“ข้าลืมแนะนำตัว ข้าขื่อหยางเหมยซี เรียกเหมยซีก็ได้”
“ทำไมเจ้ายิ้มแบบนั้น”
“เอ้า ก็นางเป็นพี่สาวข้า พี่สาวจะแต่งงานทั้งทีทำไมจะยิ้มไม่ได้ จริงมั้ยเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านแม่” เหมยซีเดินยิ้ม
“จริง เช่นนั้นพวกพ่อไปก่อนน่ะ” ทั้งสองรีบเรียกพ่อบ้านเพื่อเตรียมรถม้าไปจวนตระกูลถังทันที
“อะไรจะรีบป่านนั้น”
“จินเซียงเจ้าจงดีใจเถอะที่ได้พี่สาวข้าเป็นฮูหยิน นางเป็นคนสวยและหุ่นดี รวมทั้งเป็นที่หมายปองของเหล่าเชื้อพระวงศ์และพวกแม่ทัพทั้งหลาย นี่ยังไม่นับพวกตระกูลใหญ่ทั้งหลายอีกน่ะ” ต่างจากเผยอิงที่ทำหน้าหมดอาลัย ถ้าแต่งกันคงไม่ต้องลงจากเตียงพอดี
“เหมยซีเจ้าจะขายพี่แบบนี้ไม่ได้น่ะ”
“พี่ใหญ่ ถ้าท่านไม่แต่งกับนางท่านก็อาจต้องเข้าวังน่ะเจ้าค่ะ”
“พี่รู้ แต่ไม่รู้ว่าถ้าพี่ท้องตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
“ยังหรอก คงอีกนานเพราะข้าให้เจ้ากินยาคุมไปแล้ว” จินเซียงตอบสบายๆ เผยอิงเองก็พอเข้าใจและเห็นด้วย
“ขอบใจเจ้ามาก”
“ฝากตัวด้วยน่ะ”
“อืม” เผยอิงพยักหน้า
ทางด้านจวนตระกูลถังก็กำลังวุ่นวาย เมื่อคนจากจวนแม่ทัพใหญ่มาถึงหน้าจวนพร้อมด้วยแม่สื่อและสินสอด
“ตาเฒ่าหยางเจ้ามาทำอะไร”
“ตาแก่ข้ามาที่นี่เพื่อมาขอแม่นางจินเซียงให้ลูกสาวข้า ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ที่จวนคิดว่าคงจะตามมาไม่ช้า”
“ห่ะ! อะไรน่ะ!” คนทั้งตระกูลรวมถึงพวกบ่าวต่างพากันตกใจ มาไม่ถึงเดือนก็ไปคว้าเอาแม่ทัพหญิงผู้ที่รัชทายาทหมายปองมาเป็นของตัวเอง ‘ช่างร้ายกาจยิ่งนัก’
“เอ่อ~ ฮูหยินหยางท่านช่วยอธิบายให้ข้าฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อืมได้ซิ” แล้วเรื่องเล่าตั้งแต่คืนนั้นจนถึงวันนี้ร่วมแล้วเกือบสองวันก็ถูกถ่ายทอดจนหมด จากข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุขเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่ได้ๆ อีกสองวันค่อยว่ากัน พวกเรารอนางมาตั้งแต่วันก่อนแล้วมาวันนี้พวกเจ้าจะบอกว่า”
“จวนใกล้กันแค่กำแพงกันจะเสียเวลานั่งรถม้าทำไม” เสียงคุ้นหูดังมาแต่ใกล้ ทุกคนก็พากันหันมอง
“จินเซียงเจ้าอย่าบ่นให้มันมาก พวกเราแค่อ้อมนิดหน่อยให้ดูไกลขึ้น”
“เป็นข้าน่ะ จะโดดข้ามกำแพงให้รู้แล้วรู้รอดเลย เรือนข้านอนกับของเจ้าห่างกันแค่กำแพงกั้น” ทุกคนหันไปมองกำแพงก็สามารถมองเห็นหลังคาเรือนของจวนตระกูลหยางได้เลย
“พี่ใหญ่ ต่อไปท่านก็ทุบกำแพงเลย เรือนพวกท่านจะได้ต่อกัน”
'นั่นซิ ทำไมพวกเราคิดไม่ได้น่ะ' ผู้นำทั้งสองตระกูลยิ้มให้กัน
สามสาวที่เดินเข้ามาในห้องโถงก็ต่างมองหน้ากันว่าผู้นำตระกูลทั้งสองยิ้มให้กันทำไม แต่ก็มีหลายคนไม่พอใจกับสิ่งนี้เช่นกัน
“พรุ่งนี้ข้าจะรับจินเซียงเป็นลูกบุญธรรม” เอี้ยซ่งพูดกับบรรดาสมาชิกตระกูล
“เอี้ยซ่งเจ้าเลอะเลือนไปแล้วรึ เจ้าจะรับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาในตระกูลได้อย่างไร”
“ท่านอา ข้ารับนางมาเป็นลูกข้า หาได้เป็นลูกท่านไม่ ข้าทำเพื่อตระกูลของเราทั้งนั้น!” เอี้ยซ่งเถียงกลับอย่างมีเหตุผล
“เจ้ากล้าเถียงข้าเพื่อนั่งผู้หญิงคนนั้นเลยรึ ช่างบังอาจนัก อย่างไรซ่ะเรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย”
“ใช่ๆ พวกเราก็ไม่เห็นด้วย” หลายคนต่างเห็นพ้องต้องกันและตะโกนออกมา
“เงียบให้หมด!”
