แชร์

บทที่ 4  

ผู้เขียน: สั่งไม่หยุด
หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย

ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…”

เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ”

เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง

กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!”

หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…”

ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!”

หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่างถึงที่สุด “หากข้าไม่ล่ะ?”

ฉีจื่อฟู่ตัดบท “เช่นนั้นหากเจ้าหนาวจนเป็นอันตราย และเกิดตายขึ้นมาระหว่างทาง ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้าแล้วกัน! สำหรับเจ้าแล้ว ตำแหน่งภรรยาเอก มันสำคัญกว่าชีวิตอย่างนั้นหรือ?”

หรงจือจือผุดยิ้ม นางไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าฉีจื่อฟู่คนที่เมื่อสามปีก่อน ตอนก่อนออกจากเมืองหลวง เคยให้คำมั่นสัญญากับนางอย่างสัตย์จริงว่า ชีวิตนี้จะไม่มีวันทรยศนาง กลับมาวันนี้จะใช้อำนาจข่มขู่ตนเอง เพียงเพราะไม่ต้องการให้สตรีอีกคนหนึ่งต้องน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้

น่าขันนักที่ตอนแรกนางยังอุตส่าห์คิดว่า เขาเป็นสุภาพบุรุษอบอุ่นอ่อนโยน

เห็นนางยิ้มเยาะเช่นนี้ ฉีจื่อฟู่รู้สึกขัดตาถึงขีดสุด “เจ้ายิ้มแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”

คล้ายกับว่ากำลังดูถูกดูแคลนตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น!

บัดนี้นางถานขึ้นไปบนรถม้า แล้วเปิดหน้าต่างรถม้าออก และเอ่ยกับฉีจื่อฟู่ “ช่างเถิด ลูกแม่ มิต้องมากวาจากับนางแล้ว! เมื่อก่อนข้ายังเคยคิดว่านางมีคุณธรรมจริง ๆ กลับคิดไม่ถึงความจริงจะดีแค่เปลือกนอก”

“เจ้าจะเสียเวลาไปพูดกับนางเพื่ออะไรอีก? คนอย่างนาง ดื้อรั้นหัวแข็ง วันนี้แม่สามีกำลังพูดอยู่ก็กล้าพูดขัด แม้แต่คำขอร้องของสามีนางก็มิได้สนใจ ไร้ซึ่งหลักสามเชื่อฟังสี่จริยา[footnoteRef:1]” [1: สามเชื่อฟังสี่จริยา หมายถึง กรอบสังคมที่ใช้อบรมกุลสตรีชั้นสูง]

“เจ้าปล่อยให้นางหนาวตายอยู่ข้างทางไปเถิด อย่างน้อยหลังจากนี้ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นในจวนของพวกเราอีก! นางผู้หญิงชั้นต่ำไร้ค่า วัน ๆ เอาแต่เสแสร้งว่าเป็นคนว่านอนสอนง่าย เสแสร้งเก่งจนข้ายังโดนหลอกไปด้วย!”

หนนี้นางถานโกรธกรุ่นจนเลือดขึ้นหน้าแล้วจริง ๆ ถ้อยคำที่ใช้ก่นด่าออกมายิ่งปราศจากความระมัดระวัง

ความโปรดปรานของฝ่าบาทจะสำคัญสักเพียงใดเชียว?

บุตรชายของนางนอนป่วยติดเตียงมานานหลายปี หมดหนทางร่วมสอบเข้าเป็นขุนนาง แต่กว่าจะฝ่าฟันจนมีวันนี้ได้ เป็นจารชนแฝงตัวเข้าไปจนได้ข้อมูลเป็นประโยชน์มากมายเพียงนั้นกลับมา ฝ่าบาทยังถึงขั้นจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ด้วยพระองค์เอง แต่บัดนี้มันอะไร ให้หรงจือจือเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวาย จนทุกอย่างมันพังทลายหมดแล้ว!

