LOGINนับว่าโชคดีที่หลายครั้งเมื่อสบโอกาสออกทำงานตามหน้าที่ยังต่างเมือง เขาได้พาจูเข่อเหรินปลอมตัวไปด้วยกันโดยสะดวก เรียกว่าความรักความสัมพันธ์ไม่เคยห่างหาย ยามต้องเดินทางไกลร่วมทุกข์ร่วมสุขยิ่งรักมั่นแน่นแฟ้น
โจวเจ๋อผู่ทำเช่นนี้มาเนิ่นนาน ยามอยู่กับจูเข่อเหรินเขาคือหนุ่มน้อยแรกรัก อบอุ่นอ่อนหวาน ยิ้มเก่ง เป็นตัวของตัวเอง แต่ยามกลับเข้าบ้านก็เป็นอีกคนที่สุขุมเคร่งขรึมและซื่อสัตย์จริงใจ รักใคร่เพียงฮูหยินของตน
การรับอนุเข้ามาล้วนทำไปด้วยเหตุผลเชื่อมสัมพันธ์ทางการเมืองเสริมอำนาจให้สกุล
ซึ่งแน่นอนว่าล้วนเป็นคนของเฉินรุ่ยฟางเพื่อง่ายต่อการควบคุมหลังเรือน
นางควบคุมอนุอยู่หมัด หากอนุคนใดคลอดบุตรชาย มิทันครบขวบเป็นอันต้องสิ้นชีพทุกรายโดยไร้หลักฐานเอาผิดใคร
และยังควบคุมสามีโดยอนุอย่างมีชั้นเชิงไร้ที่ติ บุรุษผู้หนึ่งจึงถูกควบคุมขนาบข้างซ้ายขวาและด้านหน้าด้านหลังตลอดเวลา
อีกทั้งการแต่งอนุคนแล้วคนเล่ากลับทำให้สตรีอันเป็นที่รักต้องชอกช้ำแสนสาหัสมิเว้นวัน
ครั้งหนึ่งจูเข่อเหรินถึงขั้นหอบลูกในครรภ์หนีโจวเจ๋อผู่ไปเพื่อตัดปัญหา เป็นเขาที่ออกตามหานางแทบพลิกแผ่นดินแคว้นฉิน เบื้องหน้ากระทำการใดล้วนสุขุมด้วยระวังแต่เบื้องหลังคนแทบคลั่ง กว่าจะได้ตัวนางในดวงใจกลับคืนมาไม่ง่ายเลย
เรียกได้ว่าอุปสรรคทางรักระหว่างโจวเจ๋อผู่กับจูเข่อเหรินล้วนเต็มไปด้วยขวากหนามและเข็มร้อนแหลมคมนับหมื่นแสน
ทางฝั่งเฉินรุ่ยฟาง นางเริ่มระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เคยจบสิ้นระหว่างจูเข่อเหรินกับสามีของตัวเองมากขึ้นทุกที
ทว่าจนแล้วจนรอดนางพิสูจน์ไม่ได้ พยานหลักฐานล้วนไม่มีไม่มีสิ่งผิดปกติอันใดปรากฏให้เห็นแม้สักนิด หากแต่สัญชาตญาณของอิสตรีทำให้นางปักใจเชื่อในสิ่งที่คิดตลอดเวลา
โจวเจ๋อผู่เองก็เริ่มสังเกตเห็นอาการระแคะระคายนี้
เขาย่อมระมัดระวังมากกว่าเดิม แนบเนียนมากยิ่งขึ้น เพียงแต่ด้วยนิสัยร้ายกาจของเฉินรุ่ยฟาง นางทำให้จวนร้อนเป็นไฟในทุกวันท้ายที่สุด เพลิงผลาญที่รุ่มเร้าในจิตใจย่อมกัดกินร่างกายจนเสียสุขภาพ เฉินรุ่ยฟางล้มป่วยเพราะมารริษยาในใจคอยกัดกิน และค่อยๆ ตายอย่างไร้ทางเยียวยา
นางนอนตายทั้งน้ำตา ดวงหน้าซีดขาวแต่หลากอารมณ์นั้นช่างน่าเวทนา ทว่าปราศจากความเห็นใจจากสามี...
