เมืองคอร์เซียร์...
เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือด เรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมือง กลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน “ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วน ลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมือง ที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีก ภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับ ชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่ “เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน” แบร์กตันโบกมือ ผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น “ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้อง เขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอกข้าเรอะ!? ข้าจ่ายเจ้าไปตั้งแต่ก่อนพระจันทร์ขึ้น! แล้วเจ้ากลับมาพร้อมคนเเคระ ข้าต้องการเงือก?!” “เงือกหนีระหว่างทาง” แบร์กตันกัดฟันตอบ “นางฉลาดกว่าที่ข้าคิด...แต่ไม่เกินมือข้าแน่ ข้าจะไปจับนางกลับมาให้” “ในคอร์เซียร์ ไม่มีใครล้อเล่นกับข้าแล้วจากไปพร้อมหนี้หรอกนะ กัปตัน” ทันใดนั้น บรรดาคนงานของโรงละครสัตว์ก็ก้าวออกจากมุมมืดรอบลานหลังโรง ในมือพวกเขามีทั้งตะขอ ค้อน ท่อนไม้เหล็ก และโซ่สนิม แบร์กตันหรี่ตา มือข้างหนึ่งแตะด้ามดาบที่สะโพก แต่ก่อนที่เลือดจะนอง เจ้าของโรงละครยกมือขึ้น “...ฟังนะ” เขายิ้ม “ถ้าเจ้าจะตามตัวเงือกตัวนั้นกลับมาให้ภายใน ห้าวัน เราจะถือว่าหนี้สินเป็นโมฆะ” “ดี” แบร์กตันกล่าว “นางหลบอยู่ในเกาะต้องสาป ข้าจะลากหางปลานั่นกลับมาให้เจ้าเอง…” เรือเล็กของโจรสลัดลอยลำอย่างเงียบงันเหนือผืนน้ำสีดำสนิท ไอเย็นที่พัดผ่านไม่ใช่เพียงลมจากทะเล...แต่มันเหมือนเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่มีตัวตน กัปตันแบร์กตันยืนหัวเรือ ดวงตาแข็งกร้าว เบื้องหลังเขา คือลูกเรือห้าคน คนหนึ่งชื่อบรอล ร่างใหญ่ใจร้อน อีกคนคือซิน หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญกับดัก และอีกสามคนคือ เดร็กซ์, วินซ์, โฮลเลอร์ — ล้วนแต่ผ่านสนามรบทะเลมานับไม่ถ้วน “เจอเงือกแล้วก็จับใส่กรง” แบร์กตันพูดเสียงเย็น “อย่าลังเล อย่าใจอ่อน—สิ่งมีชีวิตพวกนั้นไม่ใช่คน พวกมันลวงโลกด้วยหน้าตาเท่านั้น” เกาะร้างปรากฏในสายตา แนวป่าทึบตั้งฉากรอผู้บุกรุกเหมือนเขี้ยวสัตว์ร้าย ทรายชายฝั่งสีหม่น ไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น พวกเขาเหยียบฝั่งโดยไม่มีใครพูดอะไร เสียงรองเท้าบู๊ตจมหายลงในเลนเปียก ลมหอบกลิ่นดินชื้นและเศษซากทะเลเหม็นเน่า บรอลพูดขึ้นเบา ๆ ขณะจับด้ามขวานแน่น “ที่นี่มัน...ไม่เหมือนเกาะธรรมดา” “เก็บความกลัวไว้กินตอนตาย” แบร์กตันหันไป “ซิน เจ้าเดินนำทาง หญิงสาวคล้องมีดสั้นไว้ข้างเอว เดินนำผ่านพุ่มไม้หนา เดร็กซ์กับวินซ์ถือคบเพลิงเดินตาม เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา แสงไฟสั่นไหวตามแรงลม เงาของต้นไม้เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ทันใดนั้น— แกรก! เสียงบางอย่างขยับอยู่บนยอดไม้ บรอลเงยหน้าขึ้นทันที พลางเงื้อขวาน แต่ไม่มีอะไร...