LOGINหลังจากหลุดกิริยางดงามซัดพลังด้วยกำปั้นใส่คู่หมั้นจนหน้าหงายไปหลายหมัด
เว่ยลี่ที่รักษาจริตและมารยาทอันดีมาโดยตลอดก็เชิดหน้าจิกตามองบุรุษผู้มีเลือดกบปากอย่างโอหังเย่อหยิ่ง แววตาของนางยามนี้เรียกได้ว่าอำมหิตเกินคน ก่อนหันหลังเดินจากมาอย่างไม่ไยดี เมื่อกลับถึงจวนอาจารย์สอนหนังสือซุนซืออี้ นางก็เร่งจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่เข้าทาง ทำตัวให้กลายเป็นสตรีเรียบร้อยดุจเดิม
แมวป่าที่ตะปบเสือตัวร้ายเมื่อครู่พลันเปลี่ยนมาเป็นสตรีผู้มี ‘จิตใจงดงามและสุภาพอ่อนโยนกับทุกคน’
แม่นางน้อยยอบกายทักทายบิดาบุญธรรมกับพี่ชายอย่างอ่อนหวานไร้ซึ่งอาการโมโหร้ายอันใด หลังจากนั้นก็เข้าห้องส่วนตัว เอาแต่นั่งหน้านิ่วมุ่นคิ้วมิคลาย
แววตาแน่วนิ่งของดรุณีเอาแต่จับจ้องที่เปลวเทียนวูบไหว เพียรจดจ่ออยู่กับความคิดคะนึงถึงนามเว่ยลี่ที่ตนเองได้มาอย่างชอบธรรม รวมถึงเจ้าคู่หมั้นหน้าเหม็นผู้นั้นด้วย
แท้จริงเว่ยลี่ก็คือจ้าวเล่อเสีย ธิดาคนเดียวของชินอ๋องครองเมืองแคว้นจิน
ปีนี้นางอายุสิบหกปี เลือกท่องเที่ยวทั่วทิศเหนือตกออกใต้เพื่อเรียนรู้ใต้หล้า ทว่าสุดท้ายก็มาตกหลุมรักแรกพบกับบุรุษผู้หนึ่ง
เขาผู้นั้นก็คือ โจวอวี่
โจวอวี่คือคุณชายลูกผู้ดีในตระกูลมหาบัณฑิต บิดาของเขาคือโจวเจ๋อผู่ที่เป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้ายของฮ่องเต้ฉินอู่ตี้ อีกทั้งน้องสาวของบิดาหรือก็คือท่านอาคนงามยังเป็นถึงฮองเฮาโจวซื่ออีกด้วย หรือพูดอีกทีก็คือโจวอวี่ผู้นี้คือบุรุษผู้สูงส่งอย่างแท้จริง
นับว่าโชคดีที่แคว้นนี้คือแคว้นฉิน ซึ่งมีสัญญาพันธมิตรกับแคว้นจินตลอดรัชศกของฮ่องเต้ฉิน เรื่องสืบเสาะหรือเข้าหาโจวอวี่จึงไม่ยากเย็น
เพราะแท้จริงจักรพรรดิฉินอู่ตี้ผู้นี้คือบิดาของมารดานาง[1] หรือก็คือท่านตาของนางนั่นเอง
เพียงแต่มารดาของนางกับฮ่องเต้ฉินมีฐานะที่ไม่เปิดเผย อีกทั้งทุกฝ่ายยังสูงส่งด้วยบรรดาศักดิ์ราชนิกุลคนละแคว้น ดังนั้น นางกับท่านตาจึงนัดเจอกันเป็นกรณีพิเศษเฉพาะกิจ
ในฐานะหลานสาวซึ่งเกิดจากบุตรสาวของบุรุษที่รู้สึกผิดอย่างฮ่องเต้ฉิน พระองค์จึงตามใจนางอย่างไม่โต้แย้ง
เพียงนางเอ่ยปากว่าชมชอบโจวอวี่ พระองค์ก็สืบให้ทันทีว่าเขาไม่มีสัญญาหมั้นหมายกับสตรีใด อีกทั้งยังไม่มีใครเป็นคนของใจ เรียกว่าไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรคบนเส้นทางรัก