เห็นนางถานใช้ถ้อยคำหยาบคายด่าทอหรงจือจือเช่นนี้ เจาซีโกรธกรุ่นจนขอบตาแดงก่ำ ทว่าอีกฝ่ายเป็นแม่สามีของคุณหนูของนาง แม้นางจะกล้าโกรธอีกฝ่ายแต่กระนั้นก็ไม่กล้าด่าสวนกลับไป

แม้หรงจือจือจะเตรียมใจกับความไร้มโนธรรมของครอบครัวนี้ไว้แล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่านางถานจะปากร้ายพูดจาไม่รักษาน้ำใจถึงเพียงนี้

และคราวนี้ฉีจื่อฟู่ยังเสริมอีกว่า “จือจือ เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าท่านแม่เดือดดาลถึงเพียงนี้ หากเจ้ายังไม่ยอมรับคำขอร้องของข้าอีก ประเดี๋ยวต่อให้ข้าจะเมตตาเจ้าและขอร้องให้เจ้าได้ขึ้นรถม้า ท่านแม่ก็ไม่ฟังแล้ว!”

หรงจือจือเหลือบสายตามองเขา “รถม้าคันนี้ คิดว่าข้าจะขึ้นไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

ในเมื่อพวกเขาปฏิบัติเช่นนี้กับตนเอง หากเป็นเช่นนั้นแล้วนางก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงต้องทะนุถนอมตนเองแล้ว นางจะหนาวตายข้างทางไม่ได้เด็ดขาด หากท่านย่ารู้เข้าจะต้องปวดใจแน่

ฉีจื่อฟู่ผงะไป ยิ่งรู้สึกชัดเจนว่านางไม่มีท่าทีอ่อนโยนสุภาพเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

นางถานฟังหรงจือจือมาถึงตอนนี้ล้วนไม่มีความสำนึกผิดอยู่เลยแม้แต่น้อย ด้วยคำพูดหรือความหมายที่แฝงไว้ คล้ายกับจะดึงดันขึ้นรถม้าคันนี้ให้ได้ จึงยกนิ้วชี้หน้านางทันที “ข้าไม่ออกคำสั่ง ดูสิว่าเจ้าจะขึ้นมาอย่างไร!”

หรงจือจือจ้องนางถาน “แม่สามี ลูกสะใภ้หรงขอเตือนท่านไว้หนึ่งคำ ที่ท่านนั่งอยู่นั้น คือรถม้าของลูกสะใภ้!”

นางถานผงะไป ใบหน้าแข็งค้างแล้ว

หรงจือจือเอ่ยขึ้นต่อ “วันที่ข้าออกเรือน ขบวนแห่สินเดิมยาวสิบลี้ ท่านย่าเตรียมข้าวของเครื่องใช้จำเป็นให้ข้าพร้อมพรักทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งโลงศพ รวมถึงรถม้า”

“แม่สามีรถม้าที่ท่านนั่งอยู่ คือรถม้าที่ท่านย่าของข้าได้ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไป เพื่อจ้างช่างฝีมือดีอันดับหนึ่งในใต้หล้า มาสร้างขึ้นให้ข้าด้วยความรักและสงสาร พรมที่บุด้านในรถม้ายังให้สัมผัสนุ่มนวลไร้ใดเปรียบ และรถม้าคันนี้ยังมีความโคลงเคลงน้อยกว่ารถม้าทั่วไป”

“ทว่าด้วยร่างกายของแม่สามีที่อ่อนแอ และท่านก็ดูจะโปรดปรานรถม้าคันนี้มาก ลูกสะใภ้จึงให้ท่านได้ยืมไปใช้ ข้าเชื่อว่า เรื่องนี้แม่สามีคงมิได้ลืมไปแล้วนะเจ้าคะ!”

นางถานโกรธจนแทบคุมสติไม่อยู่ ชี้ปลายจมูกของหรงจือจือพลางแผดเสียงตะคอก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เจ้าคิดจะบอกว่า ข้ายึดรถม้าของเจ้าไปใช้อย่างนั้นหรือ?”

หรงจือจือยังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า “ลูกสะใภ้ทราบมาตลอด ว่าท่านแม่สามีรักเกียรติหวงศักดิ์ศรีมากเพียงใด ดังนั้นหากท่านแม่สามีไม่อยากถูกชาวบ้านตำหนิว่ายึดของข้าไปใช้ส่วนตัวแล้ว จะลงจากรถม้าก็ย่อมได้เจ้าค่ะ”

นางถานหายใจติดขัดขึ้นมาทันใด ชี้หน้าประณามหรงจือจือ : “จะ…เจ้า…เจ้า…”

เมื่อได้ยินว่าจื่อฟู่ได้ชัยกลับมา ก็รีบตรงเข้าวังไปเข้าเฝ้าถวายรายงานต่อฝ่าบาททันที ทั้งนางและหรงจือจือต่างได้รับคำสั่งเช่นกันจึงนั่งรถม้าคันเดียวกันเดินทางเข้าวังหลวง ซิ่นหยางโหวเป็นคนร่ำรวยที่ว่างงาน เดิมกำลังตกปลาอยู่ด้านนอก ดังนั้นจึงควบอาชามาถึงวังหลวงด้วยตนเอง

ดังนั้นจวนโหวของพวกเขา จึงมีเพียงรถม้าคันนี้คันเดียวที่จอดอยู่ที่นี่

หากตนเองต้องลงจากรถม้า ดึกดื่นมืดค่ำเพียงนี้ เกรงว่าไม่มีทางจ้างรถม้าได้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้นแน่ เช่นนั้นแล้วคนที่จะต้องหนาวตายก็คือตนเอง!

ฉีจื่อฟู่ฟังมาถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้วมองหรงจือจือ ก่อนจะชี้หน้าตำหนินาง “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้อกตัญญูเพียงนี้? เจ้าดูสิ ว่าเจ้าทำให้ท่านแม่โกรธขนาดไหนแล้ว?”

หรงจือจือยังคงอารมณ์สงบนิ่ง “ท่านพี่ ข้าเองก็กำลังคิดแทนท่านแม่”

“ลองคิดดูแล้วท่านพี่เองก็คงจะไม่อยากให้วันรุ่งขึ้น คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างพากันเล่าลือว่า ท่านแม่ยึดเอารถม้าที่เป็นสินเดิมของข้าไปใช้ส่วนตัวอย่างสง่าผ่าเผย แล้วทิ้งให้ข้าซึ่งเป็นเจ้าของรถม้าคันนี้ไว้ข้างทาง”

“หากเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงของท่านแม่ ก็คงจะฟังดูไม่ดีแน่!”

การที่นางขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีคุณธรรมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงได้นั้น มิได้อาศัยเพียงความอดทน แต่ยังอาศัยกลวิธีอันชาญฉลาดที่ทำให้จวนโหวทั้งสกุลมีชื่อเสียงโดดเด่นขึ้นมาในสังคม

เมื่อก่อนนางถานชอบกลอุบายเหล่านี้ของหรงจือจือมาก ที่สามารถทำให้คนภายนอกไม่กล้าดูหมิ่นดูแคลนพวกเขาจวนโหว แต่มาวันนี้กลอุบายของหรงจือจือกลับย้อนมาใช้กับนาง ในที่สุดนางก็ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดแล้ว!

ซิ่นหยางโหวตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์ “พอเสียที จะเถียงอะไรกันนักหนา รีบขึ้นรถม้ากลับกันไปให้หมด!”