ห้องบรรพชนสกุลโจว ป้ายวิญญาณหนึ่งคล้ายเดียวดายกว่าป้ายวิญญาณอื่น
ร่างสูงสง่าของโจวอวี่ยืนสงบนิ่งมองป้ายนี้เงียบงันเนิ่นนาน เป็นป้ายวิญญาณที่มองแล้วให้รู้สึกถึงความเศร้าและความเหงาที่กัดกินลึกไปถึงกระดูกของคนเป็นลูกเช่นเขาอย่างยิ่ง
ภาพของมารดาผู้งดงามที่มักเอาแต่ใจอยู่เสมอไม่ว่าบิดาจะคอยเอาอกเอาใจเพียงใดยังคงสะท้อนอยู่ในห้วงภวังค์ตั้งแต่ครั้งที่เขายังเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อย
เมื่อเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นก็ยังเห็นบิดาที่ยังคงพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจแต่มารดากลับเอาแต่ใจมากกว่าเดิม เรียกร้องมากขึ้น นางเกรี้ยวกราดอาละวาดอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ บุตรชายที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมเพราะเป็นคนสำคัญของสกุลถูกกีดกันให้ออกห่างนอกวงจรปัญหาของบิดามารดาเช่นเขาจึงไม่เคยรับรู้อันใด วันๆ เอาแต่ร่ำเรียนตามหน้าที่พึงมีจนได้เป็นคุณชายอันดับหนึ่งในสำนักศึกษาสมกับชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ การมีบ่าวไพร่ล้อมหน้าล้อมหลังมากมายทำให้ห่างข้างกายบุพการี ครั้นรู้อีกทีก็เป็นตอนที่มารดาเจ็บป่วยจนเกินเยียวยาไร้ทางแก้ไข
วันที่มารดาตายจากไปเขากลับมาไม่ทันล่ำลาด้วยซ้ำ
โจวอวี่จุดธูปเซ่นไหว้มารดาเงียบๆ เนิ่นนานก็ยังไร้วาจา มีเพียงแววตาทอดอาลัย หากแต่ในใจกลับตะโกนกู่ก้องขออภัยแทนมารดาไม่หยุด
เรื่องรักสามเศร้าเคล้าน้ำตาอำมหิตระหว่างบิดามารดาและจูเข่อเหริน โจวอวี่เพิ่งรู้เมื่อไม่นานจากปากคนสนิทของบิดา
อีกฝ่ายมีนามว่าอาสือ เป็นบ่าวชายที่เติบโตและเคียงข้างกับโจวเจ๋อผู่ตั้งแต่เด็ก เป็นบุรุษเงียบขรึมพูดน้อยถนอมคำ หากแต่นิสัยสัตย์ซื่อเถรตรงที่สุดเท่าที่เขาเคยพบพาน หากอาสือเอ่ยคำใดนั่นคือเชื่อถือได้มากที่สุดคนหนึ่ง
ตอนเยาว์วัยโจวอวี่คือบุตรที่มีบิดาห่วงแต่งานมิใคร่ใส่ใจและมีมารดาที่เอาแต่ไล่ตามบิดาไม่เคยมาดูแลมอบความรักให้ เขาก็มีเพียงอาสือผู้นี้ที่คอยปลอบประโลมยามร้องไห้