“แม่เฒ่า!” คนในตระกูลต่างพากันเงียบ
“ข้าไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน เรื่องนี้ยกให้เจ้าใหญ่จัดการไป ส่วนเจ้าเทียนสง!! ควรหุบปากไว้บ้างและควรช่วยทำงานไม่ใช่หาแต่เรื่อง” แม่เฒ่าหยางกวักมือเรียกจินเซียง “จินเซียงเจ้ามาให้ข้าดูหน้าหน่อย อีกหน่อยเจ้ากับอี้หลางและฟางฟางก็จะเป็นพี่น้องกันแล้ว มีอะไรก็ช่วยเหลือกันเข้าใจไหม”
“เจ้าค่ะแม่เฒ่า”
“เรียกท่านย่า”
“เจ้าค่ะท่านย่า” จินเซียงทำตามอย่างว่าง่าย
“เอาน้ำชาให้ย่าหน่อย” จินเซียงรินน้ำชาใส่จอกทั้งยังแอบเอากำไลหยกออกมาจากอกเสื้อมอบให้ท่านย่าใหญ่อีกด้วย หยกเนื้อใสสีสาวเกะสลักด้วยทองคำแท้มูลค่าของมันนั้นยากจะเปรียบเทียบ
“สวยมากหลานย่า” ท่านยาใหญ่ยิ้มด้วยความยินดี “เอาล่ะเสร็จพิธีแล้ว พ่อบ้านเอาชื่อกับวันเดือนปีเกิดนางไปคัดเข้าชื่อตระกูลเราด้วย” ตั๋วเงินจำนวนหนึ่งถูกมอบให้พ่อบ้าน “จัดการให้เร็ว” พ่อบ้านรับตั๋วเงินแล้วรีบออกไปทันที
“ห่ะ! อะไรนะ!” ทั้งห้องต่างพากันอึ่ง
“เสียงดังทำไมอยู่กันแค่นี้!”
“ท่านแม่ขอรับ นี่ท่าน”
“ต่อไปนางเป็นคนของตระกูลถังแล้ว พรุ่งนี้ก็อย่าลืมให้ช่างมาจัดการเรื่องกำแพง ส่วนงานหมั่นก็ให้แม่สื่อจัดการ”
“ท่านแม่เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
“หลอหลันต่อไปเจ้าต้องดูแลนางดี นางจะช่วยเราได้มาก”
“เจ้าค่ะ”
“อืม”
เช้าวันต่อมา พ่อบ้านได้ให้ช่างมาดูบริเวณกำแพงแต่จินเซียงห้ามเสียก่อนและขอให้กลับมาในอีกสองวันข้างหน้า พ่อบ้านก็ตอบตกลงก่อนจะไปจัดการธุระอื่น
ช่วงสายของวันเดียวกัน ฮูหยินใหญ่หลอหลันก็พาจินเซียงลูกสาวคนใหม่ออกไปอวดชาวบ้านโดยทิ้งลูกสาวอีกสองคนไว้ที่จวน นางพาจินเซียงมาที่โรงเตี้ยมเก่าของหลี่อิงฮูหยินสอง
“ท่านแม่ ที่นี่ดูใหญ่มากเลยน่ะเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากได้แบบธรรมดา”
“พอเลย ตามมาด้านในก่อน” จินเซียงก็เดินไปอย่างว่าง่าย
“อาคารนี้มีทั้งหมดสี่ชั้น ตรงกลางจะเปิดโล่งมองเห็นหลังคา มีห้องพักทั้งหมด 15 ห้อง ด้านหลังมีลานกว้างอยู่รวมถึงยังมีบ้านพักคนงานและครัวแยก เจ้าว่าเป็นไงบ้าง” หลอหลันพาเดินชมภายใน
“ท่านแม่ด้านหลังมีลำธารด้วยหรอเจ้าค่ะ”
“อืม มีซิตรงนั้นมีกังหันน้ำด้วยน่ะ เจ้าคิดออกรึยังว่าจะทำอะไรขาย”
“ลูกว่าจะขายไก่ทอดกับเนื้อย่างเจ้าค่ะ เผยอิงบอกว่าจะเอาคนมาช่วยงานที่ร้านถ้าลูกจะทำ เพราะร้านของเหมยซีเองก็ได้ครอบครัวของทหารมาทำงานเจ้าค่ะ”
“แม่เองก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าแม่ทัพหยางดูแลครอบครัวทหารได้ดีมาก แล้วเรื่องตบแต่งร้านลูกคิดไว้รึยัง”
“ลูกว่าคืนนี้จะกลับไปเขียนแบบเจ้าค่ะ รวมถึงเรื่องกำแพงด้วยพรุ่งนี้ลูกจะเอาให้ดูน่ะเจ้าค่ะ” จินเซียงยิ้มแล้วก็เดินสำรวจอาคารต่อ
หลอหลันพาจินเซียงไปที่กรมที่ดินเพื่อทำเรื่องเปลี่ยนชื่อเจ้าของที่ดิน โดยมีหลี่อิงกับพ่อบ้านมารออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเสร็จธุระพ่อบ้านก็ขอตัวกลับ ส่วนจินเซียงก็ถูกพาไปโชว์ตัวต่อ
ตกเย็นนางกลับมาถึงจวนก็รีบตรงไปกินข้าวแล้วกลับเข้าเรือนทันที ด้วยความเมื่อยล้าที่ยิ่งกว่าไปออกรบทำให้นางอยากแช่น้ำแต่ด้วยที่ยังไม่เลือกสาวใช้ทำให้นางต้องทำเอง
“กว่าจะเสร็จ เอาล่ะน้ำกำลังพอดีแล้วรีบอาบและลงเเช่ตัวดีกว่า ไม่คิดว่าที่นี่จะอากาศเย็นแบบนี้” นางค่อยๆ ย่อยตัวลงในอ่างน้ำและสุดท้ายก็เผลอหลับ
“ไม่เห็นมีใครเลยท่านพี่”
“นางบอกใช่ไหมว่านี่เรือนของนาง”
“ท่านพี่ มีไอน้ำออกมาจากห้องนาง”
