ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ประดับประดาด้วยดวงดาวนับล้านกลับถูกฉีกกระชากด้วยเงาที่ดำมืดกว่ารัตติกาล เงาร่างนั้นพุ่งทะยานลงมาจากเบื้องบนด้วยความเร็วที่เหนือการมองเห็นของมนุษย์ปกติ เป้าหมายชัดเจน… ฮารุ
ฮารุกำลังเดินเคียงข้างอิจิ สายตาเหม่อมองดวงจันทร์สีนวลอย่างเพลินเพลิน ทันใดนั้น ความรู้สึกผิดปกติก็แผ่ซ่านเข้ามาในประสาทสัมผัสของเธอ อากาศรอบกายเย็นเยียบลงอย่างกะทันหัน ราวกับมีบางสิ่งดึงเอาความร้อนทั้งหมดออกไปจากชั้นบรรยากาศ “อิจิ…” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เสียงคำรามต่ำลึกก็ฉีกผ่านความเงียบสงัด คลื่นเสียงนั้นไม่ใช่เสียงจากสัตว์ป่าบนโลก แต่เป็นเสียงที่มาจากห้วงลึกของความมืดมิด… เสียงของบางสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่จริง อิจิไม่รอช้า สัญชาตญาณนักรบของเขาพลุ่งพล่าน เขาเห็นเงาขนาดมหึมาที่กำลังทิ้งตัวลงมา รูปร่างคล้ายสัตว์ร้าย แต่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยหนามแหลมคม มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เขารู้จัก ไม่ใช่ภูตผีธรรมดาที่เคยเผชิญหน้า “หลบ!” อิจิตะโกนลั่น พร้อมกับตวัดแขนออกไปคว้าเอวของฮารุ กระชากร่างบอบบางให้พุ่งหลบออกไปจากจุดที่เงาปีศาจกำลังจะพุ่งลงมาอย่างเฉียดฉิว พื้นหินเบื้องหลังพวกเขายุบตัวลงเป็นหลุมลึก เสียงกระแทกสนั่นเลือนลั่นราวกับแผ่นดินไหว เศษหินกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า “อะไรน่ะ อิจิ! มันคืออะไร?!” ฮารุตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเผือด เธอไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน ดวงตาของเงาปีศาจนั้นแดงก่ำเรืองรองราวกับถ่านเพลิงในนรก อาวุธของมันคือหนามแหลมคมที่ยื่นออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย ราวกับสัตว์ที่รวมร่างมาจากความเจ็บปวด “ไม่รู้… แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่แค่ภูตผีธรรมดา” อิจิตอบ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปที่เงาปีศาจที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า มันสูงใหญ่กว่ามนุษย์ถึงสามเท่า และมีออร่าสีดำมืดแผ่ออกมา รอบกายของมันบิดเบี้ยวราวกับภาพหลอน มันไม่ใช่เพียงแค่เงา แต่เป็นความดำมืดที่จับต้องได้ “มันพุ่งเป้ามาที่เธอ ฮารุ… หลบอยู่ข้างหลังฉัน” อิจิสั่งเสียงเข้ม พร้อมกับชักดาบเล่มยาวที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา แสงจันทร์สาดส่องลงกระทบคมดาบสะท้อนประกายวาววับ เงาปีศาจคำรามอีกครั้ง คราวนี้เสียงก้องกังวานกว่าเดิม มันขยับตัวด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ ร่างใหญ่โตของมันพุ่งเข้าใส่พวกเขาอีกครั้ง หนามแหลมคมหลายสิบอันยืดออกเตรียมจะแทงทะลุร่างของฮารุ เคร้ง! อิจิยกดาบขึ้นป้องกัน คมดาบปะทะเข้ากับหนามแหลมคมเกิดเสียงโลหะเสียดสีรุนแรง สะเก็ดไฟแลบแปลบปลาบไปทั่วบริเวณ แรงปะทะมหาศาลทำให้อิจิต้องขยับเท้าถอยหลังไปหลายก้าว กล้ามเนื้อแขนของเขากระตุกอย่างรุนแรง “แข็งแกร่งกว่าที่คิด…” อิจิสบถ “ไม่ใช่แค่แรงเฉยๆ มันมีพลังที่บิดเบือนอยู่รอบตัว” “อิจิ! ระวังนะ!” ฮารุร้องเตือน เมื่อเงาปีศาจถอยออกไปเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อจู่โจมซ้ำ มันไม่ได้โจมตีด้วยหนามแหลมคมเพียงอย่างเดียว คราวนี้มันกลับสร้างลูกบอลพลังงานสีดำมืดขึ้นมาในอุ้งมือ พุ่งตรงมายังพวกเขา อิจิดึงฮารุให้กระโดดหลบอีกครั้ง ลูกบอลพลังงานพุ่งผ่านไปกระทบต้นไม้ใหญ่เบื้องหลัง เสียงดังสนั่น