จูหลิงเหลือบมองถังหมิงหลีด้วยสายตาที่เย็นชา “นี่คุณแค่พาคนโกหกคนมาเจอฉันเหรอ? รังแกคนอื่นเกินไปหน่อยแล้วนะ”นี่คือลักษณะนิสัยของจูหลิง เธอเป็นคนพูดตรงไปตรงมา โดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในฐานะอะไรจึงทำให้ใครหลายคนขุ่นเคือง ตอนที่เธอมีอำนาจ ผู้คนเหล่านั้นต่างก็อดทนไว้ไม่พูดออกมา และหลังจากที่เธอสูญเสียอำนาจ ทุกคนก็คอยซ้ำเติมเหยียบย่ำเธอสีหน้าถังหมิงหลีเริ่มไม่ค่อยดี ขณะที่เขากำลังจะพูดบางอย่าง ฉันก็ถอดหมวกและหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของฉันจูหลิงหันมามอง ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง“นี่คือโรคเนื้องอกเส้นใยที่ฉันเริ่มเป็นตั้งแต่เด็ก หมอบอกว่ามันรักษาไม่หาย ฉันต้องอยู่กับใบหน้าแบบนี้ไปตลอดชีวิต” ฉันมองตรงเข้าไปในดวงตาของเธอแล้วพูดต่อ “แต่ฉันไม่เคยท้อแท้ ถึงแม้ว่าชีวิตจะยากลำบากแค่ไหน ฉันก็ต้องเข้มแข็งต่อไป เพราะฉะนั้น ฉันเข้าใจความเจ็บปวดของคุณดี คุณวางใจเถอะ ฉันไม่มีทางที่โกหกคุณหรอก”ดูเหมือนเธอจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจในคำพูดของฉัน เพราะหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถอนหายใจและพูดว่า “ได้ ฉันเต็มใจจะลองดู แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะ ถ้าไม่ได้ผลฉันจะไม่จ่ายเงินให้เธ
“ก็แค่ต้นจันทร์ขาวธรรมดา” เธอบอก “ฉันชอบกลิ่นที่หอมแบบผู้ดีของจันทร์ขาว”ฉันขมวดคิ้ว “กลิ่นนี้มันแปลก ๆ ฉันขอดูได้ไหมคะ”เนื่องด้วยความเชื่อใจอันล้นเหลือที่จูหลิงมีให้ฉัน เธอจึงพยักหน้าตกลง “เชิญตามสบาย”เวลานี้เอง ฉันก็สังเกตเห็นว่าสาวรับใช้วัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังออกอาการประหม่าเล็กน้อย ทำให้ฉันอดใจเต้นรัวตามไม่ได้หรือมันมีเรื่องลับลมคมในอะไรจริง ๆ งั้นเหรอ?ร่างบางเดินเข้ามาในห้อง พลันกลิ่นประหลาดนั้นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ฉันหยิบกระถางธูปดินเผาขึ้นมาเปิดดม พร้อมเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ในนี้เคยใส่ลั่วเสวียนฉ่าวเอาไว้!”ฉันตวัดหางตาเหลือบมองไปทางสาวรับใช้ทันควัน เมื่อได้ยินคำว่าลั่วเสวียนฉ่าว หล่อนก็มีสีหน้ากังวลใจขึ้นมาแวบหนึ่งจูหลิงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ลั่วเสวียนฉ่าวคืออะไร?”ฉันจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ลั่วเสวียนฉ่าวคือพืชชนิดหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การเกิดภาพหลอน ตอนเด็ก ๆ ที่ฉันอยู่ในชนบท เคยเจอกับแม่หมอผู้หลอกลวงคนหนึ่ง นางได้รับคำเชิญจากคนในครอบครัวฉันให้ไปเรียกคืนวิญญาณชายชราที่เพิ่งเสียชีวิตไป ผลคือนางไม่ได้มีความสามารถในการเรียกคืนวิญญาณนั้นเลย แต่นางใช้วิธีการเอ