“ทำไมเงียบแบบนี้ แปลกมากเรารีบไปดูนางกันเถอะพี่ว่านางต้องหลับแน่”
สองสาวรีบตรงไปที่ห้องอาบน้ำและก็เป็นจริงดังว่า เพราะจินเซียงนอนหลับอยู่ในอ่างน้ำเรียกว่าอีกนิดเดียวก็จะจนน้ำตายแล้ว สองพี่น้องรีบลากนางออกมาจากอ่างน้ำแล้วรีบหาผ้ามาให้ห่ม
“อาเซียงตื่น ตื่นเดี๋ยวนี่น่ะ” เผยอิงพยายามเรียก เพี๊ยะ! “ตื่นเดี๋ยวนี้” เพี๊ยะ! เผยอิงระดมตบเพื่อปลุกคนตรงหน้า
“โอ้ย! หยุดก่อน!” เผยอิงที่ง้างมือเตรียมตบก็หยุดชะงักทันที “ไปโมโหใครมาเนี่ยตบไม่ยั้งมือเลย”
“เห็นเจ้าสลบกลัวไม่ตื่นไง ข้าเลยปลุก” จินเซียงกระพริบตามองไปที่เจ้าของเสียง หน้าตาก็หวานแต่มือหนักมาก “มองไร รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“นี่ข้าหลับตอนแช่น้ำใช่ไหมแล้วตอนนี้กี่โมงแล้ว” นางหันไปถามเผยอิง
“น่าจะช่วงซวีสือแล้วล่ะ (19.00-21.00)”
“ดึกแล้วหรอเนี่ย พวกเจ้ามีไรกินบ้าง”
“ข้าไปเตรียมของก่อนเจ้ากับท่านพี่ก็ค่อยตามข้าไปน่ะ” เหมยซีพูดจบก็เดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น
“ขอซักหน่อยก่อนกินอาหารที่เหมยซีเตรียมมาได้ไหม” นางก้มมองไปที่กลางตัวของคนพูด
“เจ้าบ้าอย่ามาทำเป็นเล่น น้องสาวข้ารออยู่นางมาเพราะมีเรื่องคุยกับเจ้าแต่ว่า...นิดหน่อยก็ได้น่ะ” ประโยคหลังแม้จะพูดเบาแต่ก็ได้ยิน ทั้งคู่ใช้เวลาไม่นานก็พากันเดินออกมาที่ลานหน้าเรือน
“มาเร็ว ข้าเตรียมอาหารเสร็จพอดี” ทั้งสามนั่งล้อมวงกันหน้าเตาไฟ
“จริงซิเจ้าอยากรู้อะไร” เผยอิงคีบลูกชิ้นเข้าปากแล้วหันไปถาม แต่ก็ไม่ลืมเอาหมูลงไปย่างเพิ่ม “ได้มากินหมูกะทะแบบนี้ก็เหมือนกัน
“เห็นด้วย เสียดายเรือจากอโยธยาไม่ค่อยเข้ามาที่ท่า” เหมยซีคีบหมูลงน้ำจิ้มแล้วเอาเข้าปาก “ว่าแต่เจ้าอยากรู้อะไรอ่ะ”
“ตอนนี้เราอยู่ในยุคราชวงศ์ไหนหรอแล้วปีอะไรใครเป็นฮ่องเต้”
“เจ้าถามอะไร ไม่รู้จริงดิ” เผยอิงมองคนพูด
“ข้ามาจากตะวันออกกลาง ตอนนั้นสงครามศาสนาพึ่งจบและตอนมาถึงข้าก็แยกตัวไปอยู่ในป่าในเข้าไม่ค่อยได้เข้าเมืองรู้แค่พึ่งผ่านช่วงยุคสงครามมาเท่านั้น”
“อ้อ ง่ายเลยๆ เราพึ่งผ่านการรวมแผ่นดินมา ตอนนี้เป็นต้นราชวงศ์ซ่ง ฮ่องเต้คือซ่งไทจู ฮองเฮาจักรพรรดินีเสี่ยวหมิง สกุลหวังน่ะ” เผยอิงตอบ
“จริงหรอ แล้วยังมีรบกับพวกนอกด่านอยู่ไหม”
“ตอนนี้พวกนั้นเงียบมาก อาจเป็นเพราะเรามีกองทัพที่แข็งแกร่งทำให้พวกนั้นไม่กล้าลงมาบุกเรา” เผยอิงตอบเพราะตอนนี้ชายแดนเงียบมาก ต่างจากหมูบนกะทะที่หมดลงอย่างรวดเร็ว
มีหลายอย่างที่แปลกไปจากความรู้สึก นางเริ่มคิดว่าที่โลกนี้อาจจะไม่ใช่โลกยุคประวัติศาสตร์เพราะสงครามครูเสดกับยุคต้นราชวงศ์ซ่งนั่นมันห่างกันเกือบร้อยปี แต่ที่นั่นสงครามครั้งสุดท้ายดันจบลงแล้ว และที่นี่พึ่งผ่านช่วงห้าราชวงศ์สิบนครรัฐมา
“เมืองนี้” เผยอิงที่เอาแผนที่ขนาดใหญ่ไปปูบนพื้นห้องชี้ให้จินเซียงดู
“เจ้าเอามาตอนไหน”
“ข้าถือมาด้วยเผื่อเจ้าอยากรู้”
“อ้าวหรอ เอะเดี๋ยวน่ะตรงนี้มัน” จินเซียงเดินไปมองแผนที่แต่นางอ่านไม่ค่อยออก
“พุกามกับอโยธยา” เพียงได้ยินคำตอบนางก็หันไปมองเหมยซีทันที
“มันคือเรื่องจริง มันต่างจากที่พวกเรารู้” เหมยซียิ้ม
“ไม่ต้องมอง ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่านางเป็นคนที่รำลึกชาติได้ อีกอย่างวิญญาณบรรพชนเป็นคนมาบอกพวกเราเองด้วย” เผยอิงพูดเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติ
“หลายอย่างไม่ตรงตามในประวัติศาสตร์ สงครามครูเสดเกิดในปี 1097 ราชวงศ์นี้เกิดปี 976 ไหนจะอโยธยาอีก ทั้งที่ควรจะเป็นสุโขทัยไม่ก็ล้านนา”
“จริงดังเจ้าว่า แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวน่ะแบบนี้เจ้าก็”