นอกจากเสียงหัวเราะแผ่วเบา ลอยมากับสายลม... > “ได้ยินไหม?” วินซ์กระซิบ “เสียงผู้หญิงหัวเราะ...” > “ข้าคิดว่าเป็นลม” ซินกัดฟัน “เดินต่อ อย่าแตกแถว” พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทว่าทุกก้าวที่ย่างเข้าไปในป่า…เหมือนกับว่าความเป็นจริงเริ่มบิดเบี้ยว ต้นไม้เริ่มขึ้นแนวผิดธรรมชาติ เถาวัลย์พันกันเป็นรูปแปลกตา กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ ทันใดนั้น… พวกเขาพบกับสิ่งหนึ่ง เป็นโขดหิน…ที่มีรอยขีดเขียนของมนุษย์ คำจารึกโบราณด้วยอักษรบางอย่างที่ไม่มีใครอ่านออก และตรงพื้นเบื้องหน้า...คือรอยเท้า รอยเท้าคน...และรอยเลื้อยของบางอย่าง แบร์กตันทรุดลงดูใกล้ ๆ เขาแตะพื้น ตรวจสอบรอยเท้า “นี่ไม่ใช่พวกเราแน่...รอยเท้าผู้หญิง” เขากระซิบเบา ๆ แล้วหันไปสบตากับทุกคน “นางอยู่ที่นี่จริง ๆ...นีร่า” ทันใดนั้น ลมแรงพัดวูบ เปลวไฟจากคบเพลิงดับวูบในพริบตา และเสียงหนึ่ง...ดังขึ้นจากความมืด > “เจ้าคือผู้ล่า...หรือเหยื่อกันแน่?” ทุกคนชะงัก วินซ์ก้าวถอยหลัง ขณะที่ซินกรีดมีดเตรียมสู้ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้มาจากคอคน ค่อย ๆ ลอยวนอยู่รอบพวกเขา พวกเขารู้ในวินาทีนั้นว่า...สิ่งที่อยู่บนเกาะนี้ ไม่ได้มีแค่เงือกนีร่า เขาหันกลับไปขึ้นเรือ ลูกเรือรีบตามหลัง เสียงระฆังเรือดังขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางสายลมที่เริ่มเย็นยะเยือก ค่ำคืนมืดมนคลืบคลานลงสู่ป่าแน่นหนาของเกาะร้าง กลิ่นดินชื้น กลิ่นคราบเกลือ และอะไรบางอย่างที่คล้ายกลิ่นศพเริ่มโชยมาตามสายลม คบเพลิงของโจรสลัดถูกจุดขึ้นอีกครั้งด้วยไฟจากหินเหล็กไฟ แสงสีส้มวาบวับของมันฉาบเงาโหดเหี้ยมลงบนใบหน้าของแบร์กตันและลูกน้องทั้งห้า พวกเขาไม่รู้เลย…ว่าในความมืดข้างทาง บางสิ่งกำลังมองอยู่ “ข้าบอกแล้วว่าได้กลิ่นเน่า” บรอลบ่น “นี่มันไม่ใช่แค่กลิ่นซากปลาแน่…” “เงียบ” ซินขู่เสียงแผ่ว มือจับมีดข้างขาแน่น “มีบางอย่างตามพวกเราอยู่ แต่ยังไม่ลงมือ” แต่ในขณะที่ทุกคนระวังหน้า ระวังหลัง… ...ไม่มีใครหันไปมอง “ต้นไม้ใหญ่” ทางซ้ายมือ มันคือไม้เก่าแก่ที่สุดต้นหนึ่งในบริเวณนั้น เปลือกไม้แตกเป็นเส้น มีบางอย่างคล้ายรูปร่างมนุษย์ฝังแนบอยู่กับลำต้น บิดเบี้ยว เหมือนถูกหล่อรวมกับเนื้อไม้มาเป็นร้อยปี ตาไม่มีลูกกระตา ปากอ้าค้าง แต่กลับมีไอหมอกสีดำค่อย ๆ รินออกมาจากรอยแยก เดร็กซ์เป็นคนที่เดินตามหลังกองขบวน เขายืนปัสสาวะข้างทางชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับ… แล้วเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เขาคิดว่าเป็น “รากไม้” > “เฮ้…ต้นไม้นี่…หน้าตาแม่งเหมือนคน…” ไม่ทันที่เสียงจะสิ้นสุด… เสียง “ฉึก!” เงียบกริบ มือดำทะมึนพุ่งฉับเข้าจับปากของเดร็กซ์จากด้านหลัง ร่างของเขาถูกลากเข้าไปในลำต้นไม้เน่าเปื่อย เสียงกระดูกหักดังกร๊อบในความเงียบ เลือดหยดลงพื้น... แต่ไม่มีใครได้ยิน กลุ่มโจรสลัดที่เหลือเดินลึกเข้าไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่า… “เดร็กซ์หายไปแล้ว” บนเปลือกไม้ ตรงจุดที่ร่างนั้นเคยหลอมรวม บัดนี้กลายเป็นสองร่าง และ “ต้นไม้ต้นนั้น” ก็ค่อย ๆ กลืนน้ำลาย…เป็นเสียงครืดแผ่วเบา เหมือนกับยังไม่อิ่มยามค่ำคืน – ริมชายฝั่งที่เงียบสงัดคลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินเป็นจังหวะสายลมเย็นปะทะผิวจนหนาวสะท้านดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงจ้าเหนือผืนน้ำสีหมึกนีร่ายืนอยู่บนผืนทรายแผลที่แขนยังพันผ้าแน่น