ฉันรีบตอบตกลงในทันที แต่ในใจกลับคิดว่ามันไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่ เพราะเหมือนการมาช่วยรักษาบาดแผลให้เธอในครั้งนี้ ฉันเองก็เก็บค่ารักษาจากเธอด้วย แต่เธอคงแค่กำลังดีใจมากเลยพูดไปส่ง ๆ ฉันจะคิดจริงจังไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเหมือนพวกเชื่อคนง่ายน่ะสิขณะนั้นเอง การ์ดที่รับผิดชอบเฝ้าป้าซินก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน พร้อมพูดระรัวอย่างเป็นกังวล “คุณจูหลิง แย่แล้วครับ ป้าซินหนีไปแล้ว”“อะไรนะ?” จูหลินตวาดอย่างโมโห “แล้วนายปล่อยให้หล่อนหนีไปได้ยังไง?”การ์ดก้มหน้าลงอย่างละอายใจ “ผมผิดเองครับ คุณผู้หญิงโปรดอนุญาตให้ผมรับผิดชอบด้วยการลาออกเถอะนะครับ”พูดยังไม่ทันจบ เสียงอันเยือกเย็นของถังหมิงหลีก็พูดขึ้นมา “คุณไม่ต้องลาออกหรอก ไปที่สถานีตำรวจก่อนเถอะ”เขาเดินก้าวเท้ายาว ๆ เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าอึมครึม แล้วโยนป้าซินลงบนพื้นราวกับขยะอย่างไรอย่างนั้น ป้าซินตกใจจนตัวสั่น เธออ้อนวอนอย่างหวาดกลัว “คุณหนูใหญ่คะ ขอร้องเถอะค่ะ ครั้งนี้ปล่อยป้าไปนะคะ ป้าไม่อยากติดคุก”จูหลิงเองก็ไม่ได้โง่ เธอกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไหนป้าว่ามา ใครเป็นคนปล่อยป้าไป?”ป้าซินมองไปทางบอดี้การ์ดด้วยความสั่นกลัว
ฉันไปหาช่างไม้ฝีมือคนหนึ่ง เพื่อขอให้เขาทำดาบที่ทำมาจากไม้ท้อให้ มือเรียวถือดาบสีดำเล่มนี้ไว้ ความอุ่นของตัวดาบส่งผ่านออกมาจนทำให้ฉันรู้สึกถึงมันได้ แถมยังมีกลิ่นอายของพลังอยู่จาง ๆของทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว และเงินของฉันก็มาถึงจุดต่ำสุดอีกครั้งใช้จ่ายราวกับเทภูเขา หาเงินราวกับดึงไหมวันนี้ฉันได้รับสายโทรศัพท์จากจูหลิง เธอชวนฉันและถังหมิงหลีไปดูการแสดงสนุก ๆ ด้วยกันวันรุ่งขึ้น ที่งานแถลงข่าวภาพยนตร์เรื่องใหม่ของซุปเปอร์สตาร์หญิงซ่งน่า สื่อมวลชนทั่วประเทศต่างก็พากันมางานนี้ รวมถึงสื่อต่างชาติที่ก็พากันมาไม่น้อยเช่นกัน อีกทั้งยังมีแฟนครับที่ทำเอางานแถลงข่าวอัดแน่นไปด้วยผู้คนฉันและถังหมิงหลีนั่งอยู่ในรถของจูหลิง เมื่อรถเคลื่อนตัวจอดลงช้า ๆ เธอก็เปิดประตูลงมา นั่นทำให้เธอเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คนทันที “นั่นใครน่ะ?” มีคนเอ่ยถามเสียงเบา “สวยมากเลยอ่ะ”“เอ๊ะ? นั่นจูหลิงไม่ใช่เหรอ?” มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา“จูหลิงเหรอ? เธอไม่ได้เสียโฉมไปแล้วเหรอ?”“หรือว่าจะเป็นแค่ข่าวลือ? เธอดูหน้าของหล่อนสิ สวยขนาดนั้น ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่เสียโฉมเลยสักนิด”“จูหลิง ฉันรักคุณค่ะ