“เจ้ามันคนนอนละเมอเสียงดังน่ะยอดรัก” เผยอิงยิ้มเพราะคืนนั้นทำให้นางรู้ว่าคนตรงหน้ามาจากภพชาติอื่น
“เฮ้อ~ เรื่องที่ยากรู้ก็รู้แล้ว แต่เรื่องของอี้หลันนี้ซิข้ายังไม่รู้เลย” จินเซียงกลับมานั่งกินต่อ ”นางโดนลอบทำร้ายหลายครั้งแต่ยังหาคนร้ายไม่เจอ”
“ไว้ข้าจัดการให้ ว่าแต่เจ้าเล่าเรื่องของเจ้าของร่างให้ฟังหน่อยซิ” เผยอิงใช้ตะเกียบชี้จินเซียง
“จะเริ่มจากไหนก่อนดี แต่ที่แน่ใจอดีตนางเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าชื่อดังแล้วเกษียณตัวเองออกมาและเดินทางข้ามทะเลทรายมาตามทางสายไหมจนมาถึงที่นี่”
“กลุ่มนักฆ่าชื่อดังหรอ” เผยอิงมองหน้าน้องสาว ”ฮัสซาซินหรอ”
จินเซียงพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ชื่อเดิมคืออันเตรียย่าร์ แต่นางตายด้วยไข้ป่าและโดนโจรฆ่าซ้ำอีก นางไปสบายแล้ว” จินเซียงนั่งยิ้ม
“เอาเถอะเรื่องก็ผ่านมานานแล้วเรารีบกินรีบเก็บเถอะเดี๋ยวดึก” เหมยซีรีบสรุปแล้วคีบหมูเข้าปาก
ไม่นานอาหารก็หมด หลังจากสองสาวกลับไปจินเซียงก็เริ่มเขียนแบบตามที่นางต้องการ รุ่งเช้ามาเยือนแบบสำหรับร้านใหม่ที่นางเขียนก็เสร็จพอดี นางใส่ชุดสบายๆ มาออกกำลังกายที่หน้าเรือน ก่อนจะกลับไปอาบน้ำเมื่อมีบ่าวมาตามไปทานอาหาร
“คุณหนูอาหารพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ก้มหน้าไม่กล้ามองนายคนใหม่เดี๋ยวใจเกเร สูงผิวขาวน้ำผึ้ง สัดสวนกล้ามเนื้อแม้แต่บุรุษยังอิจฉา สตรีด้วยกันยังต้องเหลียวมอง สีตาชวนให้หลงใหล รอยยิ้มบางบนใบหน้านั่นก็ทำให้หัวใจละลายได้
“งั้นมาช่วยข้าแต่งตัวหน่อยจะได้เร็วขึ้น”
“เจ้าค่ะ” นางใช้เวลาอาบน้ำไม่นานรวมถึงเรื่องแต่งตัวที่ได้สาวใช้มาช่วยทำให้เสร็จเร็วขึ้น
จินเซียงเดินถือแบบที่วาดเสร็จแล้วเดินตามสาวใช้มาที่ห้องทานอาหาร หลังจากทานกันเสร็จแล้ว นางจึงเอาแบบให้พ่อบุญธรรมดู ฮูหยินผู้เฒ่าที่ได้เห็นก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่หลานสาวคนใหม่มีความรู้หลากหลายและอาจพาตระกูลไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่
“ท่านย่าว่าเช่นไรเจ้าค่ะ”
“ดูดีทีเดียว อ่ะจริงซิวันช่วงสายวันนี้แม่สื่อจะเข้ามาเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ”
“จินเซียงข้าไม่คิดเลยมาเจ้าจะกลายมาเป็นพี่สาวข้าภายในเวลาไม่ถึงเดือน”
“อาหลันข้าเองก็ยังงงเหมือนกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เอาเถอะเดี๋ยวก็ชินเอง” เอี้ยซ่งพูดอย่างยินดี ดูแล้วลูกสาวบุญธรรมคนนี้จะมีความสามารถในด้านการคำนวนและการออกแบบ ถือว่าได้เพชรเม็ดงามมาอยู่ในมือ
ช่วงสายแม่สื่อก็เข้ามาพร้อมข้าวของหลายอย่างรวมถึงคนงานที่มาจัดสถานที่เพื่อจัดงานหมั้นระหว่างสองตระกูล
“ฮูหยินหยางทำไมถึงจัดเร็วนักล่ะ”
“พระที่วัดท่านบอกมาว่าวันนี้ช่วงยามบ่ายเป็นเลิกยามงคล ข้าจึงปรึกษาแม่สื่อและนางก็เห็นด้วยอีกอย่างอีกไม่กี่วันลูกอิงก็ต้องกลับไปชายแดนแล้ว”
“อ่าวทำไมเร็วจัง หรือพวกนอกด่านเรื่องเคลื่อนไหวอีกแล้ว”
“ไม่รู้เหมือนกันแต่คิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้น” จินเซียงที่ได้ยินก็เดินจูงมือเผยอิงไปคุยในสวนที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกคนเถื่อนเริ่มเคลื่อนไหวและมีการปล้นสะดมตามชายแดน”
“ราชโองการหรอ”
“อืม ปู่ข้ายื่นขอสมรพระราชทานแต่พระองค์มีเงื่อนไขว่าข้าต้องปราบพวกคนเถื่อนที่ชายแดนให้ได้ก่อนถึงจะอนุญาต” กลิ่นไม่ดีเริ่มตามมาเหมือนมีคนไม่พอใจ ในประวัติศาสตร์์การรบระหว่างซ่งกับจินนั้นเกิดบ่อยมาก แต่เพราะสงครามพึ่งจบ การที่พวกนั้นลงใต้มาครั้งนี้ดูท่าจะไม่ปกติ
