อาศัยตราหยกของหลี่จื้อฉิง ไช่เสิ่งเจี๋ยสามารถเดินเข้าออกได้ทุกพื้นที่ของตำหนัก แม้กระทั่งเดินจนรอบรั้ววังหลวงแห่งฉางหมิง ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเมื่อเขายกป้ายขึ้น เป็นแค่เพียงธิดาขององค์หญิงใหญ่ หากนับความเข้มข้นของสายเลือดราชวงศ์นางแทบจะไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในราชบัลลังก์นี้ด้วยซ้ำ ตามธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณกาล สตรีแต่งงานแล้วต้องออกเรือน แต่องค์หญิงใหญ่หลี่หย่าถิงแต่งงานกับองค์ชายจากแคว้นที่ล่มสลาย อาศัยความโปรดปรานที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมีต่อนาง ทำให้หลี่หย่าถิงยังสามารถอาศัยอยู่ในวังหลวงแคว้นฉางหมิงได้
ไม่รู้ว่าเพราะความฉลาดเฉลียว ความงดงาม หรือเล่ห์กลอันใด จากที่เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากนางกำนัลระดับล่าง ได้กลายมาเป็นสตรีทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งฉางหมิง ความฉลาดและงดงามนั้นมาคู่พร้อมกับจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต
พี่น้องร่วมราชบัลลังก์ที่ขวางหูขวางตาถูกหลี่หย่าถิงกำจัดทิ้งทั้งหมด เหลือเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดที่อ่อนแอไร้กำลังไว้ทำหน้าที่สวมมาลาสีเหลืองทองแทนนางก็เท่านั้น
และเป็นเพราะอำนาจของมารดาทำให้ท่านหญิงที่เป็นเชื้อสายปลายแถวต่ำต้อยสามารถขึ้นมานั่งเทียบเท่ากับราชนิกุลที่กำเนิดจากสายเลือดของฮ่องเต้ได้ หลี่หย่าถิงปล่อยให้หลี่จื้อฉิงซึ่งเป็นธิดาเพียงคนเดียว ใช้อำนาจบาตรใหญ่ กดขี่ข่มเหงรังแกเชื้อพระวงศ์อื่นได้อย่างไม่มีผู้ใดกล้าออกปากห้ามปราม แม้กระทั่งเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองแผ่นดินฉางหมิง
ยิ่งคิดถึงท่าทางยโสโอหังของหลี่จื้อฉิง ไช่เสิ่งเจี๋ยยิ่งเกลียดนัก ตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกันอะไรกัน ไร้สาระทั้งเพ สิ่งที่มารดาของนางกระทำต่อเขา และแผ่นดินเฉียนซี เขาที่เป็นรัชทายาทว่าที่ผู้ปกครองแผ่นดินในอนาคตย่อมไม่อาจให้อภัยนางได้
เดินจนมาถึงประตูสุดท้ายของวังหลวงแคว้นฉางหมิง ชายหนุ่มโล่งใจอย่างที่สุด ขอแค่เพียงเขาก้าวออกไปติดต่อกับสายลับของเฉียนซีที่หลบซ่อนทำการค้าอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นฉางหมิง เขาก็จะสามารถรอดพ้นกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนได้ในทันที
“นึกว่าใครที่แท้องค์ชายตัวประกันนี่เอง” ทหารยามที่เมื่อก่อนหน้านั้นเคยเป็นผู้คุมเชลยศึกยิ้มละไมเมื่อพบไช่เสิ่งเจี๋ยอยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดสะอ้าน
