สายลมของหน้าร้อนยังพัดเอากลิ่นทรายและเสียงจักจั่นกลับมาซ้ำ ๆ ในหัวเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ตอน
ฮิคารุจากไป ฉันมองว่าบางนักวิจารณ์มองการจากลานั้นเป็นสัญลักษณ์ของการตัดขาดจากวัยเด็ก—ไม่ใช่แค่การจากทางกายภาพ แต่เป็นการยุติความปลอดภัยทางอารมณ์ที่เมืองเล็ก ๆ นั้นเคยให้ไว้ พวกเขาชี้ว่าฤดูร้อนในเรื่องถูกใช้อย่างประณีตเพื่อขยายความรู้สึกร้อนฉ่าและชั่วคราว: แสงแดดจ้า เงาระบายของอาคารไม้ การละลายของเวลากลางวัน เป็นภาพพาให้ผู้อ่าน/ผู้ชมรู้สึกว่าการจากลาเกิดขึ้น
ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลงที่เร่งรีบ
อีกฝ่ายหนึ่งจากฝั่งบทวิเคราะห์เชิงองค์ประกอบให้ความสนใจกับช่องว่างที่ฮิคารุทิ้งไว้—ไม่เพียงแต่ช่องว่างในฉาก แต่เป็นช่องว่างเชิงเสียงและภาพที่ผู้สร้างตั้งใจปล่อยว่าง เช่นการเว้นจังหวะบทพูด การเก็บซาวด์สเคปของธรรมชาติไว้ยาว ๆ เพื่อให้ความเงียบกลายเป็นตัวแทนของความคิดถึง นักวิจารณ์กลุ่มนี้ยกตัวอย่างวิธีการตัดต่อภาพที่ทำให้เวลาหยุดชะงัก ซึ่งทำหน้าที่เป็นกระจกให้ตัวละครที่เหลือตระหนักถึงการเติบโตหรือความผิดหวังในภายหลัง
ฉันเองชอบมองว่าการจากไปของฮิคารุทำหน้าที่สองทาง: เป็นชนวนกระตุ้นให้ตัวละครอื่นเผชิญหน้ากับความเป็นจริง และเป็นช่องว่างให้ผู้ชมเติมความทรงจำเข้าไป นักวิจารณ์ที่เน้นองค์ประกอบภาพกับเสียงจึงถือว่าช่วงหน้าร้อนนี้สำคัญเพราะมันทำให้เรื่องไม่กลายเป็นการอธิบายทั้งหมด แต่กลับเป็นสนามให้ความเศร้าและความสำนึกโตขึ้นอย่างเงียบ ๆ — เหมือนบทเพลงจบลงด้วยคอร์ดที่ยังคงก้องในหู ไม่ใช่คำพูดอธิบายใด ๆ