“ข้าว่าพวกขุนนางคงไม่พอใจเป็นแน่ ทำให้พวกมันกดดันเจ้าเช่นนี้ ไม่ก็สร้างโอกาสให้องค์ชายซักคนสร้างผลงานและทูลขอสมรสพระราชทานกับเจ้า” เผยอิงค้างไปทันทีที่ได้ยิน “ไม่ต้องห่วง ข้าทำงานตรงนี้เสร็จแล้วจะรีบตามไปหาเจ้าทันที”
“เช่นนั้นหลังเสร็จงานแล้วเราไปเดินเล่นกันหน่อยไหม ข้ามีของอยากซื้ออยู่” เผยอิงชวนจินเซียงไปตลาดท่าเรือ
“อืมได้ซิ” จินเซียงดึงเผยอิงเข้ามากอดแล้วกดจูบแผ่วเบาลงบนเส้นผม
ตกบ่ายงานหมั้นระหว่างสองตระกูลก็เริ่มขึ้น งานจัดไม่ใหญ่มากเพราะเป็นความต้องการของทั้งสองคน ทำให้แม่สื่อและผู้นำตระกูลทั้งสองต่างต้องยอมรับ แต่มีเงือนไขว่าตอนแต่งจะต้องจัดให้ดีแล้วใหญ่กว่านี้ พวกนางก็ตอบตกลงและไม่มีปัญหา
พอจบงานแล้วทั้งสองคนก็ขอออกไปเดินเล่นในเมือง ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่ได้คุยกันและสังสรรค์กันไป แต่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นคุณชายใหญ่ผู้มีตำแหน่งรองแม่ทัพและสหายก็ได้เดินทางกลับมาที่จวน
“ท่านพ่อที่จวนเรามีงานอะไรรึขอรับ”
“เค่อเต๋อร์! เจ้ามาพอดีเลยมานั่งก่อน พวกเจ้าเองก็ตามสบายน่ะ” เอี้ยซ่งพาลูกชายมานั่ง
“มีเรื่องน่ายินดีอันใดรึขอรับ หรือว่ามีคนมาสู่ขอฟางเอ้อร์”
“ไม่ใช่หรอก พ่อพึ่งรับลูกบุญธรรมและก็พึ่งจะรับหมั่นกับตระกูลหยางด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า” คนฟังเริ่มใจไม่ดี คนตระกูลหยางมีเพียงคนเดียวที่ยังไม่มีคู่หมั้น
“อิงอิงรึขอรับ นางหมั้นกับใครกัน” เค่อเต๋อร์ที่แอบชอบเผยอิงมานานถามด้วยความกังวล
“อ่าวลูกรักเจ้ากลับมาแล้วรึ งานเป็นไงบ้าง” ฮูหยินเอกผู้เป็นมารดาถามบุตรชายที่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ก็ดันทะลึ่งกลับมาวันนี้พอดีเหมือนมีใครส่งข่าวไปให้
“พวกลูกถูกเรียกเข้าวังพร้อมกับแม่ทัพหยางในวันพรุ่งนี้ขอรับ” เค่อเต๋อร์ตอบพลางยกจอกขึ้นดื่มไ
“เอาเถอะ พวกลูกกินกันเถอะวันนี้วันดี ดื่ม” เอี้ยซ่งยกจอกขึ้นแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด
ทางด้านสองสาวตอนนี้ก็กำลังเลือกซื้อของอยู่ที่ตลาดใกล้ท่าเรือ ทั้งคู่ซื้อของไม่กี่อย่างส่วนใหญ่จะเดินเล่นซ่ะมากกว่า แต่เท้ากลับมาหยุดที่หน้าร้านเดิมที่นางเคยมา เจ้าของร้านที่กำลังเก็บร้านพอเห็นให้ว่าใครมาก็รีบเดินออกมาต้อนรับ พร้อมเรียกพนักงานให้เตรียมห้องรับรองและชากับขนม
“เรื่องจริงหรอเนี่ย ข้าคิดว่าที่ชาวเมืองพูดจะเป็นเรื่องโกหกเสียอีก”
“ท่านฮาซิน ท่านได้ยินถูกแล้ว นางคือว่าที่ภรรยาของข้าเอง”
“ยินดีกับท่านด้วยน่ะขอรับ อะจริงซิภรรยาข้าบอกว่าเตรียมของขวัญไว้ให้ท่านด้วยเพราะท่านเลยน่ะทำให้ข้าหายป่วยเช่นนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า” ไม่นานก็มีสตรีในชุดแบบชาวแบกแดดเดินออกมาพร้อมกล่องใบงามหนึ่งใบ
“ยินดีกับพวกท่านด้วย ข้านามว่าฟาร์รีอาร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ข้าจินเซียง ส่วนนางเผยอิงคู่หมั้นข้าเอง”
“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ ข้านามว่าเผยอิง”
ทั้งสี่นั่งคุยกันอยู่นาน เผยอิงได้รับเหยี่ยวสีดำตัวใหญ่เป็นของขวัญแต่งงาน ส่วนในกล่องนั้นเป็นชาชั้นดีและเกราะอ่อนเนื้อดีสร้างด้วยวิธีพิเศษจากแบกแดดสองตัวพร้อมคำอวยพร จินเซียงเลยอุดหนุนพรมและหนังสือสำหรับบันทึกมาหนึ่งเล่มพร้อมชุดเครื่องเขียน สีและกระดาษวาดรูป
