ท้องฟ้ายามรุ่งสางที่ควรจะนำพาความหวังมาให้ กลับถูกบดบังด้วยเมฆดำทะมึนที่ก่อตัวอย่างรวดเร็วเหนือยอดเขา ความเงียบสงัดที่เคยปกคลุมผืนป่าถูกแทนที่ด้วยเสียงลมกระโชกแรง และกลิ่นอายเย็นเยียบที่แฝงไปด้วยพลังงานมืดมิด
อิจิและฮารุกำลังเดินทางผ่านเส้นทางป่าที่คดเคี้ยว มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เชิงเขา เพื่อค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับนิมิตของฮารุและเงาปีศาจที่จู่โจมพวกเขาเมื่อคืน ฮารุสวมเสื้อคลุมกันหนาวตัวหนา แม้จะออกเดินทางมาได้ไม่นาน เธอก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของบรรยากาศรอบตัว “อิจิ… นายรู้สึกเหมือนกันไหม?” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเจือความกังวล “เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่” อิจิชะงักฝีเท้า เขาพยักหน้าช้าๆ ดวงตาคมกริบสแกนไปทั่วบริเวณป่าทึบเบื้องหน้า “รู้สึก… แรงกดดันมันชัดเจนกว่าเมื่อคืนนี้ด้วยซ้ำ” เขากระชับดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวแน่นขึ้น “มันไม่ได้อยากให้เราไปถึงหมู่บ้านนั่น” ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้นจากความมืดมิดเบื้องหน้า ไม่ใช่เสียงคำรามแบบสัตว์ร้าย แต่เป็นเสียงที่บาดลึกเข้าไปในโสตประสาท ราวกับวิญญาณที่ถูกทรมาน มันเป็นสัญญาณของการมาเยือนของบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ… และน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิม พื้นดินใต้เท้าของพวกเขาสั่นสะเทือน กิ่งไม้ใบหญ้าส่งเสียงเสียดสีรุนแรง ลมพายุหมุนวนพัดโหมกระหน่ำ เศษใบไม้และก้อนกรวดลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นร่างสีดำทะมึนขนาดมหึมา… เงาปีศาจ แต่มันไม่ใช่เงาปีศาจตัวเดิมที่พวกเขาเคยเผชิญหน้า ตัวนี้สูงใหญ่กว่าเดิมราวสองเท่า ร่างกายเต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่ยาวและเงาวาวราวกับเหล็กกล้า ดวงตาของมันไม่ใช่เพียงแค่ถ่านเพลิงแดงก่ำ แต่เป็นดวงตาที่เรืองแสงสีม่วงดำราวกับหลุมดำที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งรอบข้าง ออร่าสีดำที่แผ่ออกมาจากตัวมันรุนแรงจนอากาศรอบข้างบิดเบี้ยวและมืดมิดลง “มัน… มันแข็งแกร่งขึ้น…” ฮารุพูดเสียงสั่น เธอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว “มันไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น… มันคือตัวที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อคืนนี้” อิจิแก้ไข น้ำเสียงเคร่งขรึมกว่าเดิม “หรืออาจจะเป็นตัวที่ควบคุมตัวเมื่อคืนนี้ก็ได้” เขาชักดาบออกมาเตรียมพร้อม ไม่มีความลังเลในแววตา “ฮารุ… เธอต้องหาที่หลบให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้” เงาปีศาจคำรามกึกก้อง เสียงคำรามนั้นกระชากให้ต้นไม้รอบข้างสั่นสะท้าน มันพุ่งเข้าใส่พวกเขาด้วยความเร็วเหนือแสง หนามแหลมคมนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างกายของมันราวกับขีปนาวุธ เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! อิจิใช้ดาบในมือปัดป้องการโจมตีอย่างรวดเร็วและแม่นยำ คมดาบของเขาปะทะเข้ากับหนามแหลมคมอย่างต่อเนื่อง เกิดเสียงโลหะเสียดสีดังสนั่นหวั่นไหว สะเก็ดไฟแลบแปลบปลาบไปทั่วบริเวณ แรงปะทะมหาศาลทำให้อิจิต้องใช้พลังกายอย่างมากในการต้านทาน เขาถูกแรงกระแทกกระเด็นถอยหลังไปหลายเมตร “เร็วเข้าฮารุ!” อิจิตะโกนสั่งเมื่อเงาปีศาจเริ่มเคลื่อนไหวเร็วกว่าเดิม มันไม่เพียงแค่ใช้หนามแหลมคมเท่านั้น