วันนี้เพราะเรื่องของบุตรชาย ก็ทำให้พวกเขาจวนซิ่นหยางโหวต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอับอายขายหน้าอย่างถึงที่สุดแล้ว หากเรื่องที่ยึดเอาสินเดิมของลูกสะใภ้ไปใช้ส่วนตัวถูกเล่าลือออกไปด้วยอีก เกรงว่าทั้งจวนคงได้จมน้ำลายหายไปแน่

นางถานหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้แค่ฝืนใจมองหรงจือจือขึ้นรถม้าอย่างจำใจ

ภายใต้ความอึดอัด นางสูดหายใจลึกหลายครั้ง ก่อนจะพูดแดกดันอีกฝ่าย “คนอย่างเจ้า พอไม่ได้ดั่งใจสักนิด ก็แยกเขี้ยวขู่ขวัญแล้ว ช่างน่ารังเกียจเสียจริง ไม่แปลกที่บุตรชายของข้าจะไม่ชมชอบเจ้า ถึงขั้นยอมถูกตราหน้าประณามว่าลักลอบมีสัมพันธ์อย่างผิดครรลองกับองค์หญิงแคว้นสิ้นเอกราช ดีกว่าให้เจ้าได้เป็นภรรยาเอกต่อไป!”

หรงจือจือเงียบสงัด บอกว่าไม่พอใจนิดหน่อยก็แยกเขี้ยวขู่อย่างนั้นหรือ?

ช่วงเวลาที่นางรู้สึกไม่พอใจนับแต่เข้ามาอยู่ในจวนโหวมีเยอะเกินไปเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่นางทุ่มเทสุดหัวใจรับใช้ปรนนิบัติแม่สามีอย่างเต็มที่ ทว่าแม่สามีกลับตั้งกฎระเบียบให้นางทุกวัน ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมิให้ขาดตกบกพร่องสักวัน แม้กระทั่งวันใดที่ฝนถล่มหรือหิมะตกหนักก็มิเคยเว้น ในเรือนก็ไม่เคยมีใครสักคนที่จะเอาใจง่ายไม่เรื่องมาก นางเคยรู้สึกสบายใจได้สักวันหรือ?

หนนี้หากมิใช่เพราะฉีจื่อฟู่สั่งให้นางเป็นอนุ เหยียบย่ำขีดความอดทนของนางแล้ว นางก็ไม่เป็นเช่นนี้หรอก!

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งที่ฉีจื่อฟู่ลอบเป็นชู้กับคนอื่น แต่กลับกลายมาเป็นความผิดของนางได้อย่างไร?

นางที่รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด หลับตาลงพิงรถม้า เพื่อพักสายตาก่อนที่จะผล็อยหลับไป

ทว่านางถานกลับยังคงก่นด่าไม่เลิกรา “บุตรชายข้าไม่ขอหย่ากับเจ้า แต่แค่ขอให้เจ้าเป็นอนุภรรยา ก็นับว่าเมตตาสงสารเจ้าแล้ว เจ้าออกจากจวนซิ่นหยางโหวไป ใครที่ไหนเล่าจะไม่ดูแคลนรังเกียจเจ้า?”

“เจ้าดื้อด้านไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ทำให้บุตรชายของข้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง! บัดนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าเป็นคนผิด ข้าจะคอยดู ว่าวันรุ่งขึ้นคนทั้งเมืองหลวงจะยังมีอีกสักกี่คนที่ยังสรรเสริญเยินยอเจ้า!”

“วันนี้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเจ้า หากเจ้ายังมีมโนสำนึกเหลืออยู่บ้าง พรุ่งนี้เจ้าจงกลับไปที่เรือนสกุลหรง แล้วไปบอกให้ท่านพ่อของเจ้าทำอะไรสักอย่างเพื่อบุตรชายของข้าซะ และเมื่อใดที่เขาได้รับอำนาจมา วันนั้นถึงจะเป็นวันที่เจ้ามีความสุข!”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 428

    เมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้ สีหน้าของนางกงซุนก็เปลี่ยนไปทันที ไม่นานนักก็เห็นหญิงชราคนหนึ่ง ในมือถือไม้เท้าเดินออกมาเสิ่นเยี่ยนซูออกไปพยุงด้วยตนเอง “ท่านย่า!”นายหญิงผู้เฒ่าเสิ่นแซ่อวี๋ มองหลานชายแวบหนึ่ง “เจ้ามีน้ำใจแล้ว ไม่เหมือนใครบางคน เห็นข้าแล้วก็ยังไม่รู้จักคารวะ”นางกงซุนหนังหน้ากระตุก จากนั้นก็รีบคารวะ “ลูกสะใภ้คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” นางก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายในใจเช่นกัน เหตุใดเสิ่นเยี่ยนซูถึงเชิญหญิงชราคนนี้เข้ามา?นางอวี๋นั่งลง พลางมองนางอย่างสื่อความนัย “ยากนักที่เจ้าจำได้ว่าข้ายังเป็นแม่สามีของเจ้า แต่เจ้าตามเยี่ยนซูเข้าเมืองหลวงมานานหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เคยไปทักทายข้าที่จวนสกุลอวี๋เลย มีลูกสะใภ้ที่กตัญญูเช่นเจ้า ช่างเป็นวาสนาของข้าเสียจริง!”“กตัญญู” สองคำนี้ นางอวี๋จงใจเน้นน้ำเสียง และแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอย่างมากนางกงซุนหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน แล้วรีบก้มหน้ากล่าว “ท่านแม่พูดรุนแรงไปแล้วเจ้าค่ะ ความจริงลูกสะใภ้รู้ว่าท่านกำลังรักษาอาการป่วยอยู่ จึงกลัวว่าหากตนเองไปที่นั่น จะรบกวนความสงบของท่าน”นางกงซุนพูดจบก็เหลือบมองเสิ่นเยี่ยนซู ซึ่งภายในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 427

    เขาถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ พวกเรามาคิดกันดีกว่า ว่าอีกไม่กี่เดือนหลังออกจากคุกหลวงแล้ว พวกเราจะไปอยู่ที่ไหน!”ตอนนี้อยู่ในห้องขัง ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ก็จริง แต่เพื่อจัดการปัญหาเรื่องกินอยู่ ต่อไปพวกเขาจะต้องฝ่าฝืนกฎหมายซ้ำ ๆ แล้วพอออกจากคุกไปไม่กี่วัน ก็จะถูกจับกลับเข้ามาใหม่อีกอย่างนั้นหรือ?ฉีจื่อเสียนกล่าวอย่างทรมานว่า “พวกเรายังจะไปอยู่ที่ใดได้อีกขอรับ? ไปแย่งวัดร้างและใต้สะพานกับพวกขอทานเหล่านั้นงั้นหรือ?”ครานี้ ถานผิงถิงกลับเอ่ยปากขึ้นว่า “หรือว่า...ข้าจะกลับไปที่บ้านมารดาเพื่อขอร้องท่านแม่ แล้วให้นางรับพวกเราไว้สักระยะหนึ่งดีเจ้าคะ?”ทันทีที่นางพูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบไปเพียงเพราะว่าจวนสกุลถานคือสถานที่ที่นางถานกับอันธพาลนั่นถูกจับได้ว่าเป็นชู้รักกัน จนทำให้คนสกุลฉีต้องอับอายขายขี้หน้าอย่างถึงที่สุด!ตามหลักการ นางหลิวยังตั้งท้องกับอันธพาลนั่นด้วย ซึ่งหากเจอกับครอบครัวที่เคร่งครัด และเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลแล้ว จะต้องจับนางใส่กรงหมูแล้วนำไปถ่วงน้ำเป็นแน่แต่นางดันโชคดี สกุลหลิวกับสกุลถานเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ถึงกับไม่มีคนเห