นับว่าโชคดีที่หลายครั้งเมื่อสบโอกาสออกทำงานตามหน้าที่ยังต่างเมือง เขาได้พาจูเข่อเหรินปลอมตัวไปด้วยกันโดยสะดวก เรียกว่าความรักความสัมพันธ์ไม่เคยห่างหาย ยามต้องเดินทางไกลร่วมทุกข์ร่วมสุขยิ่งรักมั่นแน่นแฟ้นโจวเจ๋อผู่ทำเช่นนี้มาเนิ่นนาน ยามอยู่กับจูเข่อเหรินเขาคือหนุ่มน้อยแรกรัก อบอุ่นอ่อนหวาน ยิ้มเก่ง เป็นตัวของตัวเอง แต่ยามกลับเข้าบ้านก็เป็นอีกคนที่สุขุมเคร่งขรึมและซื่อสัตย์จริงใจ รักใคร่เพียงฮูหยินของตนการรับอนุเข้ามาล้วนทำไปด้วยเหตุผลเชื่อมสัมพันธ์ทางการเมืองเสริมอำนาจให้สกุลซึ่งแน่นอนว่าล้วนเป็นคนของเฉินรุ่ยฟางเพื่อง่ายต่อการควบคุมหลังเรือนนางควบคุมอนุอยู่หมัด หากอนุคนใดคลอดบุตรชาย มิทันครบขวบเป็นอันต้องสิ้นชีพทุกรายโดยไร้หลักฐานเอาผิดใครและยังควบคุมสามีโดยอนุอย่างมีชั้นเชิงไร้ที่ติ บุรุษผู้หนึ่งจึงถูกควบคุมขนาบข้างซ้ายขวาและด้านหน้าด้านหลังตลอดเวลาอีกทั้งการแต่งอนุคนแล้วคนเล่ากลับทำให้สตรีอันเป็นที่รักต้องชอกช้ำแสนสาหัสมิเว้นวันครั้งหนึ่งจูเข่อเหรินถึงขั้นหอบลูกในครรภ์หนีโจวเจ๋อผู่ไปเพื่อตัดปัญหา เป็นเขาที่ออกตามหานางแทบพลิกแผ่นดินแคว้นฉิน เบื้องหน้ากระทำการใดล้วน
เมื่อผู้เป็นนายว่าอย่างนั้น บ่าวไหนเลยจะกล่าวคำใดได้อีก ลู่ซีจึงค้อมกายเดินตามหลังโจวอวี่ไปอย่างเชื่อฟังบาดแผลของโจวอวี่แท้จริงมิได้หนักหนาอันใด เพียงเป็นรอยหมัดรอยเล็บขีดข่วนบนใบหน้าเท่านั้น แต่ปกติแล้วชายหนุ่มมีผิวพรรณที่ดีมากเหมือนมารดา ทั้งเนียนและขาวกระจ่างสะอาดตา การมีริ้วรอยเช่นนี้แม้เพียงเล็กน้อยทว่าย่อมโดดเด่นสะดุดตา กระนั้นบิดากลับไม่ถาม ทำเอาคนเป็นลูกให้รู้สึกยากจะบรรยาย“น้องรอง ช้าก่อน”เสียงทุ้มต่ำนั้นทำโจวอวี่หยุดเดินก่อนเอียงหน้าปรายตามองเงียบๆผู้เรียกคือโจวจือหยวน เขาเดินตามโจวอวี่ออกมาจากโถง “เจ้ากลับไปขอโทษท่านพ่อเถิด เรื่องราวจะได้ไม่บานปลายใหญ่โตไปมากกว่านี้ ส่วนเรื่องแม่นางน้อยซุนเว่ยลี่ค่อยๆ พูดจากันดีๆ ย่อมแก้ไขได้ เจ้ากับท่านพ่ออย่าได้มีเรื่องหมางใจกันเลย”สีหน้าและแววตาของโจวจือหยวนสุภาพอ่อนโยน น้ำเสียงยังสัตย์ซื่อจริงใจปานนั้น ไม่ว่าจะมองจากมุมใดล้วนสมควรได้รับความไว้วางใจ ใครที่คิดคลางแคลงย่อมมีจิตใจที่ดำมืดไม่บริสุทธิ์โจวอวี่มองพี่ชายนิ่งนาน ไร้ซึ่งวาจา แววตาเย็นชาลึกล้ำประหนึ่งก้นบึงน้ำแข็งที่ลึกลับยากหยั่งถึง“น้องรอง...” โจวจือหยวนครางชื่อน้องชายอย่
ชั่วขณะคิดการณ์อย่างละเอียดรอบคอบและถ้วนถี่ในเรื่องการเดินทางออกจากจวนสกุลโจว เสียงบ่าวชายพลันดังอยู่หน้าประตูห้องอย่างตื่นลน“เรียนคุณชายรอง ท่านเสนาบดีเรียกพบขอรับ”ลู่ซีรีบเก็บตลับยาใส่กล่องไม้หันมากล่าวกับผู้เป็นนายอย่างตื่นเต้น “ย่อมเป็นเรื่องคุณหนูซุนแน่นอนขอรับ”โจวอวี่ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “ต้องใช่อยู่แล้วน่ะสิ”ถึงขนาดกลับจากสำนักพระราชวังเร็วกว่าที่คิดเชียวหรือ บิดาใจร้อนใช่ย่อย เขายังไม่ทันเก็บสัมภาระเลยชายหนุ่มลุกขึ้นยืน กางแขนออกให้คนสนิทจัดเสื้อผ้าให้ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินสง่าออกจากเรือนไปอย่างผ่าเผยครั้นมาถึงโถงหลัก ถ้วยชาพลันลอยวูบเข้าหาในพริบตา โจวอวี่เบี่ยงใบหน้าหลบในเสี้ยวเวลา เขายกมือสกัดเอาไว้ได้ทัน กุมไว้ในมือมั่น พลางเดินเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย กวาดตามองนิ่งๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่สะเทือนต่อความพิโรธใดๆเบื้องหน้าของเขาคือโจวเจ๋อผู่ผู้เป็นบิดา ด้านข้างฝั่งซ้ายมือคือฮูหยินเอกคนปัจจุบันที่ขึ้นมาแทนที่มารดาผู้ล่วงลับของเขา นางมีนามว่า จูเข่อเหริน ส่วนฝั่งด้านขวาคือพี่ชายที่เพิ่งเข้าสกุลมาด้วยฐานะบุตรชายคนโตในฮูหยินเอก โจวจือหยวนภาพสามคนพ่อแม
หลังจากสะบั้นเยื่อใยกับคู่หมั้นของตนเป็นผลสำเร็จ แต่คนผู้หนึ่งแทนที่จะรู้สึกได้รับอิสรภาพคืนมา กลับรู้สึกเสมือนพลั้งมือทำสิ่งสำคัญหล่นหายไปโจวอวี่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกเช่นนี้ อาจเป็นเพราะหมัดน้อยๆ นั่นกระมังที่ทำให้สตรีจืดชืดเริ่มน่าสนใจขึ้นมา ใบหน้าจิ้มลิ้มที่มักประดับรอยยิ้มอันเหมาะสมตลอดเวลาจนน่าเบื่อนั้น ยามมีโทสะจนตาโตแก้มพองเหตุใดถึงน่ามองกันเล่า?หรือธาตุแท้ยามหลุดกิริยาเสแสร้งจะเป็นอีกคนที่น่าค้นหาบ้าไปแล้ว...เสแสร้งก็คือแกล้งมารยาสาไถย นางไม่จริงใจมิใช่หรือไร?ภาพของสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงามและเย้ายวนรวมถึงบุคลิกที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์ถูกแทนที่ด้วยสตรีสีหน้าบูดบึ้งจนตาโตน่าขันไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองแบบที่แตกต่างสุดขั้วคือสตรีคนเดียวกันชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองอยู่เช่นนั้น กระทั่งบ่าวชายบรรจงลงน้ำหนักมือตรงบาดแผลนั่นล่ะเขาจึงได้สติกลับมา“โอ๊ะ! เจ้า เบาๆ หน่อย”“ขอรับๆ”โจวรั่วหวาที่นั่งมองคนมีสภาพไม่ต่างจากไปกัดกับหมาป่ามาอยู่เป็นนานก่อนถอนหายใจกล่าวอย่างอดมิได้“พี่รองทำเกินไปจริงๆ เป็นใครจะทนได้กัน”หากเป็นนาง ได้เห็นคู่หมั้นของตนพาหญิงอื่นไปเดินเที่ยวย่ำราตรีแบบน