มีเพียงฐานะคลุมเครือของนางเท่านั้นที่เป็นปัญหา
ทว่าท้ายที่สุดฮ่องเต้ฉินก็ขจัดปัญหานั้นให้นางได้โดยที่ฐานะแท้จริงของนางไม่เปิดเผยว่าเป็นคนแคว้นใดแฝงตัวมา
ผลก็คือนางได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของซุนซืออี้
ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นคนสนิทของฉินอู่ตี้ นิสัยเรียบง่าย ใจดีมีเมตตา แม้ฐานะสูงส่งไม่ธรรมดาแต่กลับเป็นคนสมถะอย่างยิ่ง
ในจวนของเขาไม่มีใคร เพราะภรรยาตายจากไปหลายปี ตัวเขาไม่มีความคิดแต่งภรรยาใหม่ มีเพียงบุตรชายที่เป็นคนเก็บตัว มักปิดประตูเรือนคร่ำเคร่งกับตำรา
จ้าวเล่อเสียคำนับฝากตัวเป็นบุตรสาวบุญธรรมของเขาในนามซุนเว่ยลี่ คารวะซุนซูเย่เป็นพี่ชายอีกคนของนางอย่างเต็มใจ
ด้วยแคว้นฉินมีกฎระเบียบมาก ‘สตรีต้องถือหลักสงบเสงี่ยม’ ไม่นิยมสตรีต่อยตีเป็น ไม่ว่าลูกสาวชาวบ้านหรือลูกสาวตระกูลใหญ่ล้วนต้องอยู่ในจารีต คำนึงถึงคุณธรรมจรรยา ท่วงท่าเรียบร้อย ท่าทีอ่อนหวาน สงบเสงี่ยมเจียมตัว นอบน้อมถ่อมตน สำรวมกิริยาทุกย่างก้าว ทุกกระเบียดต้องดีงาม ยึดถือกฎเกณฑ์ของกุลสตรียิ่งชีพ
เช่นนี้ จ้าวเล่อเสียจึงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นางเก็บงำประกายและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองในทุกด้าน
อันที่จริงแม้จะขัดกับนิสัยดั้งเดิม แต่นางกลับเต็มใจยิ่ง เพราะเท่าที่สังเกต บุรุษส่วนใหญ่ล้วนชอบสตรีเรียบร้อยสง่างาม เชื่อฟังทำตาม ว่านอนสอนง่าย
ดูจากพี่สะใภ้ทั้งสองคนของนางปะไร
คนหนึ่งเป็นสตรีดีงามเก่งเรื่องอาหารและการครองเรือน ส่วนอีกคนแม้ฐานะพลิกผันจนตกต่ำทว่าคนกลับเรียบร้อยสง่างามหาใดเทียม ความนอบน้อมนั้นมองอย่างไรก็มิใช่แค่ถ่อมตนแต่เป็นการวางท่าทางอันเรียบง่ายเป็นธรรมชาติของสตรีสูงส่งเสียมากกว่า
[1] จากนิยายเรื่อง ‘ยามรักปักใจ’
ชั่วขณะคิดการณ์อย่างละเอียดรอบคอบและถ้วนถี่ในเรื่องการเดินทางออกจากจวนสกุลโจว เสียงบ่าวชายพลันดังอยู่หน้าประตูห้องอย่างตื่นลน“เรียนคุณชายรอง ท่านเสนาบดีเรียกพบขอรับ”ลู่ซีรีบเก็บตลับยาใส่กล่องไม้หันมากล่าวกับผู้เป็นนายอย่างตื่นเต้น “ย่อมเป็นเรื่องคุณหนูซุนแน่นอนขอรับ”โจวอวี่ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “ต้องใช่อยู่แล้วน่ะสิ”ถึงขนาดกลับจากสำนักพระราชวังเร็วกว่าที่คิดเชียวหรือ บิดาใจร้อนใช่ย่อย เขายังไม่ทันเก็บสัมภาระเลยชายหนุ่มลุกขึ้นยืน