“พวกเราขอตัวกลับก่อนน่ะเจ้าค่ะ ตอนนี้ก็มืดมากแล้วข้าไม่อยากรบกวนพวกท่านนาน” เผยอิงกล่าวกับฟาร์รีอาร์
“อืม เดินทางปลอดภัยน่ะ ไว้ว่างเมื่อไหร่ก็แวะมานั่งคุยกันได้น่ะ”
“เจ้าค่ะพวกเราขอตัวก่อน” ทั้งคู่เอ่ยลาเจ้าของร้านและภรรยา แล้วพากันเดินกลับไปที่จวน
ฟาร์รีอาร์ยืนมองทั้งสองเดินหายไปสุดสายตาและหันกลับมาถามสามีของตน “ท่านว่านางคล้ายใครบางคนรึไม่”
“ข้าก็ว่างั้นแหละ แต่เอาเถอะนางมีเส้นทางของตัวเองแล้วอีกอย่างนางก็ไม่ยุ่งกับกลุ่มแล้ว” ฮาซินพูดเหมือนเป็นกังวล
“ใครจะไปคิดว่าคนที่เหมือนกับว่าตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ แต่นางคงวางมือไม่ได้หรอกเพราะนางต้องช่วยคนรักไปอีกนาน”
“เจ้าเองยังเลิกทำนายดวงชะตาเลย มาเถอะเรื่องที่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว” ทั้งสองเดินกลับเข้าไปในร้าน
พอสองสาวกลับมาถึงจวนงานเลี้ยงก็เลิกไปแล้ว แต่ยังมีหลายคนนั่งกินกันอยู่เพราะจวนห่างกันแค่นิดเดียว พวกนางจึงเดินเลี่ยงกลับไปที่เรือนอย่างเงียบๆ
“เหินฟ้านี่เพื่อนใหม่เจ้า” จินเซียงบอกเหยี่ยวของนาง
“ตัวมันใหญ่กว่าของข้าอีกน่ะ” เผยอิงนั่งลงและปล่อยให้นกคุยกัน
“คืนนี้เจ้านอนไหน”
“คงนอนที่เรือนของข้าเพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าวังแต่เช้า”
“เช่นนั้นตอนเช้าข้าไปส่งเจ้าเอง”
“ขอบใจน่ะ” ทั้งสองคุยกันอยู่นานก่อนพากันเข้านอน คืนนี้เผยไม่ได้กลับไปนอนที่เรือนของตัวเอง
เช้าวันต่อมา จินเซียงตื่นมาแต่เช้ามืดเพื่อฝึกร่างกายและทักษะ ก่อนจะรีบไปอาบน้ำเมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ขึ้นแล้ว เผยอิงที่กำลังนอนหลับฝันดีก็ถูกลากไปอาบน้ำพร้อมกัน จินเซียงกับเผยอิงเลือกชุดคู่ที่ซื้อมาด้วยกัน เผยอิงเกลาผมให้คนรักเช่นเดียวกับบุรุษ เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วเผยอิงก็มองด้วยความพอใจ
“ที่รักเจ้าหน้าตาดีมากเลยรู้ไหม” เผยอิงยิ้มอย่างน่ารัก “ดีน่ะคืนนั้นข้าอุ้มเจ้ากลับจวน ฮ่าฮ่าฮ่า อย่ากอดเอวข้าซิ”
“มาเลยยัยตัวแสบเดี๋ยวข้าแต่งหน้าทำผมให้เจ้าบ้าง” จินเซียงจับคนตัวเล็กนั่งหน้ากระจกโดยมีสาวใช้เป็นลูกมือ “ดูดีทีเดียว”
“คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านแต่งหน้าท่านแม่ทัพได้ดีทีเดียว” สาวใช้ต่างพากันชม
“คุณหนูเจ้าค่ะ พวกท่านแต่ตัวเหมือนกันเลย”
“คนกำลังคลั่งรักก็แบบนี้แหละ” จินเซียงเอาตุ้มหูของตัวเองใส่ให้เผยอิงหนึ่งข้าง รวมถึงสร้างทองคำขาวถักมีจี้รูปหัวใจทำจากพลอยแดงห้อยอยู่ เผยอิงทำตาโตเมื่อเห็นมัน แล้วรีบเอาใส่ไว้ใต้ชุดไม่อยากให้ใครเห็นเพราะมูลค่าของมัน ที่สำคัญคือสวยมาก
ทั้งสองเดินออกมานอกเรือนพร้อมกัน อี้หลันที่มารออยู่แล้วก็รีบเดินเข้าไปหา แต่ก็อดชมการแต่งตัวของทั้งคู่ไม่ได้ อีกคนก็เหมือนคุณชายอีกคนก็เหมือนคุณหนูผู้อ่อนหวาน ทั้งคู่เหมือนคนกำลังไปท่องเที่ยวมากกว่าเข้าวัง
“พี่ใหญ่ วันนี้ท่านจะได้พบพี่ชายด้วยน่ะ”
“ใครกัน ใช่กลุ่มทหารเมื่อวานรึเปล่า”
“เจ้าค่ะ ท่านเจอศัตรูแล้วล่ะ พี่ชายใหญ่มองท่านเป็นศัตรูตั้งแต่ยังไม่ทันได้พบหน้า” อี้หลันมองไปทางเผยอิง “พี่ชายเค้าชอบท่านแม่ทัพตั้งแต่ยังเด็ก ถึงกับอาสาติดตามไปรบเลยน่ะ”
“พี่หวังว่าจะไม่สร้างปัญหาให้พวกเจ้าน่ะ” ไม่พูดเปล่าแต่มีกล่องใบเล็กๆ สองกล่องและถุงใบน้อยๆ อีก 3-4ใบ “อย่ากังวลเลย” จินเซียงยิ้มให้แล้วพากันเดินไปที่ห้องอาหาร แต่ก็ไม่ลืมให้พวกสาวใช้ที่มาช่วยงาน