ซ่งน่ามองไปทางฟางหว๋าเจี้ยนด้วยความตื่นตระหนก แต่ฟางหว๋าเจี้ยนกลับคิดว่ายิ่งอยู่ห่างหล่อนเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น เขาทำตัวราวกับแมลงวัลที่กำลังซ่อนตัว เห็นดังนั้นนัยน์ตาของเธอก็เต็มไปด้วยความผิดหวังและความเกลียดชัง ซ่งน่ากัดฟังกรอด “คุณมันผู้ชายเลวที่ไร้หัวใจจริง ๆด้วย”เดิมทีฉันซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากเพื่อดูความวุ่นวาย แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่มันอึมครึม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กอายุราวสี่ห้าขวบนอนบาดเจ็บอยู่บนไฟสปอร์ตไลท์ ดวงตากลวงลึก ปากฉีกออก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่าสยดสยองกุมารเหรอ?ได้ยินมาว่า ตอนนี้นักแสดงหญิงหลายคนต่างก็ชอบเลี้ยงกุมารกันทั้งนั้น? หรือว่านี่จะเป็นของที่ซ่งน่าเลี้ยงเอาไว้?ฉันรีบเอามือถือออกมา แล้วเปิดห้องไลฟ์สดทันที พร้อมตั้งหัวข้อว่า ‘งานแถลงข่าวสุดสยองขวัญ ใครกันนะ ที่เป็นผู้บงการให้กุมารมาทำมาร้ายคน?’ฉันไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าซ่งน่าเป็นคนเลี้ยงกุมารโดยที่ฉันไม่มีหลักฐานอะไรเลยทันทีที่ห้องไลฟ์สดเริ่มขึ้น ก็มีผู้คนนับพันพรั่งพรูกันเข้ามาชม[แอดมินจู่ ๆ มาเปิดไลฟ์ตอนกลางวันแบบนี้แปลกจังเลยนะคะ เอ๊ะ นี่มันงานแถลงข่าวของซุปเปอร์สตาร์ซ่งน่า
กุมารนั้นพยายามดิ้นรนสุดชีวิต สุดท้ายก็สลายกลายเป็นควันดำและล่องลอยไปในอากาศ แต่คราวนี้มันไม่เข้าไปในจมูกและปากของฉัน อาจเป็นเพราะว่ากุมารตนนี้ไม่ได้ฆ่าคนมาก บาปจึงไม่ได้หนักหนานักขณะเดียวกัน ตำรวจนายนั้นก็จับซ่งน่ากลับมาได้แล้ว ตรงหน้าอกของเธอมีพระเครื่องแขวนอยู่ ข้างใน มันดูเหมือนผงสีขาวราง ๆนั่นเป็นผงกระดูกของกุมารฉันเรียกหล่อนทันที “ซ่งน่า เรื่องแผลที่หน้าของจูหลิง เธอก็เป็นคนทำใช่ไหม?”แต่ซ่งน่ากลับหลบสายตาฉัน “ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร?”ฉันพูดต่อ “ผีกุมารหัวล้านที่คุณเลี้ยงไว้ ใส่ชุดสีแดง ตอนแรกคุณกะจะให้กุมารตนนั้นลงมือขณะการถ่ายทำใช่ไหมคะ?”ซ่งน่าเบิกตากว้าง และสั่นสะท้านไปทั้งตัว “เธอ เธอรู้ได้ยังไง?”ฉันจึงกล่าวต่อด้วยความโกรธเคือง “การเลี้ยงกุมารเดิมทีแล้วเป็นพวกลัทธินอกรีด มันจะผลาญทำลายโชคลาภของตัวคุณเองจนหมดสิ้น แต่คุณก็ยังใช้มันมาทำร้ายคนอื่น ที่คุณมีจุดจบแบบนี้ มันก็สมควรแล้ว”ซ่งน่าเกิดร้อนรนขึ้นมา เธอตะโกนลั่น “แล้วทำไมยัยนั่นถึงได้ทุกอย่างที่ต้องการเสมอล่ะ ฉันมีอะไรที่เทียบกับมันไม่ได้บ้าง? หน้าตาฉันกับมันก็พอ ๆ กัน ด้านทักษะการแสดงฉันก็เก่งกว่ามัน