กางแขนออกให้คนสนิทจัดเสื้อผ้าให้ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินสง่าออกจากเรือนไปอย่างผ่าเผยครั้นมาถึงโถงหลัก ถ้วยชาพลันลอยวูบเข้าหาในพริบตา โจวอวี่เบี่ยงใบหน้าหลบในเสี้ยวเวลา เขายกมือสกัดเอาไว้ได้ทัน กุมไว้ในมือมั่น พลางเดินเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย กวาดตามองนิ่งๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่สะเทือนต่อความพิโรธใดๆเบื้องหน้าของเขาคือโจวเจ๋อผู่ผู้เป็นบิดา ด้านข้างฝั่งซ้ายมือคือฮูหยินเอกคนปัจจุบันที่ขึ้นมาแทนที่มารดาผู้ล่วงลับของเขา นางมีนามว่า จูเข่อเหริน ส่วนฝั่งด้านขวาคือพี่ชายที่เพิ่งเข้าสกุลมาด้วยฐานะบุตรชายคนโตในฮูหยินเอก โจวจือหยวนภาพสามคนพ่อแม
หลังจากสะบั้นเยื่อใยกับคู่หมั้นของตนเป็นผลสำเร็จ แต่คนผู้หนึ่งแทนที่จะรู้สึกได้รับอิสรภาพคืนมา กลับรู้สึกเสมือนพลั้งมือทำสิ่งสำคัญหล่นหายไปโจวอวี่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกเช่นนี้ อาจเป็นเพราะหมัดน้อยๆ นั่นกระมังที่ทำให้สตรีจืดชืดเริ่มน่าสนใจขึ้นมา ใบหน้าจิ้มลิ้มที่มักประดับรอยยิ้มอันเหมาะสมตลอดเวลาจนน่าเบื่อนั้น ยามมีโทสะจนตาโตแก้มพองเหตุใดถึงน่ามองกันเล่า?หรือธาตุแท้ยามหลุดกิริยาเสแสร้งจะเป็นอีกคนที่น่าค้นหาบ้าไปแล้ว...เสแสร้งก็คือแกล้งมารยาสาไถย นางไม่จริงใจมิใช่หรือไร?ภาพของสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงามและเย้ายวนรวมถึงบุคลิกที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์ถูกแทนที่ด้วยสตรีสีหน้าบูดบึ้งจนตาโตน่าขันไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองแบบที่แตกต่างสุดขั้วคือสตรีคนเดียวกันชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองอยู่เช่นนั้น กระทั่งบ่าวชายบรรจงลงน้ำหนักมือตรงบาดแผลนั่นล่ะเขาจึงได้สติกลับมา“โอ๊ะ! เจ้า เบาๆ หน่อย”“ขอรับๆ”โจวรั่วหวาที่นั่งมองคนมีสภาพไม่ต่างจากไปกัดกับหมาป่ามาอยู่เป็นนานก่อนถอนหายใจกล่าวอย่างอดมิได้“พี่รองทำเกินไปจริงๆ เป็นใครจะทนได้กัน”หากเป็นนาง ได้เห็นคู่หมั้นของตนพาหญิงอื่นไปเดินเที่ยวย่ำราตรีแบบน