ต้นไม้ทั้งต้นระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นรอยไหม้สีดำลึกที่พื้นดิน “มันใช้พลังด้วย! ต้องทำให้มันเคลื่อนไหวไม่ได้!” อิจิพูดกับตัวเอง เขารู้ว่าการตั้งรับแบบนี้ไม่มีทางชนะได้แน่ “นายจะทำยังไง?!” ฮารุถาม เธอรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เธอไม่เคยเห็นอิจิต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายขนาดนี้มาก่อน “ฉันจะพยายามดึงความสนใจมันเอาไว้ เธอหาที่กำบังให้ดี และอย่าออกมาจนกว่าฉันจะจัดการมันได้!” “แต่ว่า…” “ไม่มีเวลาแล้ว ฮารุ! นี่ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน!” อิจิตวาดเสียงเข้ม สายตาของเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่สายตาของนักเรียนหนุ่ม แต่เป็นสายตาของนักรบที่พร้อมจะสละทุกสิ่งเพื่อปกป้องคนที่เขารัก เงาปีศาจไม่ปล่อยให้พวกเขามีเวลาคุยกันนานนัก มันพุ่งเข้าใส่อิจิอีกครั้ง คราวนี้มันใช้ความเร็วและพลังที่เหนือกว่าเดิม หนามแหลมคมของมันฟาดฟันเป็นวงกว้าง อิจิรับมือด้วยความว่องไว เขาใช้ดาบปัดป้องและเบี่ยงเบนการโจมตีอย่างแม่นยำ ทุกการเคลื่อนไหวของเขามีประสิทธิภาพและไร้ที่ติ ฉัวะ! ในจังหวะที่เงาปีศาจเหวี่ยงแขนกว้าง อิจิใช้ช่องว่างนั้น พุ่งตัวเข้าประชิด พยายามที่จะฟันเข้าไปที่กลางลำตัวของมัน แต่คมดาบของเขากลับกระทบเข้ากับบางสิ่งที่คล้ายเกราะที่มองไม่เห็น มันให้ความรู้สึกเหมือนฟันลงบนหินผา ไม่ใช่เนื้อหนัง “เกราะงั้นหรือ?” อิจิขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเจอปีศาจที่มีเกราะพลังงานแบบนี้มาก่อน เงาปีศาจไม่พลาดโอกาส มันเหวี่ยงมืออีกข้างที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมใส่เขา อิจิกระโดดถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว ห่างจากปลายหนามเพียงไม่กี่เซนติเมตร “มันไม่ได้มีแค่พละกำลังและพลังโจมตี… มันมีเกราะป้องกันด้วย แถมยังฟื้นตัวเร็วอีกต่างหาก” อิจิวิเคราะห์ เขาสังเกตเห็นว่ารอยขีดข่วนเล็กๆ ที่เขาพอจะสร้างได้จากการโจมตีเมื่อครู่หายไปอย่างรวดเร็ว “อิจิ! ทางนี้!” ฮารุที่หลบอยู่หลังโขดหินใหญ่ ตะโกนบอก เธอเห็นบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์ “ฉันเห็นรอยแยกเล็กๆ บนพื้นดิน ใกล้ๆ ที่มันยืนอยู่!” อิจิมองตามสายตาของฮารุ เขากระโดดหลบการโจมตีอีกครั้ง พลางเหลือบมองไปที่รอยแยกนั้น มันเป็นรอยร้าวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่เงาปีศาจพุ่งลงมาจากฟ้าและกระทบพื้นอย่างรุนแรง “รอยแยกงั้นหรือ?!” อิจิฉุกคิด เขานึกถึงตำราโบราณที่เคยอ่านเกี่ยวกับการต่อสู้กับปีศาจบางชนิดที่พลังงานเชื่อมโยงกับโลกภายนอก ถ้าสร้างความเสียหายให้กับจุดเชื่อมโยงนั้น อาจจะทำให้พลังของมันอ่อนแอลงได้ “เข้าใจแล้ว!” อิจิตะโกนตอบ เขารู้ว่าฮารุฉลาดและช่างสังเกตเสมอ เขาจะใช้ความได้เปรียบนี้ “มันจะทำยังไงนะ…” ฮารุพึมพำกับตัวเอง เธอเห็นอิจิเริ่มเคลื่อนไหวอย่างแตกต่างออกไป ไม่ใช่การตั้งรับเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรุกที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ อิจิเริ่มจู่โจมเงาปีศาจอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เน้นการสร้างความเสียหายโดยตรง แต่เน้นการสร้างแรงปะทะและการเบี่ยงเบนความสนใจ เขาฟันดาบใส่มันอย่างรุนแรง พยายามดันมันให้เคลื่อนที่ไปทางรอยแยก “แกจะต้องล้มลงตรงนั้นแหละ!” อิจิคำราม แรงปะทะจากการฟันดาบของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เงาปีศาจเริ่มรู้สึกถึงแรงต้านทานที่มากขึ้น