แต่ยังฟาดฟันกรงเล็บขนาดใหญ่ที่ปลายแขนเข้าใส่เขาอย่างไม่ยั้ง ฮารุไม่รอช้า เธอกระโดดหลบเข้าไปหลังโขดหินขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดปะทะ เธอรู้ว่าตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นภาระให้น้อยที่สุด และพยายามหาข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์เหมือนเมื่อคืนนี้ “มันฉลาดกว่าเดิม… และเร็วขึ้นมาก!” อิจิพึมพำขณะที่เขากลิ้งตัวหลบการโจมตีที่ฟาดลงมาบนพื้นดินอย่างรุนแรงจนเกิดหลุมลึกหลายจุด “มันอ่านการเคลื่อนไหวของฉันได้” เงาปีศาจส่งเสียงคำรามในลำคอ ราวกับกำลังเยาะเย้ย มันขยับตัวอย่างรวดเร็วราวกับเงาที่เคลื่อนไหวในความมืด มันไม่ได้หยุดโจมตี อิจิถูกบีบให้ต้องป้องกันตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้โจมตีกลับเลย “อิจิ! ระวังข้างหลัง!” ฮารุร้องเตือน เมื่อเงาปีศาจแยกตัวออกเป็นเงาสองร่าง เงาร่างหนึ่งยังคงโจมตีอิจิจากด้านหน้า ขณะที่อีกร่างพยายามจะอ้อมไปด้านหลังเพื่อโจมตีจากจุดบอด อิจิเบิกตากว้าง “แยกร่างได้งั้นเหรอ!” เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว เขาใช้จังหวะที่ร่างเงาปีศาจด้านหน้าเข้ามาใกล้เกินไป พุ่งตัวลอดใต้ขาของมันไปอย่างรวดเร็ว และใช้ดาบตวัดขึ้นเพื่อสกัดร่างเงาอีกร่างที่ตามมา ฟิ้ว! คมดาบของอิจิแหวกผ่านอากาศ สัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เงาร่างนั้นกระเพื่อมไหวเล็กน้อย ก่อนที่จะสลายกลับเข้าไปรวมกับร่างหลัก “งั้นก็ไม่ได้แยกร่างจริงๆ สินะ… แค่ทำให้ภาพมันบิดเบี้ยวเพื่อหลอกตา” อิจิวิเคราะห์ เขากัดฟันแน่น “แต่พลังทำลายของมันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี” การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด อิจิพยายามมองหาช่องว่างและจุดอ่อนของเงาปีศาจ แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีเลย ทุกส่วนของร่างกายล้วนแข็งแกร่งและอันตราย มันเคลื่อนไหวอย่างมีชั้นเชิงและเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว อิจิรู้ดีว่าหากเขายังคงตั้งรับแบบนี้ พลังกายของเขาจะหมดลงในไม่ช้า “ต้องหาทางโจมตีมันบ้าง…” อิจิคิดในใจ เขาเห็นเงาปีศาจกำลังสร้างลูกบอลพลังงานสีดำขนาดใหญ่ขึ้นมาในอุ้งมือ เตรียมที่จะปล่อยออกมา “ฮารุ! โค้ง!” อิจิตะโกนลั่น เขากระโดดสูงขึ้นไปในอากาศราวกับนักกายกรรม หลบลูกบอลพลังงานที่พุ่งผ่านไปใต้เท้าของเขาอย่างเฉียดฉิว ลูกบอลพลังงานพุ่งชนต้นไม้ใหญ่เบื้องหลังอย่างจัง เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ต้นไม้ทั้งต้นขาดครึ่ง ก่อนจะล้มลงมาอย่างช้าๆ ในขณะที่อิจิอยู่กลางอากาศ เขาเห็นเงาปีศาจกำลังเตรียมจะโจมตีซ้ำ เขาไม่มีทางหลบได้ในตอนนี้… แต่เขากลับยิ้มมุมปาก “นี่แหละโอกาส!” ก่อนที่เงาปีศาจจะทันตั้งตัว อิจิที่กำลังร่วงลงมาจากฟ้าก็หมุนตัวกลางอากาศ และใช้ปลายเท้าถีบเข้าที่ใบหน้าของเงาปีศาจอย่างรุนแรง ผัวะ! แม้จะไม่สร้างความเสียหาย แต่มันก็ทำให้เงาปีศาจชะงักไปชั่วขณะ แรงถีบนั้นรุนแรงจนเงาปีศาจต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว อิจิใช้จังหวะนั้นทิ้งตัวลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าประชิดตัวเงาปีศาจทันที “แกจะไม่มีโอกาสโจมตีจากระยะไกลได้อีก!” อิจิคำราม เขาเริ่มโจมตีด้วยการฟันดาบที่รวดเร็วและต่อเนื่อง ดาบของเขาพุ่งเข้าปะทะกับหนามแหลมคมของปีศาจอย่างไม่หยุดยั้ง สร้างเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เงาปีศาจถูกบีบให้ต้องป้องกันตัว มันไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่รวดเร็วและบ้าบิ่นขนาดนี้มาก่อน อิจิไม่ได้สนใจที่จะสร้างความเสียหายโดยตรง แต่เขาพยายามที่จะสร้างช่องว่างและรบกวนจังหวะการเคลื่อนไหวของมัน “อิจิ! ด้านซ้าย!” ฮารุร้องเตือน เธอสังเกตเห็นว่าหนามแหลมคมที่ไหล่ซ้ายของเงาปีศาจเรืองแสงจางๆ ก่อนจะยืดออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อโจมตีเข้าที่สีข้างของอิจิ อิจิเอี้ยวตัวหลบคมหนามได้อย่างหวุดหวิด แขนของเขาถูกคมหนามบาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดซึมออกมาจากบาดแผล เขาไม่สนใจความเจ็บปวด “ขอบใจฮารุ!” เขาตะโกนตอบ “ยังคงมองหาจุดอ่อนให้ฉันนะ!” ฮารุพยักหน้า เธอพยายามมองหาความผิดปกติ เธอสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่อิจิทำให้เงาปีศาจเสียจังหวะ บริเวณหน้าอกของมันจะเรืองแสงสีดำจางๆ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น “อิจิ! ตรงหน้าอก! ตรงกลางหน้าอกของมัน!” ฮารุตะโกนบอกสุดเสียง อิจิได้ยินคำพูดของฮารุ เขานึกย้อนไปถึงตำราโบราณที่กล่าวถึงปีศาจบางชนิดที่มีจุดศูนย์รวมพลังงานอยู่ที่แกนกลางลำตัว หากโจมตีเข้าที่จุดนั้นอย่างรุนแรง อาจจะทำให้มันอ่อนแอลงได้ “เข้าใจแล้ว!” อิจิตอบ เขาใช้พลังทั้งหมดที่มี ฟาดดาบเข้าที่แขนของเงาปีศาจอย่างรุนแรง ทำให้มันเสียจังหวะ ผัวะ! เงาปีศาจเซถลาไปด้านหลังเล็กน้อย อิจิไม่รอช้า เขาใช้จังหวะนั้นพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู พลังงานสีเงินเริ่มแผ่ออกมาจากดาบของเขา มันเปล่งประกายเจิดจ้าตัดกับความมืดมิด “ผนึกอสูร! ดาบสะบั้นเงา!” อิจิคำรามเสียงดัง ชื่อท่าไม้ตายที่เขาฝึกฝนมาตลอดชีวิต คมดาบของเขาพุ่งตรงไปยังกลางหน้าอกของเงาปีศาจ ทะลวงผ่านหนามแหลมคมและเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นเข้าไปอย่างง่ายดาย ฉัวะ! เงาปีศาจกรีดร้องโหยหวน เสียงนั้นแหลมสูงจนน่าขนลุก ร่างกายของมันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ออร่าสีดำที่เคยแผ่ออกมารอบกายเริ่มสลายหายไปอย่างรวดเร็ว “มันกำลังอ่อนแอลง!” ฮารุสังเกตเห็น อิจิยังไม่หยุด เขาใช้เท้าเตะเข้าที่กลางลำตัวของปีศาจอย่างรุนแรง ทำให้ดาบที่ปักคาอยู่ทะลุผ่านร่างของมันออกไปอีกด้านหนึ่ง โครม! เงาปีศาจถูกแรงกระแทกกระเด็นไปชนกับต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้หักโค่นลงมาทันที ร่างของมันกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนที่มันจะสลายกลายเป็นละอองสีดำมืดปลิวหายไปในอากาศช้าๆ อิจิทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง หอบหายใจอย่างหนัก บาดแผลที่แขนของเขากำลังมีเลือดไหลไม่หยุด “อิจิ! นายโอเคไหม?!” ฮารุรีบวิ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล เธอทรุดตัวลงข้างๆ เขา และพยายามตรวจสอบบาดแผล “ไม่เป็นไร… แค่รอยข่วนเล็กน้อย” อิจิฝืนยิ้ม พยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ทำได้ยาก “เล็กน้อยอะไรกัน! เลือดออกเยอะขนาดนี้!” ฮารุรีบร้อน เธอฉีกชายเสื้อของตัวเองออกมาเพื่อใช้ห้ามเลือดให้เขา “เราต้องทำแผลนะ” “ไม่มีเวลาหรอกฮารุ… ดูนั่นสิ” อิจิชี้ไปที่จุดที่เงาปีศาจสลายหายไป แทนที่จะเหลือเพียงอากาศว่างเปล่า กลับมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นบนพื้นดิน มันคือ ผ้ายันต์โบราณ สีซีดจางผืนหนึ่ง ขนาดประมาณฝ่ามือ เนื้อผ้าดูเก่าแก่และขาดรุ่งริ่ง แต่กลับมีพลังงานบางอย่างแผ่ออกมาจากมันอย่างชัดเจน บนผ้ายันต์มีอักษรโบราณที่ไม่คุ้นเคยจารึกอยู่ และมีสัญลักษณ์แปลกๆ ที่ดูคล้ายดวงตาที่กำลังจ้องมอง “ผ้ายันต์… นี่มันอะไรกันอิจิ?” ฮารุเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง เธอรู้สึกได้ถึงพลังงานประหลาดที่แผ่ออกมาจากมัน “ฉันไม่แน่ใจ… แต่ไม่เคยเห็นปีศาจตัวไหนทิ้งของแบบนี้ไว้หลังจากถูกทำลาย” อิจิพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล “เหมือนมันจงใจจะทิ้งไว้ให้เรา” อิจิก้าวเข้าไปใกล้ผ้ายันต์ เขาหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เนื้อผ้าเย็นเฉียบและหยาบกร้าน เมื่อเขาสัมผัส ผ้ายันต์ก็เรืองแสงสีขาวจางๆ เพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะดับลง “มันเป็นยันต์… ยันต์ที่ใช้สำหรับผนึกบางสิ่งบางอย่าง” อิจิพูดขึ้น เขาเคยเห็นยันต์โบราณหลายชนิดในตำรา แต่ยันต์ผืนนี้มีความแตกต่างออกไป มันให้ความรู้สึกที่ทั้งทรงพลังและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน “ผนึกอะไร? ทำไมปีศาจถึงมีของแบบนี้?” ฮารุถาม “ฉันไม่รู้… แต่มันอาจจะเป็นเบาะแสสำคัญ” อิจิพับผ้ายันต์เก็บใส่ในกระเป๋าเสื้อของเขาอย่างระมัดระวัง “ดูเหมือนเราจะต้องไปหมู่บ้านนั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว” พวกเขาเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยความระมัดระวังที่มากขึ้น ฮารุสังเกตเห็นว่าอิจิยังคงมีท่าทีอ่อนแรง และบาดแผลของเขายังคงมีเลือดซึมออกมาเรื่อยๆ “อิจิ… นายไหวแน่นะ?” ฮารุถามด้วยความเป็นห่วง “ไหวสิ… แค่เรื่องเล็กน้อย” อิจิพยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เขาก็ยังคงหอบหายใจ “ที่สำคัญตอนนี้คือการหาคำตอบ” หลังจากเดินมาได้อีกระยะหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงขอบหมู่บ้าน ทว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของพวกเขากลับไม่ใช่ภาพหมู่บ้านที่สงบสุข บ้านเรือนหลายหลังอยู่ในสภาพถูกทำลายยับเยิน ผนังพังทลาย หลังคายุบตัวลงมาคานไม้หักระเนระนาด ไม่มีผู้คนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว บรรยากาศเงียบสงัดจนน่าขนลุก ราวกับหมู่บ้านร้าง “ไม่จริงน่า…” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” “เหมือนเพิ่งเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ไปไม่นาน” อิจิพูดขึ้น เขาสังเกตเห็นร่องรอยการต่อสู้มากมายบนพื้นดิน รอยไหม้สีดำ และรอยขีดข่วนขนาดใหญ่ที่ฝังลึกบนผนังบ้าน บ่งบอกว่าเป็นการต่อสู้กับบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ “ปีศาจ… หรือว่าจะเป็นปีศาจตัวเดียวกับที่เราเจอ?” ฮารุถามอย่างหวาดระแวง “อาจจะ… หรืออาจจะเป็นปีศาจชนิดอื่นที่มารวมตัวกันก็ได้” อิจิตอบ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดกว่าเดิม “ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะใหญ่กว่าที่เราคิดไว้มาก” พวกเขาเดินสำรวจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงศาลเจ้าเล็กๆ ที่อยู่ใจกลางหมู่บ้าน ศาลเจ้าแห่งนี้ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับบ้านเรือนอื่นๆ “ลองเข้าไปดูข้างในกันเถอะ” อิจิเสนอ ฮารุพยักหน้า เธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังดึงดูดเธอเข้าไปในศาลเจ้าแห่งนี้ เมื่อเข้าไปด้านใน ศาลเจ้าไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก มีแท่นบูชาเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง และมีรูปปั้นเทพเจ้าที่สึกกร่อนไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของฮารุคือผนังด้านในของศาลเจ้า มันไม่ได้เรียบเนียนเหมือนผนังทั่วไป