ชื่อเสียงดีเลิศที่สั่งสมก็เพื่อตอบแทนพวกเขาสองคนพ่อลูกที่ดูแลนางอย่างดีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา“เว่ยลี่...เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ?” แม้แววตาจะแตกตื่นตกใจเพียงใด แต่ซุนซืออี้ก็ถามด้วยความสุขุมเคร่งขรึมตามวิสัยซุนซูเย่ก็เช่นกัน เขาถามน้องสาวด้วยสุ้มเสียงสำรวมอย่างเป็นห่วงเป็นใย “น้องเว่ยลี่หอบห่อผ้าเช่นนี้ จะไปที่ใดหรือ?”กระนั้น แม้ทั้งสองจะรักษาท่าทางสุภาพปานใด หากแต่จ้าวเล่อเสียกลับจับสังเกตปฏิกิริยาที่ผิดปกติเล็กน้อยได้“พวกท่านมีสิ่งใดทำให้ไม่สบายใจหรือไร ไยหัวคิ้วขมวด”ซุนซืออี้เอามือไพล่หลังส่ายหน้าเบาๆ พลางทอดถอนใจอย่างไม่รู้จะกล่าวอย่างไร เป็นซุนซูเย่ที่เดินเข้ามาหาจ้าวเล่อเสีย จับบ่าน้อยๆ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แล้วค่อยๆ เอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม“เมื่อครู่โจวอวี่ของเจ้าเข้าพบท่านพ่อด้วยหน้าตาบวมปูด เขา...เอ่อ...” ท่าทางยามเอ่ยลำบากใจอย่างยิ่งจ้าวเล่อเสียยืนนิ่งเพื่อตั้งใจฟังอย่างสำรวมกิริยา ไร้ท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ ทว่าฝ่ายซุนซูเย่กลับยังคงมีสีหน้ามิสู้ดีเท่าใดนักด้วยไม่รู้จะถนอมน้ำใจคนฟังอย่างไรยามกล่าวประโยคต่อมาว่า “เขาบอกว่าบาดแผลที่ได้รับ ล้วนเป็นฝีมือเจ้า”จ้าวเล่อเสียยังคงสงว
ที่สำคัญ มารดาของนาง ตอนที่บิดาเกิดรักปักใจก็ล้วนแต่เป็นช่วงที่แสดงออกเพียงด้านน่ารักและเรียบร้อยอ่อนหวานดังนั้น จ้าวเล่อเสียจึงตั้งมั่นเป็นสตรีดีงามดรุณีน้อยเฝ้าฝึกฝนศาสตร์สตรีแต่เก็บงำประกายที่แท้จริง บ่มเพาะตนเพื่อว่าที่สามีนามโจวอวี่ โชคดีที่นางปราดเปรื่องหัวไว เรียนรู้สิ่งใดล้วนทำออกมาได้ดีนางอยู่ที่จวนซุนร่ำเรียนศาสตร์สตรีทุกแขนงจนแตกฉาน กลายเป็นกุลสตรีไร้ที่ติภายในเวลาไม่นานยามมีงานเลี้ยงจิบชาชมบุปผาตามฤดูในจวนขุนนางต่างๆ นางไม่เคยพลาดพลั้งทำเสียชื่อเสียง มีเพียงนามที่กระเดื่องเลื่องลือในด้านคุณธรรมจรรยา มีมารยาทสุภาพอ่อนโยนไม่ค้านสายตาผู้ใด เป็นที่ชื่นชมอย่างยิ่ง แม้แต่องค์ชายหลายคนยังหมายตานาง ถึงขั้นยามร่ำเรียนกับซุนซืออี้ยังแอบแวะเวียนมาคารวะอาจารย์บ่อยขึ้นเพื่อให้ได้เห็นนางจากที่ไกลๆนางเองก็ทำตัวเหมาะสมอย่างยิ่ง ไม่สุงสิงข้องแวะกับผู้ใด ทั้งที่พวกเขาหากนับลำดับล้วนเป็นหลานท่านตาฉินอู่ตี้เหมือนกันนางกับองค์ชายหนุ่มเหล่านั้นเป็นญาติพี่น้องกันก็จริงสมควรอย่างยิ่งกับการผูกไมตรีโดยไม่เผยสายสัมพันธ์ใดๆ หากแต่นางก็ไม่เคยพูดคุยด้วยสักคำ เพียรคงภาพลักษณ์กุลสตรีเป็นสำคัญเพื่อ