มันพยายามที่จะต้านทานและโจมตีกลับ แต่จังหวะการโจมตีของอิจิก็รวดเร็วและต่อเนื่องจนมันตั้งตัวไม่ทัน โครม! อิจิใช้จังหวะที่เงาปีศาจกำลังเสียหลักจากการรับดาบของเขา ตวัดดาบเฉือนเข้าที่ขาของมันอย่างแรง แม้จะสร้างรอยขีดข่วนได้ไม่มาก แต่ก็ทำให้มันถอยไปชนกับรอยแยกบนพื้นดินพอดี ทันทีที่เท้าของเงาปีศาจเหยียบลงบนรอยแยก รอยร้าวเล็กๆ นั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงสีดำทะมึนเริ่มรั่วไหลออกมาจากรอยแยกนั้น ราวกับบางสิ่งถูกปลดปล่อย “อ๊ากกกกกกกก!” เงาปีศาจคำรามด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายของมันสั่นสะท้าน ออร่าสีดำที่แผ่ออกมารอบกายเริ่มบิดเบี้ยวและจางหายไป “ได้ผล! จุดอ่อนของแกคือพื้นดินที่เชื่อมโยงกับพลังงานมืดของแกสินะ!” อิจิแสยะยิ้ม เขาเห็นโอกาสที่จะจบการต่อสู้ “อิจิ! รีบจัดการมัน!” ฮารุที่เฝ้ามองอยู่ตะโกนบอก เธอรู้สึกได้ว่าพลังงานที่น่ากลัวของปีศาจกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว อิจิไม่รอช้า เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าใส่เงาปีศาจที่กำลังอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว เขาตวัดดาบขึ้นเหนือหัว รวบรวมพลังทั้งหมดที่ปลายดาบของเขา ดาบเปล่งประกายสีเงินวาววับตัดกับความมืดมิด “นี่แหละคือจุดจบของแก!” ฟิ้วววววว… ฉึบ! คมดาบของอิจิฟันทะลุผ่านเกราะที่มองไม่เห็นของเงาปีศาจเข้าไปอย่างง่ายดาย มันไม่ใช่การฟันเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการฟันที่เฉือนผ่านจากปลายขาขึ้นไปจนถึงลำตัวของปีศาจ เงาปีศาจกรีดร้องอย่างโหยหวน ร่างกายของมันเริ่มสลายกลายเป็นละอองสีดำมืดปลิวหายไปในอากาศช้าๆ มันพยายามที่จะคว้าจับอิจิเป็นครั้งสุดท้าย แต่แขนของมันก็สลายไปก่อนที่จะสัมผัสตัวเขา “มัน… มันหายไปแล้วเหรอ?” ฮารุเดินออกมาจากที่กำบังอย่างระมัดระวัง ดวงตาจับจ้องไปยังเศษละอองสีดำที่กำลังจางหายไปในอากาศ อิจิเก็บดาบเข้าฝัก เขายืนหอบหายใจอย่างแรง เหงื่อกาฬไหลชุ่มใบหน้า การต่อสู้ครั้งนี้ใช้พลังงานจากเขาไปมาก “ใช่… มันหายไปแล้ว” อิจิตอบเสียงแผ่ว “แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะหายไปตลอดกาล” “นายหมายความว่ายังไง?” ฮารุเดินเข้ามาใกล้ อิจิทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพิงโขดหินอย่างหมดแรง “ปีศาจแบบนี้… มันไม่ได้ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ แค่ถูกขับไล่กลับไปยังที่ๆ มันจากมา… และมันสามารถกลับมาได้อีก ถ้าเงื่อนไขเหมาะสม” อิจิอธิบาย “เงื่อนไขอะไร?” “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน… แต่มันเป็นปีศาจที่แตกต่างจากที่ฉันเคยเจอมา มันมีพลังที่บิดเบี้ยวและฉลาดกว่า” อิจิถอนหายใจ “ที่สำคัญ… มันจงใจพุ่งเป้ามาที่เธอ” ฮารุเบิกตากว้าง “ที่ฉันเหรอ? ทำไมล่ะ?” อิจิส่ายหน้า “ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน… ปกติปีศาจพวกนี้จะพุ่งเป้าไปที่พลังงานที่แรงกล้า หรือจิตใจที่อ่อนแอ แต่เธอ… เธอไม่ได้มีพลังอะไรเป็นพิเศษ และจิตใจของเธอก็แข็งแกร่ง” “หรือว่า… หรือว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันเห็นนิมิต? เรื่องที่ฉันได้ยินเสียงแปลกๆ ในหัว?” ฮารุเสนอความคิดอย่างลังเล อิจิเงียบไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาดูครุ่นคิดอย่างหนัก “นิมิตงั้นเหรอ? เธอบอกว่ามันเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่เธอต้องทำ… บางสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนแปลงโลก” “ใช่… ฉันเห็นเมืองที่ไม่คุ้นเคย และภาพของบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะตื่นขึ้นมา” ฮารุพูดเสียงเบาลง “มันทำให้ฉันกลัว… แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง” “ฟังนะ ฮารุ…” อิจิเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาของเขาฉายแววจริงจัง “ถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นจริง และปีศาจตัวนี้พุ่งเป้ามาที่เธอเพราะเรื่องนิมิตของเธอ… แสดงว่าเรื่องนี้มันซับซ้อนกว่าที่เราคิดไว้เยอะ” “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปล่ะ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอเจือความกังวล “เราต้องหาคำตอบ” อิจิตอบ “ว่าทำไมปีศาจถึงพุ่งเป้ามาที่เธอ และนิมิตที่เธอเห็นมันคืออะไร… เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น” เขายันตัวลุกขึ้นยืน แม้จะอ่อนแรงแต่แววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฉันจะปกป้องเธอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” อิจิพูดขึ้น พร้อมกับมองตรงเข้าไปในดวงตาของฮารุ “แต่เธอเองก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง” ฮารุพยักหน้าช้าๆ “ฉันจะพยายาม… แต่ฉันคงทำไม่ได้ถ้าไม่มีนาย” อิจิยิ้มเล็กน้อย เขาวางมือลงบนบ่าของฮารุเบาๆ “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” คำพูดของอิจิทำให้ฮารุรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าในใจจะยังคงเต็มไปด้วยความกังวลปดปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์บน เกาะแห่งม่านหมอก โลกยังคงสงบสุขภายใต้การดูแลของ อิจิ และ ฮารุ พวกเขายังคงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสมดุลอย่างเงียบๆ ฮารุในวัย 26 ปี กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชนให้กับเมืองหลวง เธอใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนและความผูกพันกับผืนดินในการช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านและส่งเสริมการศึกษา อิจิในวัย 30 ปี ยังคงเป็นองครักษ์เงาที่แข็งแกร่งและรอบคอบ แต่บทบาทของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากผู้ปกป้องส่วนตัวของฮารุ เขากลายเป็นผู้ดูแลความมั่นคงของเมือง คอยสืบสวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจคุกคามความสงบสุขของประชาชน ผ้ายันต์แห่งความจริงที่เคยเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัยครั้งก่อนๆ บัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในหอคอยแห่งปัญญาของเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้และความจริงที่ไม่มีวันถูกลืมแม้โลกจะสงบสุข แต่ภายในใจของอิจิกลับมีความรู้สึกบางอย่างค้างคามาตลอด เขาไม่เคยลืมคำพูดของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ว่า “ข้าจะกลับมา!” และความรู้สึกของเขาบอกว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงม่านบังตา“อิจิ นายยังคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า?” ฮารุถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นในสวนของวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้องใบ