“...” ไช่เสิ่งเจี๋ยเองเห็นหน้าก็จดจำได้ในทันที สิ่งที่มันกระทำต่อเขาเมื่อครั้งยังอยู่ในค่ายกักขังเชลยศึก
“ข้าพูดกับเจ้าเหตุใดจึงไม่ตอบ” ทหารยามรังเกียจท่าทางยโสโอหังเช่นนั้น
ดวงตาสีนิลของไช่เสิ่งเจี๋ยแสดงออกไปอย่างไร้ความรู้สึก ล้ำลึกดำมืดราวกับท้องนภายามราตรี ก่อนจะหยกตราหยกประจำตัวของหลี่จื้อฉิงออกมาแสดง
“ท่านหญิงจื้อฉิงสั่งให้ข้าไปทำธุระให้แก่นาง หากเจ้า...ไม่อยากมีปัญหากับนางก็อย่ามาขวางทาง” ไช่เสิ่งเจี๋ยยังมิทันจะได้หยกตราหยกของหลี่จื้อฉิงขึ้นมาแสดง ก็ถูกทหารยามชั้นต่ำใช้กระบี่ที่ยังมิทันได้ชักออกจากฝักฟาดเข้าให้ที่ศีรษะ
“คนเช่นเจ้าน่ะหรือจะได้รับใช้ใกล้ชิดกับท่านหญิงจื้อฉิง” สตรีผู้นั้นจะมาสนใจอะไรทาสเช่นไช่เสิ่งเจี๋ย ทหารยามที่ไม่เชื่อจึงลงไม้ลงมือ เนื่องด้วยในอดีตความหล่อเหลาขององค์ชายตัวประกันผู้นี้กุมหัวใจของสตรีทุกชนชั้นในฉางหมิง ไม่เว้นแม้กระทั่งนางในดวงใจของเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาจึงลงไม้ลงมือกับไช่เสิ่งเจี๋ยมาโดยตลอด ตอนที่ได้ย้ายออกมาจากคุกทาสยังเสียดายไม่น้อย คิดไม่ถึงมันจะตามมาให้เขาลงไม้ลงมือถึงที่นี่
โทสะของไช่เสิ่งเจี๋ยทวีพูนเพิ่มขึ้น แต่กระนั้นเขาก็ยังนิ่งเฉย โลหิตสีแดงสดไหลรินที่ขมับขวา เขารู้วิธีการเอาคืนคนผู้นี้ ที่ตั้งใจว่าจะออกจากฉางหมิง และกลับไปที่เฉียนซีเสียตั้งแต่วันนี้เขากลับต้องมาคิดใหม่ มันผู้นี้ต้องย่อยยับภายใต้เงื้อมมือของเขาเท่านั้น เกรงว่าถ้ากลับไปในตอนนี้ มันจะตายด้วยน้ำมือของผู้อื่น
ชายหนุ่มหยิบตราหยกขึ้นมาแสดงให้พวกมันเห็น
“นี่เป็นตราหยกของท่านหญิงจื้อฉิง ข้าเป็นบ่าวของนาง หากเจ้าไม่เชื่อก็ไปพบนางด้วยกัน”
ผู้เป็นทหารยามอ่านอักขระบนตราหยกสีม่วงชิ้นนั้นถึงกลับเข่าทรุด แข้งขาอ่อนแรง คิดไม่ถึงว่าองค์ชายตัวประกันที่เขาเคยเหยียดหยามเวลานี้จะได้กลายเป็นคนของสตรีชั่วร้ายเช่นหลี่จื้อฉิง
“จะ...เจ้าโกหก”
“ข้าบอกแล้วไงว่า ข้าเป็นใคร” ไช่เสิ่งเจี๋ยโน้มตัวเล็กน้อยกระซิบกับทหารยามผู้เป็นอริกับตนเอง “ทีนี้ปล่อยข้าไปได้หรือยัง เกรงว่า ถ้ากลับมาช้ากว่านี้และทำให้นางไม่พอใจ ต่อให้เจ้ามีสิบหัวก็ไม่พอให้นางตัด”
ฝ่ายทหารยามเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มิกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก
จากที่ตั้งใจจะไปจากที่นี่ไช่เสิ่งเจี๋ยเปลี่ยนใจ ชายหนุ่มที่เช็ดซับโลหิตที่ศีรษะของตนเอง เดินตามหาร้านขายยาพรตเมฆา นานมากแล้วที่เขามิเคยได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ไม่ใช่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสมม
สองขาค่อย ๆ ก้าวอย่างมั่นคง บ้านเรือนร้านค้าศิลปวัฒนธรรมของเมืองหลวงฉางหมิงล้วนเฟื่องฟู แคว้นยิ่งใหญ่เช่นนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของแผ่นดินนี้ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่โดดเด่น การศึกษาของประชาชนทั่วถึง ใบหน้าของประชาชนล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สุขสบายกันถึงเพียงนี้เหตุใดจึงมุ่งหมายทำลายล้างดินแดนอื่น ๆ อีก ทั้งเฉียนซี เยวี่ยหยาง ถูกหลี่หย่าถิงและปั๋วจวินทำลายจนหมดสิ้น
ชาวเฉียนซีล้วนแล้วแต่รักในความสงบสุขสมถะ ความทรงจำสุดท้ายหลังจากที่เขาออกมาจากแผ่นดินเฉียนซี ทั่วทั้งแคว้นเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ประชาชนอยู่อย่างแร้นแค้น สงครามปล้นชิงอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ลูกเด็กเล็กแดงต่างอยู่กันอย่างทุกข์ทน
ในสมองของไช่เสิ่งเจี๋ยกำลังจินตนาการถึงวันที่เขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของดินแดนนี้ ร่างและศีรษะของหลี่หย่าถิงรวมถึงโลหิตของประชาชนฉางหมิงจะต้องถูกนำมาสังเวยให้กับประชาชนของเขา กระทำเหมือนกันกับที่ฉางหมิงทำต่อเฉียนซี
เป็นเพราะทั้งซื่อหานและหงหลางต่างก็เป็นเทพและมารที่อยู่มาในยุคฟ้าปางก่อน เป็นเทพมารบรรพกาลที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่องค์ในยุคนี้ การที่ทั้งคู่คบหากันจึงไม่มีใครคัดค้านแม้กระทั่งเทียนตี้เองก็มิกล้ามีปากมีเสียง คงเพราะหวั่นเกรงกลัวว่า มหาเทพซื่อหานจะบุกมาพังตำหนักของตนไม่ก็ถูกมหาจอมมารขโมยผลไม้เซียนที่เขาปลูกเอาไว้ จึงปล่อยเลยตามเลยทำปิดหูปิดตาไม่สนใจ แม้จะกังวลเรื่องการรวมดินแดนเพียงไหนก็ตามในอดีตนางและเขาทะเลาะกันจนทำให้ดินแดนทั้งสองแยกขาดจากกัน นางแกล้งเขาด้วยการสร้างโซ่เส้นหนึ่งขังเขาเอาไว้ในตำหนัก หงหลางโกรธจัด นับตั้งแต่นั้นมา สองดินแดนจึงถูกแยกออกจากกัน ถึงเวลาที่เขาและนางจะช่วยกันรวมดินแดนผนึกแผ่นดินเข้าหากันอีกครั้งหนึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่หลันเว่ยลงมือกระทำไปทั้งหมดเป็นการช่วยส่งเสริมให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิมอย่างที่สามภพเคยเป็น มารและเทพกลับมาคบหากันอย่างเปิดเผย อยู่ภายใต้ขอบเขตศีลธรรมอันดีงาม“ท่านพ่อท่านแม่อยู่ไหน” คุนอวี่ถามหาบิดาและมารดา จากเกาเจี๋ยและสือโต้ว
เพราะท่านพ่อท่านแม่กำลังอยู่ในช่วงเวลาปรับความเข้าใจกัน เด็กชายเบื่อ ๆ ไม่อยากรบกวนเวลาของพวกท่าน จึงออกไปเที่ยวเล่นดังเช่นปกติ แต่วันนี้ดันเตลิดเลยออกมาห่างจากตำหนักวิเวกของมารดาเกินไปสักนิด เดิมทีก้อนแป้งเองก็สนุกสนานกับการสำรวจสิ่งต่าง ๆ อยู่แล้ว รวมถึงมีตบะกลิ่นอายเซียนและมารผสมรวมกันอยู่ ปีศาจหรือเซียนระดับล่างมิอาจทำร้ายเขาได้ และทำให้เขาสามารถเข้าออกได้ทุกหนแห่งในสามภพป่าแถบนี้ประหลาดนัก ไร้เสียงของสัตว์สวรรค์ เด็กชายเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ สายตาเหลือบไปเห็นดอกบัวสีทองอร่ามงดงามจับใจอยู่กลางบึงน้ำสีครามสวย“เจ้าดอกบัว” หากเก็บไปให้มารดาและบิดาเป็นของขวัญคงจะดีไม่น้อย เมื่อคิดแล้วก็ลงมือ กระบี่ที่บิดาเป็นผู้หลอมให้เป็นของขวัญถูกนำออกมา ก้อนแป้งน้อยเขวี้ยงกระบี่ออกไปหมายจะตัดดอกบัวสีทองออกมาจากบึงแต่ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ดอกบัวดอกนั้นหลบหลีกกระบี่มารของบิดาได้ ผ่านไปครู่หนึ่งดอกบัวสีทองก็แปลงกายเป็นสตรีใบหน้างดงาม“คุณชาย อย่าทำร้ายข้า” นางอ้อนวอนทั้งน้ำตา&ldq
หงหลางกางข่ายอาคมของตนเองครอบคลุมสวนดอกท้อซื่อหานตกใจ ร้องเสียงหลง“เจ้าจะทำอะไร”“ข้าไม่อยากให้ใครมาแอบดูพวกเราสองคนทำอะไรกัน” เขาไม่พูดเปล่า แต่มือไม้ยังวุ่นวายกับร่างกายของนาง“หงหลางหยุดก่อน” นางผายมือขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นข่ายอาคมของนางเอง“...” ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ“ชะ...ใช้ของข้า คนอื่นจะได้ไม่งงว่า เกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักวิเวก” นางกล่าวอึกอักหงหลางยิ้ม “เจ้านี่น่ารักจริง ๆ น่ารักมาตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน” ท่าทางเขินอายของนางทำเอาเขาอดเอ็นดูไม่ได้เสื้อผ้าของนางถูกถอดออกอย่างรวดเร็ว จนร่างกายเปลือยเปล่าส่วนตัวของเขาเองก็เช่นกัน ผู้เป็นจอมมารขบเม้มร่างกายของนางจนเป็นรอยตราสีแดงไปทั่วทั้งร่าง กลืนกินทุกสัดส่วนอย่างโหยหา กลิ่นนี้ น้ำเสียงนี้ และความรู้สึกนี้ที่เขาเฝ้าตามหามาโดยตลอด ในที่สุดนางก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครา“ซื่อหาน ข้าคิดถึง
ทรมานอยู่บนโลกมนุษย์อยู่หนึ่งร้อยปี ไร้รัก ไร้ทายาท ปกครองแผ่นดินเฉียนซีตามปณิธานของหลี่จื้อฉิงอย่างเคร่งครัด หงหลางจึงได้กลับคืนสู่ร่างเดิมของตนเอง เขาจำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ความเจ็บปวด ความรัก เขาล้วนแต่ไม่สามารถลืมได้ ไม่คิดว่าการผ่านด่านเคราะห์ของเขาในครั้งนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเช่นนี้มหาจอมมารหงหลางตามหาจิตวิญญาณของสตรีผู้นั้นอยู่นานนับร้อยปี เฝ้าค้นหาทั่วทั้งสามภพมิอาจปล่อยวางได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็มิอาจหานางจนพบ บุกขึ้นไปหาเทพซือมิ่งเพื่อสอบถามถึงสตรีที่มีนามว่าหลี่จื้อฉิง แต่บุรุษผู้นั้นเคร่งครัดในหน้าที่มิอาจเปิดเผยข้อมูลได้ในวันที่ดื่มสุราจนเมามาย เด็กชายหน้าตาน่ารักที่มีกลิ่นอายของมารและเซียนวิ่งเข้ามาในตำหนักศิลาจันทร์“ท่านพ่อ” เด็กชายยิ้มน่ารักเรียกเขาว่าพ่ออย่างไม่เคอะเขิน“เจ้าก้อนแป้งน้อย เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” โดยปกติทั่วไปหากเป็นเซียนที่มีตบะน้อยนิดมิอาจย่างกรายเข้ามาในตำหนักของเขาได้ แม้แต่เหยียบบนพื้นแผ่นดินมา เซียนระดับสูงก็มิ