“สองกล่องนี้ของพวกเจ้าคนล่ะกล่อง ส่วนนี่ของพวกเจ้า” สาวใช้รีบมารับอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดเดินตามกันไปที่ห้องทานอาหาร ที่ตอนนี้คนในจวนต่างมาพร้อมกันหมดแล้วเหลือเพียงสามสาวเท่านั้นเพียงเดินเข้าไปในห้อง จินเซียงก็รับรู้ได้ถึงแววตาที่บงบอกชัดเจนว่าเห็นนางเป็นศัตรู แต่แล้วไงนางไม่สนตอนนี้เผยอิงเป็นของนางแล้ว ใครกล้ามายุ่งคงได้เห็นดีกัน
จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่
หลายวันต่อมาจินเซียงเข้าวังพร้อมโจวกุ้ยเฟยและตรงไปที่ตำหนักใหญ่ของฮองเฮาเพื่อส่งอาหารตามที่พระองค์เคยขอ “ถวายบังคมฝ่าบาท” “ตามสบายเถอะหลานข้า ว่าแต่ลมอะไรหอบเจ้ามาพร้อมนางกัน” พระนางมองไปที่โจวกุ้ยเฟย เมื่อเห็นไม่สะดวกพูดจึงไล่คนอื่นๆ ออกไปก่อน“เอาล่ะตอบมา” “เมื่อคืนกุ้ยเฟยไปที่จวนเพค่ะ เลยมาพร้อมกัน” “เรื่องนั้นซิน่ะ” “เพค่ะพี่หญิง” “เฮ้อ...พี่บอกแล้วว่าอย่าไปตามใจเยอะ ไม่เช่นนั้นจะเสียคนแล้วเป็นไงล่ะ” “ถ้าไม่ติดว่าการทำร้ายองค์ชายเท่ากับทำร้านสายเลือดมังกรน่ะ น้องจะตบแม่งหัวทิ่มไปเลย” โจวกุ้ยเฟยพูดพร้อมแสดงท่าทาง จินเซียงได้แต่ยืนยิ้ม“พอเลย...ข้าคนว่าเจ้าเข้าวังแล้วจะสงบลงแต่ที่ไหนได้” “พวกท่านใจเย็นก่อนแล้วรีบมาทานอาหารก่อนที่จะ...อ่าว!...หายไปไหน!” จินเซียงมองหากล่องอาหารที่เอามาด้วย “ง่ำๆ อาย่อยมากน้องรอง” “ชู่~ เงียบๆ หน่อย นางหูดีมาก” “เอ่ออ~ พี่รอง น้องว่า~” “อะฮึม!...แม่ว่า…แม่สอนพวกเจ้ามาดีน่ะ สอนทั้งอบรมมารยาทสตรีหรือว่าต้องให้แม่นมทบทวนความจำให้!” ฮองเฮายืนท้าวเอวมองลูกสาวของตน“ถะ...ถวายพระพรเสด็จแม่เพค่ะ” ฉางหรูยิ้มแล้วรีบเอากล่องอาหารซ่อนไว้หลังม่านอย่าง
หลายวันต่อมาที่จวนใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังนั่งกลุ้มใจเพราะไม่สามารถทำตามแผ่นได้สำเร็จแต่คนที่ส่งไปนั้นกลับหายสาบสูญไปทุกรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ให้มันได้แบบนี้ซิ ทำงานกันภาษาอะไรถึงได้หายหัวกันไปหมด” “นายท่านขอรับ พวกเราไปพบร่องรอยบางอย่างขอรับ” ชายชุดดำส่งกระดาษให้ผู้เป็นนาย “ตายหมด! เป็นไปได้ไง” “ขอรับ ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่” “ท่านพ่อ แบบนี้เหล่าอาหารของเราจะไม่แย่รึขอรับ” “พ่อไม่กลัวเรื่องนั้นแต่ห่วงเรื่องว่ามันจะกระทบงานใหญ่มากกว่า แล้วเรื่องสองตระกูลนั้นเป็นเช่นไรและเรื่องที่ให้ไปสืบได้ความเช่นไร” “ขอรับนายท่าน สองตระกูลนั้นพากันปิดปากเงียบหลังจากที่ตระกูลที่เคยหมั้นหมายต่างพากันขอถอนหมั้น ทำให้หญิงสาวในตระกูลนั้นต่างพากันเก็บตัวขอรับ ส่วนเรื่องที่ให้ไปสืบนั้นได้ความมาว่าแม่ทัพหยางยังนอนไม่ได้สติขอรับ แต่การจะเข้าใกล้เรือนนั้นถือเป็นเรื่องยากมากเพราะมีการคุ้มกันที่แน่นหนาและไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมจนกว่าท่านขุนพลจะกลับมาขอรับ” “หึหึหึ ดีแบบนั้นแหละดี ไปตามนักพรตนั่นมาเราจะใช้นางเป็นตัวประกันให้เจ้านั้นยอมทำตามเงื่อนไขของเรา” “แต่ท่านพ่อ ถ้านางไม่ยอมล่ะขอ
ต้นเดือนเก้าเหล่าอาหารก็สร้างจนเสร็จและกำหนดที่จะเปิดก็คืออีกสามวันซึ่งตรงกับวันที่เก้าพอดี แม้ใจจะรู้ดีว่าไม่ควรจัดงานมงคลในช่วงนี้แต่ด้วยที่ว่าถ้าคนที่นอนอยู่รู้ว่าไม่ยอมเปิดเหล่าอาหารคงไม่ไม่ดีแน่ถ้าตอนที่นางตื่นขึ้นมาแล้วมีคนบอกให้รู้“ท่านพ่อ ท่านแม่” จินเซียงหลังจากอาบน้ำให้คนรักแล้วก็มาหาผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลที่ห้องโถง“น้องเป็นเช่นไรบ้างลูก” หลอหลันถาม“เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกพึ่งอาบน้ำให้นางและป้อนยา”“เจ้าคงไม่ได้ทำอะไรลูกแม่ใช่รึไม่” ชุ่ยหยุนหรือฮูหยินหยางถามจินเซียงได้ยินก็หน้าแดง “ลูกรอนางตื่นก่อนเจ้าค่ะ”“อืม พวกแม่เชื่อเจ้าและหวังว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี” หลอหลันให้กำลังใจลูกสาว แต่ก็ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้เผยอิงฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน“จริงซิ และชื่อร้านคิดได้รึยัง” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังถาม“เจ้าค่ะ ขุนพลนิทราเจ้าค่ะ” ทั้งห้องเงียบกริบไม่มีใครพูดอะไร“หลานย่า เจ้าไม่มีชื่ออื่นแล้วรึ” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังรู้สึกอายแทน“ยังเจ้าค่ะ”“แย่แน่แบบนี้ฮ่องเต้ได้บ่นแน่ๆ พระองค์รอทำป้ายร้านให้เจ้าอยู่น่ะ” เอี้ยซ่งบ่นใส่ลูกสาวคนโต ที่นางนั้นมีปัญหาเรื่องการตั้งชื่อ“เซียงอิงขุนพลไก่ทอ
ทุกคนมองเป็นทางคนผู้นั้นแล้วก็มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว ยิ่งอาวุโสถังผู้เป็นปู่ที่มองหน้าหลานไม่แท้อย่างตั้งคำถาม แต่คนที่ตกใจที่สุดนั้นคือพระชายาทั้งสองของรัชทายาท “พวกเจ้ารู้จักนางรึ” “พะ เพค่ะ นางคือคนที่ช่วยพวกเราไว้จากกลุ่มโจรเมื่อหลายปีก่อนเพค่ะ ตอนที่พวกเราตามเสด็จไปล่าสัตว์เพค่ะ” “เพค่ะ ตอนที่พานางมาพักรักษาตัวท่านก็น่าจะเคยเห็น รวมถึงยังเคยช่วยองค์หญิงจากการถูกลักพาด้วยน่ะเพค่ะ” “เจ้าเป็นคนช่วยลูกของเราเมื่อตอนนั้นรึ” “ข้าเองก็จำอะไรได้ไม่ค่อยมาเพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้ความจำบางส่วนหายไป ต้องขอโทษด้วย” จินเซียงพูดแก้ตัว เพราะจำไม่ได้จริงๆ“เช่นนั้นเรื่องการเจรจาสงบศึกข้าจะช่วยพูดให้ส่วนเรื่องการแต่งงานคงมิอาจช่วยได้” พระมเหสีสูงสุดแห่งเหลียวหรือจะเรียกว่าฮองเฮาก็ได้ตามความคุ้นเคยของผู้มาจากภาคกลาง พระนางรับปากเรื่องเจรจาแต่อีกเรื่องไม่รับปาก“ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่คิดจะจับใครแต่งงาน แต่ถ้าท่านข่านเสนอมา ทางเราก็คงยากจะปฏิเสธนอกเสียจาก” “นอกเสียจากอะไรกัน” “นอกเสียจากจะมีใครเสียตัวในคืนนี้แล้วข้าจะรีบเขียนสารด่วนกลับไปขออนุญาตเรื่องการแต่งงานเจริญสั
เช้าวันต่อมาเสียงกลองรบดังสนั่นทั่วเมือง ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันสวดมนต์ขอพรให้กองทัพมีชัยเหนือศัตรูผู้รุกรานถึงแม้จะมีหวังน้อยเต็มทีแต่ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ในคือสองแม่ทัพที่ตอนนี้ยืนคู่กันอยู่บนกำแพงเมือง “อันเตรียย่าข้าว่ามันสวยจริงๆ ถ้าเทียบกับกองทัพของอัศวินแล้ว” “นั่นซิ แม้จะอยู่ในสงครามมาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้” “ท่านพี่ ที่นั่นเป็นเช่นไร” เผยอิงถาม “ที่นั่นเรารบกันด้วยความเชื่อและศรัทธา บ้างก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป กองทัพนั้นอืม จะว่าไงดีล่ะ พี่ว่าดาบที่อัศวินใช้คงจะฟันพวกทหารเหลียวไม่เข้าแน่ๆ” “ใช่แล้วน้องสะใภ้ ดาบพวกนั้นมันอาศัยน้ำหนักอย่างเดียว ส่วนดาบที่เบาก็เบาเกินไปทำให้สู้กับพวกใส่เกราะเหล็กไม่ได้” “ข้าชอบดาบวงพระจันทร์ กับดาบใหญ่อันนี้มากกว่า” จินเซียงมองดาบคู่ใจในมือ ความสมดุลของดาบทั้งสองนั้นดีมาก“ข้าอยากถามมานานแล้วว่าทำไมท่านถึงพกอาวุธไว้เยอะแยะ”“ไม่รู้ซิ มันชินแล้ว” จินเซียงตอบคนรักแล้วหันไปมองที่สนามรบที่ตอนนี้ทหารเหลียวได้ลากหอตีเมืองมารอพร้อม“สั่งยิงได้เลย เราไม่จำเป็นต้องให้เกียรติพวกมันเพราะพวกมันเหยียบย่ำและฉีกสัญญาของพวกเราก่อน” จินเซียงหันไป