ฉันต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้! ร่างบางแช่อยู่ในอ่างยานานสองชั่วโมงเต็ม แต่มันกลับยาวนานราวกับผ่านไปแล้วหนึ่งศตวรรษ ฉันลุกออกมาจากถัง จากนั้นก็มาชำระล้างร่ายกาย ฉันรู้สึกสบายไปทั่วทั้งตัวอย่างกับว่าร่างกายได้ผ่อนคลายไปมาก รวมทั้งพละกำลังก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยจนสามารถยกถุงข้าวสารหนักยี่สิบห้ากิโลได้ด้วยมือเดียว ฉันทำการตรวจสอบภายในร่างกายของตัวเอง ก็พบว่าก้อนพลังงานนั้นเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแล้ว ขณะที่กำลังพอใจในตนเอง ก็มีสายโทรศัพท์จากถังหมิงหลีดังเข้ามาเสียก่อน น้ำเสียงของเขานั้นฟังดูหนักอึ้ง “จุนเหยา มีคนอยากพบเธอ” “ใคร” “เธอเคยได้ยินชื่อหน่วยเฉพาะกิจไหม?” ตอนที่อยู่บนรถ ถังหมิงหลีบอกฉันว่า ไลฟ์สดของฉันได้รับความสนใจจากหน่วยเฉพาะกิจ หน่วยเฉพาะกิจมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า กองสืบสวนหลักฐานเฉพาะกิจ แต่ละพื้นที่ในประเทศจะมีหน่วยย่อยแบ่งแยกกันออกไป สำหรับท่านที่มาวันนี้ก็คือหัวหน้าจินจากหน่วยงานประจำเมืองซานเฉิง เมื่อเดินเข้ามาในร้านกาแฟ ฉันก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหัวมุมด้านใน เขาอายุราวสามสิบกว่า ๆ รูปร่างดูแข็งแรงกำยำ ผิวเข้ม มีจิตวิญญาณความเป็นชายทั่วทั้งร่างกา
“หัวหน้าครับ หัวหน้าคิดว่าหยวนจุนเหยาคนนี้เป็นยังไงครับ?” ชายหนุ่มเปิดประตูรถพลางเอ่ยถามเขา “ดู ๆ แล้วก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร” คนเป็นหัวหน้าตอบ ชายหนุ่มกล่าวต่อว่า “หัวหน้าครับ ไม่อย่างนั้น คือว่าพวกเราควรจะส่งคนไปตามดูเธอไหมครับ?” “สำหรับตอนนี้ยังไม่จำเป็น” หัวหน้าจินมีนัยน์ตาที่ยากจะหยั่งถึง “ปล่อยให้เธอไลฟ์สดต่อไป มันเป็นความต้องการของคนเบื้องบน นั่นก็หมายความว่าคนคนนี้ได้เข้าตาผู้นำจากเบื้องบนแล้ว ทางที่ดีพวกเราไม่ต้องเข้าไปหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “พวกเวทมนตร์คาถา หรือแม้แต่วิธีการจับผีของเธอที่ใช้ขณะที่กำลังไลฟ์สดอยู่ พวกเราไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยนะครับ คนที่สำนักงานใหญ่พูดกันว่า ของพวกนั้นเป็นสิ่งที่เก่าแก่มาก บางทีคุณหยวนคนนี้อาจจะเป็นผู้สืบทอดมาแต่สมัยโบราณ และก็ไม่รู้ว่าเจ้านายของเธอจะเป็นคนประเภทไหน” หัวหน้าจินโบกมือ “เสี่ยวหลิน ช่องทางการติดต่อของนายฉันก็ให้เธอไว้แล้ว ถ้าคราวหลังเธอมีเรื่องอะไรให้ช่วย นายก็หัดกระตือรือร้นไว้หน่อย ฉันมีลางสังหรณ์ว่าการที่เราเชื่อมสัมพันธ์กับเธอไว้ จะต้องเกิดผลดีในภายหลังแน่” “ผมเข้าใจแล้วครับ หัวหน้า” คำพูดของหัวหน้า