ชื่อเสียงดีเลิศที่สั่งสมก็เพื่อตอบแทนพวกเขาสองคนพ่อลูกที่ดูแลนางอย่างดีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา“เว่ยลี่...เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ?” แม้แววตาจะแตกตื่นตกใจเพียงใด แต่ซุนซืออี้ก็ถามด้วยความสุขุมเคร่งขรึมตามวิสัยซุนซูเย่ก็เช่นกัน เขาถามน้องสาวด้วยสุ้มเสียงสำรวมอย่างเป็นห่วงเป็นใย “น้องเว่ยลี่หอบห่อผ้าเช่นนี้ จะไปที่ใดหรือ?”กระนั้น แม้ทั้งสองจะรักษาท่าทางสุภาพปานใด หากแต่จ้าวเล่อเสียกลับจับสังเกตปฏิกิริยาที่ผิดปกติเล็กน้อยได้“พวกท่านมีสิ่งใดทำให้ไม่สบายใจหรือไร ไยหัวคิ้วขมวด”ซุนซืออี้เอามือไพล่หลังส่ายหน้าเบาๆ พลางทอดถอนใจอย่างไม่รู้จะกล่าวอย่างไร เป็นซุนซูเย่ที่เดินเข้ามาหาจ้าวเล่อเสีย จับบ่าน้อยๆ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แล้วค่อยๆ เอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม“เมื่อครู่โจวอวี่ของเจ้าเข้าพบท่านพ่อด้วยหน้าตาบวมปูด เขา...เอ่อ...” ท่าทางยามเอ่ยลำบากใจอย่างยิ่งจ้าวเล่อเสียยืนนิ่งเพื่อตั้งใจฟังอย่างสำรวมกิริยา ไร้ท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ ทว่าฝ่ายซุนซูเย่กลับยังคงมีสีหน้ามิสู้ดีเท่าใดนักด้วยไม่รู้จะถนอมน้ำใจคนฟังอย่างไรยามกล่าวประโยคต่อมาว่า “เขาบอกว่าบาดแผลที่ได้รับ ล้วนเป็นฝีมือเจ้า”จ้าวเล่อเสียยังคงสงว
ที่สำคัญ มารดาของนาง ตอนที่บิดาเกิดรักปักใจก็ล้วนแต่เป็นช่วงที่แสดงออกเพียงด้านน่ารักและเรียบร้อยอ่อนหวานดังนั้น จ้าวเล่อเสียจึงตั้งมั่นเป็นสตรีดีงามดรุณีน้อยเฝ้าฝึกฝนศาสตร์สตรีแต่เก็บงำประกายที่แท้จริง บ่มเพาะตนเพื่อว่าที่สามีนามโจวอวี่ โชคดีที่นางปราดเปรื่องหัวไว เรียนรู้สิ่งใดล้วนทำออกมาได้ดีนางอยู่ที่จวนซุนร่ำเรียนศาสตร์สตรีทุกแขนงจนแตกฉาน กลายเป็นกุลสตรีไร้ที่ติภายในเวลาไม่นานยามมีงานเลี้ยงจิบชาชมบุปผาตามฤดูในจวนขุนนางต่างๆ นางไม่เคยพลาดพลั้งทำเสียชื่อเสียง มีเพียงนามที่กระเดื่องเลื่องลือในด้านคุณธรรมจรรยา มีมารยาทสุภาพอ่อนโยนไม่ค้านสายตาผู้ใด เป็นที่ชื่นชมอย่างยิ่ง แม้แต่องค์ชายหลายคนยังหมายตานาง ถึงขั้นยามร่ำเรียนกับซุนซืออี้ยังแอบแวะเวียนมาคารวะอาจารย์บ่อยขึ้นเพื่อให้ได้เห็นนางจากที่ไกลๆนางเองก็ทำตัวเหมาะสมอย่างยิ่ง ไม่สุงสิงข้องแวะกับผู้ใด ทั้งที่พวกเขาหากนับลำดับล้วนเป็นหลานท่านตาฉินอู่ตี้เหมือนกันนางกับองค์ชายหนุ่มเหล่านั้นเป็นญาติพี่น้องกันก็จริงสมควรอย่างยิ่งกับการผูกไมตรีโดยไม่เผยสายสัมพันธ์ใดๆ หากแต่นางก็ไม่เคยพูดคุยด้วยสักคำ เพียรคงภาพลักษณ์กุลสตรีเป็นสำคัญเพื่อ