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 426

    อวี้หมัวมัวยังอยากจะพูดอะไรหรงจือจือกลับกล่าวเสียงราบเรียบว่า “หมัวมัว ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้า แล้วเจ้าก็หวังว่าข้าจะมีชีวิตแต่งงานที่ดีในอนาคต และมีคนคอยใส่ใจอยู่ข้างกาย เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นในวันข้างหน้า”“แต่เจ้าคิดดูให้ดี ๆ หากแต่งเข้าไปในครอบครัวที่แม่สามีไม่ชอบข้า ข้าจะมีชีวิตที่ดีได้แค่ไหนกันเชียว?”อวี้หมัวมัวกลับไม่เห็นด้วย “คุณหนู หากสามีเป็นคนมีเหตุผล และปกป้องคุณหนูทุกอย่าง เช่นนั้นแม้จะเป็นแม่สามีที่ไร้เหตุผล แต่ก็ยังใช้ชีวิตที่ดีได้”“อย่างฮูหยินแซ่เจียงของเสนาบดีกรมพิธีการคนนั้น มิใช่ตัวอย่างที่ดีที่สุดแล้วหรือเจ้าคะ?”หรงจือจือคิดสักพัก มันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เสนาบดีกรมพิธีการมู่หรงเย่า เขามองนางเจียงด้วยความชื่นชม ไม่สนเรื่องที่ก่อนแต่งงานนางเจียงจะเคยชอบมหาราชครูหรง หลังจากแต่งงานก็ยังดูแลนางเป็นอย่างดีแต่เพราะเรื่องที่ก่อนแต่งงานนางเจียงเคยแย่งมหาราชครูหรงกับนางหวัง เลยทำให้แม่สามีของนางไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้นางเจียงจะเป็นองค์หญิงใหญ่ หลังแต่งงานก็ยังคงถูกทำให้ลำบากใจอยู่ดีแต่มู่หรงเย่าคอยปกป้องทุกอย่าง จึงทำให้แม่สามีของนางไม่สามา

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 425

    เฉินเยี่ยนซูพยายามวางท่าสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับสับสนว้าวุ่นไร้ที่พึ่ง กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้นางยอมตกลงเรื่องแต่งงานได้สำเร็จ มาบัดนี้กลับเกิดเรื่องพลิกผันขึ้นเสียได้ด้วยนิสัยของนางแล้ว เกรงว่าคงยากที่จะให้อภัยเขาได้เรื่องนี้ทำให้ส่วนลึกในใจของเขาเกิดความรู้สึกโกรธแค้นต่อจวนกั๋วจิ้วเป็นครั้งแรก ความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นความเกลียดชัง ส่งผลให้แววตาของเขาเย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง......เจาซีกลับมายังเรือนอี่เหมยเมื่อเห็นนางนำกล่องใบเล็กนั้นกลับมาด้วย หรงจือจือก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเจาซีถ่ายทอดคำพูดทั้งหมดของเฉินเยี่ยนซูให้ฟัง หรงจือจือได้แต่นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำใดอวี้หมัวมัวกล่าวว่า “ท่านเสนาบดีก็ยังนับว่ารู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ได้มายืนขวางหน้าประตูบ้านไม่ยอมไป จนเป็นที่ครหาของผู้คน ทั้งยังไม่ดึงดันที่จะเข้ามาพบท่านให้ได้ มิเช่นนั้นคงยิ่งทำให้ท่านขุ่นเคืองใจมากขึ้น”“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวกลับเห็นว่า เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ คุณหนูลองนำกลับไปไตร่ตรองดูอีกครั้งจะดีหรือไม่ แล้วค่อยรอดูว่าหลังจากนี้ท่านเสนาบดีจะมีคำชี้แจงใดให้ท่าน”หรงจือจือพยายามข่มอารมณ์ที่ปั่นป่วนใ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 424