เสียงเด็กวิ่งเล่นวุ่นวายทำให้ซื่อหานจำใจต้องลืมตาตื่น ร่างเล็กผินหน้ามองออกไปนอกตำหนัก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในตำหนักเซียนของนางจะมีเด็กมาอาศัยอยู่ยังไม่ทันที่นางจะได้ลุกไปไหน เด็กที่มีกลิ่นอายมารและเซียนผสมกันก็เปิดประตูวิ่งพรวดพราดเข้ามาหาทางที่เตียง“ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว” เด็กชายยิ้มตาหยี ที่ด้านหลังมีเซียนก้อนหินน้อยสือโต้วเดินตามเข้ามาซื่อหานใช้นิ้วแตะศีรษะของเด็กน้อยดันเจ้าก้อนแป้งสีขาวให้ห่างออกไปจากตัวนาง“ใครเป็นแม่ของเจ้ากัน” หญิงสาวมองก้อนแป้งสีขาวหน้าตาน่ารักอย่างงุนงง พร้อมกับมองไปยังสือโต้วที่ยืนทำหน้าตาตลกอยู่ด้านหลัง “เจ้าเป็นพ่อของเด็กคนนี้เหรอ”“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่เช่นนั้น ไว้มหาเทพตื่นให้เต็มที่เสียก่อนเดี๋ยวข้าน้อยและท่านเกาเจี๋ยจะเล่าให้ฟัง”“ท่านแม่ ท่านไม่รักข้าแล้วงั้นหรือ” เด็กชายร้องไห้“จู่ ๆ มาร้องไห้ได้ยังไงกัน” ซื่อหานเห็นเด็กชายผู้นี้ร้องไห้ หัวใจของนางพลันเจ็บปวด ตลอด
ครบกำหนดเวลาที่เขาวางเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นางจะปรากฏตัวออกมา ลานประหารที่ไช่เสิ่งเจี๋ยใช้ในการสังหารชาวบ้านในหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ ณ จัตุรัสกลางเมือง ประชาชนแห่งเฉียนซีไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกมาดู เพราะหวั่นเกรงว่าจะถูกลูกหลง การค้าทุกอย่างหยุดชะงักเพราะความบ้าระห่ำเลือดเย็นของผู้ปกครองแผ่นดิน ข้าราชบริพารขุนนางในราชสำนักเองก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ถูกปิดหน้าปิดตาถูกนำตัวขึ้นไปวางไว้บนลานประหารที่เขาสร้างเอาไว้ ส่วนตัวของไช่เสิ่งเจี๋ยเองนั่งอยู่เหนือลานประหาร สายตาและท่าทางเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ ดวงตากลายเป็นสีเทาไปนานแล้ว“จือจือ เจ้าจะไม่มาจริง ๆ หรือ เจ้าจะยอมให้เด็กน้อยที่น่าสงสารถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดงั้นหรือ” เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ท่ามกลางบ้านเรือนที่เงียบกริบราวกับป่าช้า ไร้เสียงของผู้คน มีแค่เพียงเสียงของฝูงอีกาและลมฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ เศษใบไม้ปลิวว่อนทั่วทั้งทางบริเวณ หวีดหวิวน่าวังเวงใจ ครู่เงาร่