หลังจากหลุดกิริยางดงามซัดพลังด้วยกำปั้นใส่คู่หมั้นจนหน้าหงายไปหลายหมัด เว่ยลี่ที่รักษาจริตและมารยาทอันดีมาโดยตลอดก็เชิดหน้าจิกตามองบุรุษผู้มีเลือดกบปากอย่างโอหังเย่อหยิ่ง แววตาของนางยามนี้เรียกได้ว่าอำมหิตเกินคน ก่อนหันหลังเดินจากมาอย่างไม่ไยดี เมื่อกลับถึงจวนอาจารย์สอนหนังสือซุนซืออี้ นางก็เร่งจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่เข้าทาง ทำตัวให้กลายเป็นสตรีเรียบร้อยดุจเดิมแมวป่าที่ตะปบเสือตัวร้ายเมื่อครู่พลันเปลี่ยนมาเป็นสตรีผู้มี ‘จิตใจงดงามและสุภาพอ่อนโยนกับทุกคน’แม่นางน้อยยอบกายทักทายบิดาบุญธรรมกับพี่ชายอย่างอ่อนหวานไร้ซึ่งอาการโมโหร้ายอันใด หลังจากนั้นก็เข้าห้องส่วนตัว เอาแต่นั่งหน้านิ่วมุ่นคิ้วมิคลายแววตาแน่วนิ่งของดรุณีเอาแต่จับจ้องที่เปลวเทียนวูบไหว เพียรจดจ่ออยู่กับความคิดคะนึงถึงนามเว่ยลี่ที่ตนเองได้มาอย่างชอบธรรม รวมถึงเจ้าคู่หมั้นหน้าเหม็นผู้นั้นด้วยแท้จริงเว่ยลี่ก็คือจ้าวเล่อเสีย ธิดาคนเดียวของชินอ๋องครองเมืองแคว้นจินปีนี้นางอายุสิบหกปี เลือกท่องเที่ยวทั่วทิศเหนือตกออกใต้เพื่อเรียนรู้ใต้หล้า ทว่าสุดท้ายก็มาตกหลุมรักแรกพบกับบุรุษผู้หนึ่งเขาผู้นั้นก็คือ โจวอวี่โจวอวี่คือคุณช
โปรย‘หากปรารถนาหัวใจสุภาพชนมาครอง จำต้องเรียบร้อยอ่อนหวาน พึงสำรวมกิริยา นุ่มนวลอ่อนโยน มิอาจห้าวหาญเผยท่าทีก้าวร้าว อย่าทำให้ชายในดวงใจสะดุ้งหวาดกลัวเชียว’ปฐมบททุกปีงานเลี้ยงล่องเรือสำราญชมบุปผาผลิบานริมธารา ล้วนจัดขึ้นที่ทะเลสาบหลวงแคว้นฉินดรุณีน้อยวัยแรกแย้มจากสกุลชนชั้นสูงต่างลุกจากเตียงอุ่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่รับอรุณ เพื่อรับการปรนนิบัติแต่งกายให้งดงามที่สุดหมายเข้าร่วมงานให้ทันกาลบุรุษวัยหนุ่มแน่นก็เช่นกันหลายคนต่างตบเท้าเข้าร่วมงานเพื่อได้ยลโฉมงามวัยสะพรั่ง เฟ้นหาว่าที่ภรรยาแต่บางคนกลับถูกบังคับให้มาด้วยหน้าที่เท่านั้นครั้นได้เวลาเปิดงาน ทุกคนถูกเชิญขึ้นเรือร่วมลำ บุรุษฝั่งซ้าย สตรีฝั่งขวา มีเชื้อพระวงศ์เป็นประธานพิธีเปิดงานคือองค์รัชทายาทและพระชายางานนี้เป็นเพียงงานเดียวในรอบปีของแคว้นฉินที่เปิดโอกาสให้ชายหญิงได้พบปะทำความรู้จักกันอย่างผ่าเผยสตรีทั้งหลายตื่นเต้นกันมาก หากโชคดีย่อมเข้าตาบุรุษจากสกุลเรืองอำนาจเสริมบารมีให้จวนตน ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติ แต่ก็มีสตรีบางคนที่ต้องมาตามคำสั่ง เพื่อทำตัวงามสง่าดุจนางพญาหมายเฟ้นหาบุรุษดีๆ ให้บิดามารดา เพิ่มวาสนาให้วงศ์ตระกูล







