไอน้องชาย!” จินเซียงวิ่งด้วยความเร็วก่อนจะหายไปกลางอากาศพร้อมกับร่างของเค่อเต๋อร์ที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ แล้วตกลงมากระแทกพื้นศิลาจนแตก
ฟึม! ฝุ่นกระจาย
ภาพสุดท้ายคือร่างของแม่ทัพหนุ่มที่ลอยอยู่กลางอากาศและหญิงสาวที่กระโดดตามขึ้นไปแล้วตีลังกาเตะลงมากระแทกพื้นอย่างแรง
“ผะ ผู้ชนะคือคุณหนูใหญ่จินเซียง” เมื่อรู้ว่าใครชนะทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบ แล้วหันไปมองฮ่องเต้ที่กำลังนั่งยิ้มอย่างพอใจ
“เอ่อ~ เสด็จพี่แล้วแบบนี้ใครจะเป็นรองแม่ทัพล่ะเพค่ะ” ฮ่องเต้ยิ้มค้างเมื่อได้ยินคำถาม แล้วชี้ไปที่ตัวต้นเหตุ
“นางไง” ทุกคนหันกลับมามองจินเซียงที่ยืนเหวออยู่กลางลานฝึก “ให้นางสู้กับแม่ทัพหยาง ถ้านางชนะก็ไม่ต้องไปถ้านางแพ้ นางก็ต้องไป” ทุกคนพากันหน้าซีด หันไปมองแม่ทัพหยางที่ไม่ได้หมายถึงแม่ทัพผู้เฒ่า
เผยอิงเดินยิ้มขึ้นมาบนลานประลอง ก่อนจะเริ่มการประลองนางเดินไปกระซิบอะไรบางอย่างกับจินเซียงก่อนจะตบบ่าเล็กน้อย เพียงคำพูดไม่กี่คำเท่านั้นก็ทำให้จินเซียงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองหน้าคนรักแล้วกะพริบตาหลายครั้งเผื่อเป็นภาพติดตา
“เริ่มการประลองได้”
ทั้งคู่พุ่งเข้าหากันทันที จินเซียงตกเป็นฝ่ายรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะมีฝีมือดีกว่าแต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่นางรับรู้นั่นก็คือกฎบางอย่าง กฎที่ห้ามชนะเมีย
“ตุบ แอ๊ค!” นางแค่คิดเพลินเลยโดนเผยอิงซัดฝ่ามือใส่จนล้มและเตะซ้ำ
“.......” ทุกคนต่างพากันเงียบ
'จบแล้ว แบบนี้ซิน่ะทำให้ขงจื้อบอกว่าสตรีควรเชื่อฟังและทำตามประเพณีอันดีงาม' เสนาบดีหยางส่ายหัวให้หลานเขย
“ผะ ผู้ชนะคือแม่ทัพหยาง คุณหนูใหญ่จินเซียงรับราชโองการ” เหมือนมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ฮ่องเต้รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะชนะ และก็เข้ากับแผนของพระองค์พอดี การส่งจินเซียงไปรบอาจดีกว่าปล่อยให้ลูกชายของตนไปคุมกองทัพทั้งหมด ต้องมีใครบางคนมีรู้ว่าต้องทำยังไงเมื่อเข้าสู่สนามรบ
“ข้าน้อยจินเซียงรับราชโองการ”
“เนื่องจากรองแม่ทัพเค่อเต๋อร์ได้รับบาดเจ็บหนักจึงไม่สามารถออกรบได้ จึงของแต่ตั้งคุณหนูใหญ่ผู้มีวรยุทธแกร่งกล้าขึ้นเป็นรองแม่ทัพในการรับศึกกับพวกซีเซีย และจน ขอให้เดินทางในอีก 5 วันข้างหน้าจบราชโองการ” กงกงคู่พระทัยประกาศจบขุนนางหลายคนก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