    เพียงไม่นานหลังจากที่หรงซื่อเจ๋อได้แสดงอำนาจในฐานะบุตรชายสายตรงของตน ก็ถูกเรียกตัวไปพบมหาราชครูหรง และถูกตำหนิอย่างรุนแรง......เจาซีเดินออกจากเรือนพร้อมกุญแจในมือแล้วก็เห็นเสนาบดีเฉินยืนอยู่หน้าประตูในชุดขุนนาง ดูท่าว่าคงเพิ่งเสร็จจากว่าราชการแล้วรีบมาที่นี่อีกฝ่ายรูปงามโดดเด่น เย็นชาแต่สูงส่ง เฉิดฉายเหนือผู้ใด แถมยังปฏิบัติต่อคุณหนูของตนอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นว่าที่เขยที่เหมาะสมอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพียงแต่...คาดไม่ถึงว่าเรื่องของเขาคล้ายกับสถานการณ์ของจวนอ๋องเฉียนนั่นทำให้ในใจของเจาซีอดรู้สึกเสียดายมิได้เมื่อเห็นกล่องผ้าไหมในมือนาง แววตาเฉินเยี่ยนซู ก็พลันหม่นลงทันที “นางให้เจ้าคืนของสิ่งนี้แก่ข้าหรือ?”เจาซีพยักหน้า และถ่ายทอดถ้อยคำที่หรงจือจือฝากมาให้นางเหล่านั้นพอพูดจบก็อดกลั้นไม่ไหว กล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่านเสนาบดี คุณหนูของข้านับแต่หย่าขาดจากสามี ก็ถูกคนซุบซิบนินทาเสียๆ หายๆ คำนินทาแสนโหดร้ายแบบไหน นางก็เคยได้ยินมาหมดแล้ว”“บ่าวดูออกว่าเดิมทีคุณหนูไม่ได้คิดจะแต่งงานอีก หากไม่ใช่เพราะท่านแสดงความจริงใจ นางก็คงไม่รับของสิ่งนี้ไว้ด้วยซ้ำ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 423

    หรงเจียวเจียวเหมือนยังอยากจะเอ่ยอะไรอีก “ท่านพี่...”แต่หรงซื่อเจ๋อกลับตัดบท “หรือจริงๆ แล้วเจ้ามิได้ทำเพื่อข้า แต่เป็นเพราะเจ้ารู้ว่าตั้งแต่เด็กมา นางก็เก่งกว่าเจ้า เป็นเพราะเจ้าริษยาเรื่องท่านเสนาบดีเฉิน จึงหาเรื่องนางอยู่ร่ำไป แล้วก็อ้างเอาว่าทำเพื่อข้า?”ขณะกล่าว ดวงตาของหรงซื่อเจ๋อก็เพ่งมองนางอย่างพินิจพิจารณาความจริง ความคิดนี้เขาก็เคยแอบสงสัยอยู่หลายครั้ง เพียงแค่ไม่อยากนำมันมาคิดให้มากนักกับน้องสาวผู้เคยช่วยชีวิตเขาไว้ในอดีตจนกระทั่งนางทำเรื่องต่ำช้า ใช้แผนทรมานตัวเองกลั่นแกล้งหรงจือจือ แล้วยังกล้าโยนความผิดให้เขาต่อหน้าบิดา ความเชื่อใจที่เขามีต่อนางก็เริ่มร้าวรานหรงเจียวเจียวถูกทิ่มใจเข้าเต็มๆ แต่ก็รีบกลบเกลื่อน “ท่านพี่ ท่านพูดอะไรอย่างนั้นเล่า!”“ข้าแค่กลัว กลัวว่าท่านพี่จะทำร้ายคนอื่นเพียงเพื่อตัวเองอีก นางทำอย่างนั้นถึงสามครั้งแล้ว ข้าไม่กล้าผูกสัมพันธ์กับคนเช่นนี้ หากวันหน้าเกิดเรื่องขึ้นอีกเล่า?”หรงซื่อเจ๋อเม้มริมฝีปากแน่น ครู่หนึ่งก็พูดไม่ออกใช่ ถึงสามครั้ง! หนแรกเกือบคร่าชีวิตเขา หนที่สองพรากชีวิตพี่หญิงหนานจือ หนที่สามก็คือเรื่องหย่าร้างที่ทำให้น้องสาวร่ว

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status