แต่กลับมีรอยจารึกและภาพวาดโบราณที่คล้ายกับอักษรบนผ้ายันต์ที่อิจิเพิ่งเก็บได้ “อิจิ! ดูนี่สิ!” ฮารุร้องขึ้น เธอชี้ไปที่ภาพวาดโบราณที่ผนัง ภาพนั้นแสดงถึงสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีปีกขนาดใหญ่และมีออร่าสีดำมืดแผ่ออกมา มันกำลังยืนอยู่บนยอดภูเขาที่คุ้นเคย… ภูเขาที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา และเหนือสิ่งมีชีวิตนั้น มีกลุ่มดาวที่เรียงตัวกันเป็นสัญลักษณ์แปลกๆ คล้ายกับสัญลักษณ์บนผ้ายันต์ “นี่มัน… ปีศาจที่อยู่ในนิมิตของเธอหรือเปล่า?” อิจิถาม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ฉันไม่แน่ใจ… แต่ภาพนี้มัน… มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน” ฮารุพูดเสียงแผ่ว “แล้วสัญลักษณ์นี้… เหมือนกับสัญลักษณ์บนผ้ายันต์เลย” อิจิหยิบผ้ายันต์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขานำมันมาเปรียบเทียบกับสัญลักษณ์บนผนังศาลเจ้า “เหมือนกันเป๊ะเลย…” อิจิพึมพำ “ดูเหมือนว่าผ้ายันต์ผืนนี้จะไม่ใช่แค่ยันต์ธรรมดา แต่มันเป็นแผนที่… หรือไม่ก็กุญแจบางอย่าง” ฮารุเดินเข้าไปใกล้ผนังศาลเจ้ามากขึ้น เธอใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามรอยจารึกโบราณ ทันใดนั้น… แสงสีฟ้าอ่อนๆ ก็เรืองรองออกมาจากปลายนิ้วของเธอ แสงนั้นค่อยๆ แผ่ขยายออกไปตามรอยจารึกบนผนัง “อะไรน่ะฮารุ?!” อิจิร้องถามด้วยความตกใจ แสงสีฟ้าที่แผ่ออกมาจากผนังศาลเจ้าสว่างวาบขึ้น ก่อนที่มันจะพุ่งตรงเข้ามายังหน้าผากของฮารุ แสงนั้นเจิดจ้าจนฮารุต้องหลับตาลงแน่น “อึก!” ฮารุร้องขึ้น ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน เธอรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างของเธอ และมีภาพบางอย่างฉายเข้ามาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว… ภาพของภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น แสงสีแดงฉานจากลาวาที่ไหลเอ่อล้น ผืนป่าที่กำลังถูกเผาผลาญ และเสียงกรีดร้องของผู้คนที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และในใจกลางของความโกลาหลนั้น มีร่างสีดำทะมึนขนาดมหึมายืนตระหง่านอยู่ ร่างนั้นมีปีกขนาดใหญ่และดวงตาสีม่วงดำ… มันคือเงาปีศาจตัวที่พวกเขาเพิ่งต่อสู้ด้วย! แต่ตัวนี้ดูยิ่งใหญ่และทรงพลังกว่าเดิมหลายเท่า ราวกับเป็นต้นกำเนิดของปีศาจทั้งหมด “ฮารุ! เกิดอะไรขึ้น?!” อิจิรีบเข้าไปประคองร่างของฮารุที่กำลังจะล้มลง แสงสีฟ้าจางหายไป ฮารุลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความหวาดกลัว “ฉัน… ฉันเห็นมันอีกแล้ว” ฮารุพูดเสียงแผ่ว “มันเป็นภาพหายนะ… ภาพของโลกที่กำลังถูกทำลาย” “อะไร? เธอมั่นใจนะ?” “ใช่… และเงาปีศาจตัวนั้น… มันแข็งแกร่งกว่าตัวที่เราเจอมามากนัก” ฮารุสั่นสะท้าน “และมันอยู่บนยอดเขาไฟ… ยอดเขาที่เรากำลังมุ่งหน้าไป” อิจิเงียบไป เขาหันไปมองผ้ายันต์ในมืออีกครั้ง ก่อนจะมองไปยังสัญลักษณ์บนผนังศาลเจ้าที่ยังคงเรืองแสงจางๆ “ดูเหมือนว่าผ้ายันต์นี้จะไม่ได้เป็นแค่แผนที่… แต่มันเป็นกุญแจที่จะเปิดเผยความจริงบางอย่าง” อิจิพึมพำ “และพลังงานในตัวเธอ… มันกำลังตื่นขึ้นมา” “พลังงานอะไร?!” ฮารุถามด้วยความตกใจ “ฉันก็ไม่แน่ใจ… แต่มันเชื่อมโยงกับสิ่งที่อยู่ในผนังนี่” อิจิเอื้อมมือไปแตะผนังศาลเจ้า แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เธอต้องมีพลังบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัว… พลังที่สามารถสื่อสารกับสิ่งเหล่านี้ได้” “แล้วเราจะทำยังไงต่อไป?” “เราต้องไปที่ยอดเขาไฟนั่น” อิจิตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าอะไรจะรอเราอยู่ที่นั่น