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน อิจิ และ ฮารุ กลับมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบในเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่เคยถูกม่านหมอกแห่งการลืมเลือนปกคลุม บัดนี้กลับมาคึกคักและสดใสกว่าเดิม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้บาดแผลจากอดีตจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ฮารุในวัย 18 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา เธอทุ่มเทเวลาให้กับการสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย และช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แม้พลังแห่งชีวิตจะหายไปจนหมดสิ้น แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มแข็งของเธอกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม อิจิยังคงเป็นองครักษ์เงาของเธอ คอยปกป้องเธอจากห่างๆ และเฝ้ามองการเติบโตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริงที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน“อาจารย์ฮารุ! วันนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ?!” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น เด็กๆ หลายคนมารวมตัวกันรอบๆ ฮารุ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังฮารุยิ้มอ่อนโยน “วันนี้อาจารย์จะเล่าเรื่องของ ผู้กล
แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้าโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า อิจิ และ ฮารุ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่ยาวนาน แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว หลังจากการเดินทางผ่าน เมืองแห่งความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับ ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ถูกควบคุมโดย ‘ผู้ตื่น’ พวกเขาได้รับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ต้องการจะลบเลือนความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับอดีตทั้งหมด เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่มันคือผู้ปกครองสูงสุด“เราจะทำลาย ‘คำสาปแห่งการลืมเลือน’ ได้ยังไงอิจิ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา เธอวางผ้ายันต์แห่งความจริงลงบนฝ่ามือ มันเป็นเพียงแผ่นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่มีแสงเรืองรองใดๆ เหลืออยู่แล้วอิจิหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไคบอกว่าพลังของเธอที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความทรงจำที่แท้จริงคือกุญแจ… และการทำลายคำสาปนี้จะต้องแลกด้วยพลังแห่งชีวิตของเธอทั้งหมด”“ฉันรู้… และฉันก็พร้อมที่จะเสียสละมัน” ฮารุกล่าว ดวงตาของเธอฉายแววแน่วแน่ “ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนไปตลอดก
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือยอดเขาไฟอัคคีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานยาม ดวงจันทร์สีเลือด โคจรขึ้นมาเต็มดวง แสงสีโลหิตอาบไล้ทิวทัศน์รอบข้างให้ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม เสียงคำรามกึกก้องจากปากปล่องภูเขาไฟดังกึกก้องไม่หยุดหย่อน ราวกับเสียงหายใจอันหนักหน่วงของอสูรร้ายที่กำลังจะตื่นจากการหลับใหลที่ยาวนานนับพันปี กลิ่นกำมะถันและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ยิ่งสร้างความกดดันอันหนักอึ้งให้แก่ อิจิ และ ฮารุ ที่กำลังปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขา“อีกนิดเดียวอิจิ! เราจะไปถึงแล้ว!” ฮารุตะโกนบอก เสียงของเธอสั่นเครือจากความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว แต่ดวงตาของเธอยังคงเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ผ้ายันต์แห่งความจริงที่สถิตอยู่ในฝ่ามือของเธอเรืองแสงสีรุ้งอ่อนๆ ตอบรับกับพลังงานมหาศาลของดวงจันทร์สีเลือด“ฉันรู้ฮารุ… ฉันสัมผัสได้ถึงมัน” อิจิตอบ เขาปีนป่ายก้อนหินที่แหลมคมอย่างรวดเร็ว แม้ร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่จิตใจของเขามุ่งมั่นกว่าครั้งไหนๆ ดาบในมือของเขาเปล่งประกายสีเงินจางๆ พร้อมรับมือกับทุกสิ่งลมพายุโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นบนยอดเขา เสียงกรีดร้องโหยหวนคล้ายเสียงวิญญาณดังมาจากปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น ลาวาสีแดงฉา
สายลมแห่งยามรุ่งอรุณพัดโชยมาปะทะร่าง อิจิ และ ฮารุ ที่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังทิวทัศน์เบื้องหน้า เผยให้เห็นยอดเขาไฟที่สูงเสียดฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าดิบชื้นที่พวกเขาเพิ่งฝ่าฟันออกมา หมอกจางๆ ลอยปกคลุมรอบฐานของภูเขาไฟราวกับผ้าห่มสีขาว กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาตามลมเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังงานที่ไม่สงบนิ่งที่อยู่ภายใน“นั่นแหละ… ยอดเขาไฟ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “มันดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะอิจิ”อิจิพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใช่… พลังงานมืดมิดที่แผ่ออกมาจากที่นั่นมันมหาศาลมาก ‘ผู้ตื่น’ กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า”ผ้ายันต์แห่งความจริงที่ผนึกอยู่ในฝ่ามือของฮารุเรืองแสงจางๆ เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกของอิจิ พวกเขามีเวลาเพียงสองราตรีเท่านั้นก่อนที่ ดวงจันทร์สีเลือด จะปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธนาการของ ‘ผู้ตื่น’ จะอ่อนแอที่สุด“เราต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด” อิจิกล่าว “และเราต้องหารหัสลับแห่งบรรพกาลให้เจอด้วย”“รหัสลับนั่น… มันอยู่ที่ไหนกันนะ?” ฮารุถาม “จิตวิญญาณแห่งต้นไม้บอกแค่ว่ามันอยู่ในผืนป่าแห่งนี้
คืนเดือนมืดปกคลุมผืนป่าดิบชื้นทางตอนเหนือของสยามประเทศ แสงจันทร์แทบไม่สามารถส่องผ่านม่านไม้หนาทึบลงมาได้ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และเสียงลมกระโชกแรงที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าให้เสียดสีกันเป็นระยะ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากวิญญาณแห่งป่า อิจิและฮารุยังคงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ร่างกายของอิจิอ่อนล้าจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนฮารุก็ดูซีดเซียวจากการใช้พลังแห่งชีวิตครั้งล่าสุด แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผ้ายันต์ผืนสุดท้ายที่ปรากฏในนิมิตของฮารุ“อากาศที่นี่มันแปลกๆ นะอิจิ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “มันเย็นยะเยือกกว่าที่ควรจะเป็น… เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่”“ใช่… ฉันก็รู้สึกได้” อิจิตอบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “พลังงานที่นี่ไม่ใช่พลังงานของปีศาจ แต่มันเป็นพลังที่เก่าแก่กว่านั้น… ลึกซึ้งกว่านั้น”ตามนิมิตของฮารุ ผ้ายันต์ผืนสุดท้ายถูกซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าในป่าลึกแห่งนี้ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีแสงสีม่วงเข้มเปล่งออกมาจากรากของมัน“เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมอิจิ?” ฮารุถาม“ฉันหวังว่าอย่างนั้นฮารุ” อิจ