ไม่นานก็มีข่าวส่งมาถึงจวนตระกูลถังเรื่องการเปลี่ยนตัวแม่ทัพชั่วคราวเพราะเค่อเต๋อร์ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถออกรบได้ พอถามทหารว่าใครจะไปแทนก็พากันงงว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น
ทันทีที่รถม้ามาจอดหน้าจวน จินเซียงก็ถูกตามตัวทันที นางเองก็เดินไปที่ห้องโถงอย่างงงแต่ก็ไม่งงมากเพราะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไร
“คุณหนูใหญ่เชิญด้านในขอรับ” แม้จะมาได้ไม่ถึงเดือนแต่นางก็เป็นที่เคารพของเหล่าคนใช้ในจวนทำให้พ่อบ้านพูดดีกับนางและไม่เคยตั้งแง่
“ขอบใจมากเจ้าค่ะพ่อบ้าน” นางยิ้มแล้วเดินเข้าไป
“ขออภัยที่มาช้าเจ้าค่ะ”
“นั่งลงเถอะ เจ้าช่วยบอกได้รึไม่ว่าทำไม่เค่อเต๋อร์ถึงมีสภาพย่ำแย่จนออกรบไม่ได้” ฮูหยินเฒ่าถาม
“คือว่าข้าเพียงแค่ต่อยเค้าเจ้าค่ะ แล้วจับโยนขึ้นฟ้าแล้วซัดลงมาเจ้าค่ะ ยังไม่ทันครบกระบวนท่าเค้าก็หมดสภาพแล้วเจ้าค่ะ” เหล่าองครักษ์ของจวนที่ได้ฟังเริ่มอยากรู้แล้วว่าคนตรงหน้าเก่งขนาดไหน
“สตรีตัวแค่นี้จะมีแรงแค่ไหนกันเชียว” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่กำยำเดินเข้ามาในห้องโถง
“ท่านพ่อคือว่า” เอี้ยซ่งเรียกชายชราผู้มาใหม่
“เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่าพ่ออีก! เจ้ารับคนนอกด่านมาเป็นลูกบุญธรรมไม่ว่า ยังมาทำร้ายหลายชายข้าอีกแล้วแบบนี้เจ้ายังเห็นเป็นพ่ออยู่มั้ยห่ะ!” ชายชราตะโกน
“ท่านพี่เจ้าค่ะ”
“น้องหญิงอย่ามาห้ามพี่”
“ท่านพี่” เสียงเริ่มกดต่ำลงเลื่อย
“อย่ามาห้ามข้า ข้าจะสั่งสอนนาง”
“ท่าน~ พี่~” ชายชราค่อยๆ หันไปมองเจ้าของเสียงข้าง
“อะไร นางทำร้ายหลานเจ้าน่ะ ดูซิเจ้าใหญ่เจ็บหนักขนาดนี้” ชายชราชี้ไปที่คนเจ็บที่นอนหมดสภาพอยู่บนเปล
“ท่านที่อยู่ค่ายนอกเมืองเลยต้องรีบกลับมาเพื่อมาดูหลานชายเจ้าปัญหาว่างั้น” ฮูหยินเฒ่าถามเข้ม
“ใช่! เฮ้ย! ไม่ใช่ ข้ามาเพราะได้ข่าวเรื่องเปลี่ยนตัวรองแม่ทัพและงานหมั้นของสองตระกูล”
“แล้วอยากทดสอบนางไหมล่ะเจ้าค่ะท่านพี่” ฮูหยินเฒ่ากับสามีด้วยเสียงเรียบทั้งยังยิ้มให้
“ดี ถ้าเป็นรองแม่ทัพต้องได้ทั้งบู๊และบุ๋น ข้าจะเริ่มจากยิงธนู ดาบ ง้าว ทวน หมัด ยิงธนูบนหลังมาและหมากล้อม” ชายชราพูดอย่างมั่นใจ
“ดี! เช่นนั้นเราของเป็นกรรมเอง” ทั้งหมดหันมองไปที่ต้นเสียงของผู้มาใหม่
“องค์หญิงรอง!”
จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่
หลายวันต่อมาจินเซียงเข้าวังพร้อมโจวกุ้ยเฟยและตรงไปที่ตำหนักใหญ่ของฮองเฮาเพื่อส่งอาหารตามที่พระองค์เคยขอ “ถวายบังคมฝ่าบาท” “ตามสบายเถอะหลานข้า ว่าแต่ลมอะไรหอบเจ้ามาพร้อมนางกัน” พระนางมองไปที่โจวกุ้ยเฟย เมื่อเห็นไม่สะดวกพูดจึงไล่คนอื่นๆ ออกไปก่อน“เอาล่ะตอบมา” “เมื่อคืนกุ้ยเฟยไปที่จวนเพค่ะ เลยมาพร้อมกัน” “เรื่องนั้นซิน่ะ” “เพค่ะพี่หญิง” “เฮ้อ...พี่บอกแล้วว่าอย่าไปตามใจเยอะ ไม่เช่นนั้นจะเสียคนแล้วเป็นไงล่ะ” “ถ้าไม่ติดว่าการทำร้ายองค์ชายเท่ากับทำร้านสายเลือดมังกรน่ะ น้องจะตบแม่งหัวทิ่มไปเลย” โจวกุ้ยเฟยพูดพร้อมแสดงท่าทาง จินเซียงได้แต่ยืนยิ้ม“พอเลย...ข้าคนว่าเจ้าเข้าวังแล้วจะสงบลงแต่ที่ไหนได้” “พวกท่านใจเย็นก่อนแล้วรีบมาทานอาหารก่อนที่จะ...อ่าว!...หายไปไหน!” จินเซียงมองหากล่องอาหารที่เอามาด้วย “ง่ำๆ อาย่อยมากน้องรอง” “ชู่~ เงียบๆ หน่อย นางหูดีมาก” “เอ่ออ~ พี่รอง น้องว่า~” “อะฮึม!...แม่ว่า…แม่สอนพวกเจ้ามาดีน่ะ สอนทั้งอบรมมารยาทสตรีหรือว่าต้องให้แม่นมทบทวนความจำให้!” ฮองเฮายืนท้าวเอวมองลูกสาวของตน“ถะ...ถวายพระพรเสด็จแม่เพค่ะ” ฉางหรูยิ้มแล้วรีบเอากล่องอาหารซ่อนไว้หลังม่านอย่าง
หลายวันต่อมาที่จวนใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังนั่งกลุ้มใจเพราะไม่สามารถทำตามแผ่นได้สำเร็จแต่คนที่ส่งไปนั้นกลับหายสาบสูญไปทุกรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ให้มันได้แบบนี้ซิ ทำงานกันภาษาอะไรถึงได้หายหัวกันไปหมด” “นายท่านขอรับ พวกเราไปพบร่องรอยบางอย่างขอรับ” ชายชุดดำส่งกระดาษให้ผู้เป็นนาย “ตายหมด! เป็นไปได้ไง” “ขอรับ ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่” “ท่านพ่อ แบบนี้เหล่าอาหารของเราจะไม่แย่รึขอรับ” “พ่อไม่กลัวเรื่องนั้นแต่ห่วงเรื่องว่ามันจะกระทบงานใหญ่มากกว่า แล้วเรื่องสองตระกูลนั้นเป็นเช่นไรและเรื่องที่ให้ไปสืบได้ความเช่นไร” “ขอรับนายท่าน สองตระกูลนั้นพากันปิดปากเงียบหลังจากที่ตระกูลที่เคยหมั้นหมายต่างพากันขอถอนหมั้น ทำให้หญิงสาวในตระกูลนั้นต่างพากันเก็บตัวขอรับ ส่วนเรื่องที่ให้ไปสืบนั้นได้ความมาว่าแม่ทัพหยางยังนอนไม่ได้สติขอรับ แต่การจะเข้าใกล้เรือนนั้นถือเป็นเรื่องยากมากเพราะมีการคุ้มกันที่แน่นหนาและไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมจนกว่าท่านขุนพลจะกลับมาขอรับ” “หึหึหึ ดีแบบนั้นแหละดี ไปตามนักพรตนั่นมาเราจะใช้นางเป็นตัวประกันให้เจ้านั้นยอมทำตามเงื่อนไขของเรา” “แต่ท่านพ่อ ถ้านางไม่ยอมล่ะขอ
ต้นเดือนเก้าเหล่าอาหารก็สร้างจนเสร็จและกำหนดที่จะเปิดก็คืออีกสามวันซึ่งตรงกับวันที่เก้าพอดี แม้ใจจะรู้ดีว่าไม่ควรจัดงานมงคลในช่วงนี้แต่ด้วยที่ว่าถ้าคนที่นอนอยู่รู้ว่าไม่ยอมเปิดเหล่าอาหารคงไม่ไม่ดีแน่ถ้าตอนที่นางตื่นขึ้นมาแล้วมีคนบอกให้รู้“ท่านพ่อ ท่านแม่” จินเซียงหลังจากอาบน้ำให้คนรักแล้วก็มาหาผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลที่ห้องโถง“น้องเป็นเช่นไรบ้างลูก” หลอหลันถาม“เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกพึ่งอาบน้ำให้นางและป้อนยา”“เจ้าคงไม่ได้ทำอะไรลูกแม่ใช่รึไม่” ชุ่ยหยุนหรือฮูหยินหยางถามจินเซียงได้ยินก็หน้าแดง “ลูกรอนางตื่นก่อนเจ้าค่ะ”“อืม พวกแม่เชื่อเจ้าและหวังว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี” หลอหลันให้กำลังใจลูกสาว แต่ก็ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้เผยอิงฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน“จริงซิ และชื่อร้านคิดได้รึยัง” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังถาม“เจ้าค่ะ ขุนพลนิทราเจ้าค่ะ” ทั้งห้องเงียบกริบไม่มีใครพูดอะไร“หลานย่า เจ้าไม่มีชื่ออื่นแล้วรึ” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังรู้สึกอายแทน“ยังเจ้าค่ะ”“แย่แน่แบบนี้ฮ่องเต้ได้บ่นแน่ๆ พระองค์รอทำป้ายร้านให้เจ้าอยู่น่ะ” เอี้ยซ่งบ่นใส่ลูกสาวคนโต ที่นางนั้นมีปัญหาเรื่องการตั้งชื่อ“เซียงอิงขุนพลไก่ทอ
ทุกคนมองเป็นทางคนผู้นั้นแล้วก็มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว ยิ่งอาวุโสถังผู้เป็นปู่ที่มองหน้าหลานไม่แท้อย่างตั้งคำถาม แต่คนที่ตกใจที่สุดนั้นคือพระชายาทั้งสองของรัชทายาท “พวกเจ้ารู้จักนางรึ” “พะ เพค่ะ นางคือคนที่ช่วยพวกเราไว้จากกลุ่มโจรเมื่อหลายปีก่อนเพค่ะ ตอนที่พวกเราตามเสด็จไปล่าสัตว์เพค่ะ” “เพค่ะ ตอนที่พานางมาพักรักษาตัวท่านก็น่าจะเคยเห็น รวมถึงยังเคยช่วยองค์หญิงจากการถูกลักพาด้วยน่ะเพค่ะ” “เจ้าเป็นคนช่วยลูกของเราเมื่อตอนนั้นรึ” “ข้าเองก็จำอะไรได้ไม่ค่อยมาเพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้ความจำบางส่วนหายไป ต้องขอโทษด้วย” จินเซียงพูดแก้ตัว เพราะจำไม่ได้จริงๆ“เช่นนั้นเรื่องการเจรจาสงบศึกข้าจะช่วยพูดให้ส่วนเรื่องการแต่งงานคงมิอาจช่วยได้” พระมเหสีสูงสุดแห่งเหลียวหรือจะเรียกว่าฮองเฮาก็ได้ตามความคุ้นเคยของผู้มาจากภาคกลาง พระนางรับปากเรื่องเจรจาแต่อีกเรื่องไม่รับปาก“ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่คิดจะจับใครแต่งงาน แต่ถ้าท่านข่านเสนอมา ทางเราก็คงยากจะปฏิเสธนอกเสียจาก” “นอกเสียจากอะไรกัน” “นอกเสียจากจะมีใครเสียตัวในคืนนี้แล้วข้าจะรีบเขียนสารด่วนกลับไปขออนุญาตเรื่องการแต่งงานเจริญสั
เช้าวันต่อมาเสียงกลองรบดังสนั่นทั่วเมือง ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันสวดมนต์ขอพรให้กองทัพมีชัยเหนือศัตรูผู้รุกรานถึงแม้จะมีหวังน้อยเต็มทีแต่ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ในคือสองแม่ทัพที่ตอนนี้ยืนคู่กันอยู่บนกำแพงเมือง “อันเตรียย่าข้าว่ามันสวยจริงๆ ถ้าเทียบกับกองทัพของอัศวินแล้ว” “นั่นซิ แม้จะอยู่ในสงครามมาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้” “ท่านพี่ ที่นั่นเป็นเช่นไร” เผยอิงถาม “ที่นั่นเรารบกันด้วยความเชื่อและศรัทธา บ้างก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป กองทัพนั้นอืม จะว่าไงดีล่ะ พี่ว่าดาบที่อัศวินใช้คงจะฟันพวกทหารเหลียวไม่เข้าแน่ๆ” “ใช่แล้วน้องสะใภ้ ดาบพวกนั้นมันอาศัยน้ำหนักอย่างเดียว ส่วนดาบที่เบาก็เบาเกินไปทำให้สู้กับพวกใส่เกราะเหล็กไม่ได้” “ข้าชอบดาบวงพระจันทร์ กับดาบใหญ่อันนี้มากกว่า” จินเซียงมองดาบคู่ใจในมือ ความสมดุลของดาบทั้งสองนั้นดีมาก“ข้าอยากถามมานานแล้วว่าทำไมท่านถึงพกอาวุธไว้เยอะแยะ”“ไม่รู้ซิ มันชินแล้ว” จินเซียงตอบคนรักแล้วหันไปมองที่สนามรบที่ตอนนี้ทหารเหลียวได้ลากหอตีเมืองมารอพร้อม“สั่งยิงได้เลย เราไม่จำเป็นต้องให้เกียรติพวกมันเพราะพวกมันเหยียบย่ำและฉีกสัญญาของพวกเราก่อน” จินเซียงหันไป