เราก็ต้องไป” “แต่มันอันตรายนะอิจิ! นายเห็นภาพที่ฉันเห็นแล้วใช่ไหม?!” “นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องไป” อิจิหันมามองฮารุ ดวงตาของเขาฉายแววมุ่งมั่น “ถ้าเราไม่หยุดมัน โลกนี้ก็อาจจะตกอยู่ในความหายนะอย่างที่เธอเห็น” “แล้ว… ผ้ายันต์นี่ล่ะ?” ฮารุชี้ไปที่ผ้ายันต์ในมือของอิจิ “มันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญ… หรือไม่ก็อาวุธที่เราจะต้องใช้ในการต่อสู้ครั้งนี้” อิจิพับผ้ายันต์เก็บไว้อีกครั้ง “แต่ก่อนอื่น… เราต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้” พวกเขาออกจากศาลเจ้าอย่างเงียบเชียบ สภาพหมู่บ้านที่ถูกทำลายยับเยินยังคงเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า “อิจิ… ฉันกลัว” ฮารุพูดขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ไหม” อิจิหยุดเดิน เขาหันกลับมาจับมือของฮารุ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความเข้าใจ “ไม่ต้องกลัวหรอกฮารุ” อิจิพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ฉันจะอยู่ข้างๆ เธอเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะเผชิญหน้ามันไปด้วยกัน” คำพูดของอิจิทำให้ฮารุรู้สึกสงบลงอย่างประหลาด ความอบอุ่นจากมือของเขาแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของเธอ เธอพยักหน้าช้าๆ “ขอบใจนะอิจิ” พวกเขาออกเดินทางอีกครั้งปดปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์บน เกาะแห่งม่านหมอก โลกยังคงสงบสุขภายใต้การดูแลของ อิจิ และ ฮารุ พวกเขายังคงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสมดุลอย่างเงียบๆ ฮารุในวัย 26 ปี กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชนให้กับเมืองหลวง เธอใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนและความผูกพันกับผืนดินในการช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านและส่งเสริมการศึกษา อิจิในวัย 30 ปี ยังคงเป็นองครักษ์เงาที่แข็งแกร่งและรอบคอบ แต่บทบาทของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากผู้ปกป้องส่วนตัวของฮารุ เขากลายเป็นผู้ดูแลความมั่นคงของเมือง คอยสืบสวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจคุกคามความสงบสุขของประชาชน ผ้ายันต์แห่งความจริงที่เคยเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัยครั้งก่อนๆ บัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในหอคอยแห่งปัญญาของเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้และความจริงที่ไม่มีวันถูกลืมแม้โลกจะสงบสุข แต่ภายในใจของอิจิกลับมีความรู้สึกบางอย่างค้างคามาตลอด เขาไม่เคยลืมคำพูดของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ว่า “ข้าจะกลับมา!” และความรู้สึกของเขาบอกว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงม่านบังตา“อิจิ นายยังคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า?” ฮารุถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นในสวนของวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้องใบ
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน อิจิ และ ฮารุ กลับมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบในเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่เคยถูกม่านหมอกแห่งการลืมเลือนปกคลุม บัดนี้กลับมาคึกคักและสดใสกว่าเดิม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้บาดแผลจากอดีตจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ฮารุในวัย 18 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา เธอทุ่มเทเวลาให้กับการสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย และช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แม้พลังแห่งชีวิตจะหายไปจนหมดสิ้น แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มแข็งของเธอกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม อิจิยังคงเป็นองครักษ์เงาของเธอ คอยปกป้องเธอจากห่างๆ และเฝ้ามองการเติบโตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริงที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน“อาจารย์ฮารุ! วันนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ?!” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น เด็กๆ หลายคนมารวมตัวกันรอบๆ ฮารุ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังฮารุยิ้มอ่อนโยน “วันนี้อาจารย์จะเล่าเรื่องของ ผู้กล
แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้าโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า อิจิ และ ฮารุ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่ยาวนาน แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว หลังจากการเดินทางผ่าน เมืองแห่งความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับ ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ถูกควบคุมโดย ‘ผู้ตื่น’ พวกเขาได้รับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ต้องการจะลบเลือนความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับอดีตทั้งหมด เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่มันคือผู้ปกครองสูงสุด“เราจะทำลาย ‘คำสาปแห่งการลืมเลือน’ ได้ยังไงอิจิ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา เธอวางผ้ายันต์แห่งความจริงลงบนฝ่ามือ มันเป็นเพียงแผ่นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่มีแสงเรืองรองใดๆ เหลืออยู่แล้วอิจิหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไคบอกว่าพลังของเธอที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความทรงจำที่แท้จริงคือกุญแจ… และการทำลายคำสาปนี้จะต้องแลกด้วยพลังแห่งชีวิตของเธอทั้งหมด”“ฉันรู้… และฉันก็พร้อมที่จะเสียสละมัน” ฮารุกล่าว ดวงตาของเธอฉายแววแน่วแน่ “ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนไปตลอดก
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือยอดเขาไฟอัคคีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานยาม ดวงจันทร์สีเลือด โคจรขึ้นมาเต็มดวง แสงสีโลหิตอาบไล้ทิวทัศน์รอบข้างให้ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม เสียงคำรามกึกก้องจากปากปล่องภูเขาไฟดังกึกก้องไม่หยุดหย่อน ราวกับเสียงหายใจอันหนักหน่วงของอสูรร้ายที่กำลังจะตื่นจากการหลับใหลที่ยาวนานนับพันปี กลิ่นกำมะถันและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ยิ่งสร้างความกดดันอันหนักอึ้งให้แก่ อิจิ และ ฮารุ ที่กำลังปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขา“อีกนิดเดียวอิจิ! เราจะไปถึงแล้ว!” ฮารุตะโกนบอก เสียงของเธอสั่นเครือจากความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว แต่ดวงตาของเธอยังคงเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ผ้ายันต์แห่งความจริงที่สถิตอยู่ในฝ่ามือของเธอเรืองแสงสีรุ้งอ่อนๆ ตอบรับกับพลังงานมหาศาลของดวงจันทร์สีเลือด“ฉันรู้ฮารุ… ฉันสัมผัสได้ถึงมัน” อิจิตอบ เขาปีนป่ายก้อนหินที่แหลมคมอย่างรวดเร็ว แม้ร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่จิตใจของเขามุ่งมั่นกว่าครั้งไหนๆ ดาบในมือของเขาเปล่งประกายสีเงินจางๆ พร้อมรับมือกับทุกสิ่งลมพายุโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นบนยอดเขา เสียงกรีดร้องโหยหวนคล้ายเสียงวิญญาณดังมาจากปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น ลาวาสีแดงฉา
สายลมแห่งยามรุ่งอรุณพัดโชยมาปะทะร่าง อิจิ และ ฮารุ ที่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังทิวทัศน์เบื้องหน้า เผยให้เห็นยอดเขาไฟที่สูงเสียดฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าดิบชื้นที่พวกเขาเพิ่งฝ่าฟันออกมา หมอกจางๆ ลอยปกคลุมรอบฐานของภูเขาไฟราวกับผ้าห่มสีขาว กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาตามลมเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังงานที่ไม่สงบนิ่งที่อยู่ภายใน“นั่นแหละ… ยอดเขาไฟ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “มันดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะอิจิ”อิจิพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใช่… พลังงานมืดมิดที่แผ่ออกมาจากที่นั่นมันมหาศาลมาก ‘ผู้ตื่น’ กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า”ผ้ายันต์แห่งความจริงที่ผนึกอยู่ในฝ่ามือของฮารุเรืองแสงจางๆ เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกของอิจิ พวกเขามีเวลาเพียงสองราตรีเท่านั้นก่อนที่ ดวงจันทร์สีเลือด จะปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธนาการของ ‘ผู้ตื่น’ จะอ่อนแอที่สุด“เราต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด” อิจิกล่าว “และเราต้องหารหัสลับแห่งบรรพกาลให้เจอด้วย”“รหัสลับนั่น… มันอยู่ที่ไหนกันนะ?” ฮารุถาม “จิตวิญญาณแห่งต้นไม้บอกแค่ว่ามันอยู่ในผืนป่าแห่งนี้
คืนเดือนมืดปกคลุมผืนป่าดิบชื้นทางตอนเหนือของสยามประเทศ แสงจันทร์แทบไม่สามารถส่องผ่านม่านไม้หนาทึบลงมาได้ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และเสียงลมกระโชกแรงที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าให้เสียดสีกันเป็นระยะ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากวิญญาณแห่งป่า อิจิและฮารุยังคงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ร่างกายของอิจิอ่อนล้าจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนฮารุก็ดูซีดเซียวจากการใช้พลังแห่งชีวิตครั้งล่าสุด แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผ้ายันต์ผืนสุดท้ายที่ปรากฏในนิมิตของฮารุ“อากาศที่นี่มันแปลกๆ นะอิจิ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “มันเย็นยะเยือกกว่าที่ควรจะเป็น… เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่”“ใช่… ฉันก็รู้สึกได้” อิจิตอบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “พลังงานที่นี่ไม่ใช่พลังงานของปีศาจ แต่มันเป็นพลังที่เก่าแก่กว่านั้น… ลึกซึ้งกว่านั้น”ตามนิมิตของฮารุ ผ้ายันต์ผืนสุดท้ายถูกซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าในป่าลึกแห่งนี้ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีแสงสีม่วงเข้มเปล่งออกมาจากรากของมัน“เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมอิจิ?” ฮารุถาม“ฉันหวังว่าอย่างนั้นฮารุ” อิจ