อ่านบทสัมภาษณ์ของพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณครั้งแรกแล้วรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนที่เล่าเรื่องราวสำคัญในชีวิตให้ฟังด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่หนักแน่น ฉันเห็นแรงบันดาลใจสำคัญสองสามอย่างที่คนเขียนหยิบมาบอกเล่า: ความทรงจำจากชนบทและบ้านเกิดที่ฝังอยู่ในรายละเอียดภาพธรรมชาติ, ประสบการณ์ครอบครัวและการเผชิญหน้ากับความสูญเสียที่ทำให้ภาษาเขามีความเศร้าแต่ก็อบอุ่น, และการกลับมาสำรวจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มีผลต่อความเข้าใจตัวตนของตัวละคร การอธิบายถึงวิธีที่แสง สี กลิ่นฝน และเสียงจิ้งหรีดหล่อหลอมฉากในนิยาย ทำให้ฉันนึกภาพฉากในงานของเขา เช่น 'สายน้ำ' ที่ใช้ภูมิทัศน์เป็นตัวละครอีกตัวหนึ่ง
มุมที่ชอบมากคือการพูดถึงเพลงพื้นบ้านและ
บทเพลงเพื่อชีวิตที่เป็นแรงขับเคลื่อนภายใน เขาเล่าว่าเมโลดี้บางท่อนทำให้คิดถึงประโยคสั้นๆ ที่กลายเป็นวรรคทองในเรื่องสั้นและบทกวีของเขา ความเชื่อมโยงระหว่างเสียงเพลงกับภาษาทำให้ผลงานมีจังหวะ อ่านแล้วเหมือนมีบีตคอยผลักให้ไปข้างหน้า นอกจากนั้น การอ้างถึงวรรณกรรมไทยคลาสสิกและเรื่องเล่าพื้นบ้านช่วยเติมชั้นความหมาย ทำให้ฉันเข้าใจว่าทุกฉากไม่ใช่แค่ภูมิหลัง แต่เป็นการสานต่อจารีตและคำสอนที่ตกทอด
อีกมิติหนึ่งที่สะท้อนชัดคือความตั้งใจทางสังคม—เขาไม่ได้เขียนเพียงเพื่อสวยงาม แต่ต้องการตั้งคำถามกับความอยุติธรรมและความไม่เท่าเทียมผ่านชะตากรรมของตัวละคร เลยเห็นร่องรอยของแง่มุมการเมืองสังคมในบทสัมภาษณ์ ซึ่งทำให้ผลงานอย่าง 'กิ่งแก้ว' มีความเฉียบคมทางวาทกรรมมากกว่าแค่เรื่องราวส่วนตัว สรุปแล้ว แรงบันดาลใจที่มาจากบ้านเกิด เพลง วรรณกรรมพื้นบ้าน และปัญหาสังคมนั้นซ้อนทับกันอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์คืองานที่ทั้งเป็นบทกวีและกระจกสะท้อนความจริงของชีวิต ซึ่งยังคงทำให้ฉันกลับไปหยิบอ่านซ้ำเมื่ออยากหาเสียงที่เข้าใจหัวใจคนบ้านเดียวกัน