แต่เลือดยังซึมออกไม่หยุดข้างเธอ อีธานยืนเงียบเขาไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองหน้าเธอราวกับอยากจำทุกรายละเอียดไว้ให้ขึ้นใจนีร่าหันมามองเขาดวงตาสองคู่สบกันในความเงียบ“ข้าจะรีบกลับมา”เธอเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงสั่นอีธานพยักหน้า แต่สายตาเขาเต็มไปด้วยห่วง“นานแค่ไหน?”“ข้าไม่รู้…”นีร่ากลืนน้ำลาย“แค่ไม่กี่วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”อีธานถอนหายใจ มือใหญ่ลูบผมเธออย่างแผ่วเบา“เจ้าพูดเหมือนมันจะง่าย”“มันไม่ง่าย” เธอยิ้มจางๆ“แต่ข้าต้องลอง”เขาเงียบไปนาน ก่อนจะหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งจากเอวด้ามเป็นเหล็กเรียบเรียง เส้นคมคมกริบ“เอาไว้ป้องกันตัว”นีร่ารับมาไว้ในมือสายตาเธอเริ่มพร่าเธอขยับเข้าไปใกล้ โอบแขนรอบตัวเขาแน่น“ข้ากลัว…”เธอกระซิบ“กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีก”“ข้าก็กลัวเหมือนกัน”เขากอดเธอแน่นยิ่งกว่าเดิม“แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเข้มแข็งกว่าใคร ข้าจะรออยู่ตรงนี้…ทุกวัน”นีร่าซบหน้ากับอกเขา น้ำตาไหลเงียบๆเธอไม่
นีร่ายังคงสั่นเทา น้ำตาไหลไม่หยุดอีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่ประคองใบหน้าเธอแผ่วเบา“นีร่า…มองข้า…เจ้าอยู่ที่นี่ ปลอดภัยแล้ว”เธอกะพริบตา ถอยหายใจแรงเหมือนจะขาดใจเสียงในคอแหบจนแทบไม่เป็นเสียง“มัน…มันไม่ใช่แค่ฝัน…ข้าเห็นแม่จริงๆ”อีธานกอดเธอไว้แน่นกลิ่นเลือดและเหงื่อยังติดตัวเธอ“แม่ของข้า…ตาเปลี่ยนเป็นสีดำ…”เธอกัดริมฝีปาก มือสั่นจนแทบกำอะไรไม่อยู่“เธอกลายเป็น…สัตว์ประหลาด…พูดว่าข้า…ต้องกลับไป…เป็นเหมือนพวกมัน…”เสียงสะอื้นดังลอดออกมาอีธานค่อยๆ ลูบหลังเธอ“ไม่…เจ้าจะไม่เป็นเหมือนพวกมัน”น้ำเสียงเขาหนักแน่น“ข้าสัญญา”นีร่าเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ“ถ้าแม่ยังมีชีวิต…ข้าต้องหาคำตอบ…ข้าต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”“งั้นเราจะไปด้วยกัน”อีธานพูดช้าๆ จ้องตาเธอแน่วแน่“ไม่ว่าต้องไปที่ไหน…เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เสียงคลื่นนอกหน้าต่างยังซัดเข้าฝั่งไฟตะเกียงสั่นไหวเงียบๆในอกนีร่า ความกลัวค่อยๆ แปรเป็นแรงฮึดสู้เธอพยักหน้าช้าๆ“เราจะหาความจริง…ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร…”อีธานกระชับมือเธอแน่นขึ้นและในค่ำคืนที่หนาวเหน็บหัวใจสองดวงก็ผูกพันกันมั่นคงกว่าเดิมสองวันถัดมาแผลบนแขนของนีร่าไม่ดีขึ้น
หัวหน้าเงือกพุ่งใส่อีธานสุดแรงครีบใหญ่หวดอากาศจนเกิดเสียงแตกดัง วืด!อีธานเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายปลายมีดในมือฟาดเฉียงเข้าที่คอด้านข้างของมันฉึก!เสียงเนื้อฉีกดังชัดเลือดสีหมึกกระฉูดราดเต็มตัวเขาหัวหน้าเงือกคำรามลั่นจนพื้นสะเทือนร่างมหึมาสะบัดถอยหลังไปสองก้าวชั่ววินาทีนั้น…ศรเซรีออนในมือนีร่าเปล่งแสงจ้าเหมือนจะปล่อยพลังสุดท้ายออกมาเธอยกศรขึ้น…ริมฝีปากแห้งแตกพึมพำถ้อยคำเวทเสียงแหบจนแทบฟังไม่ออก“…จบสิ้น…อสูร…”ประกายฟ้ารูปวงเวทหมุนรอบตัวเธอพลังเวททะลักขึ้นจนฝนสาดกระจายเป็นวงแสงจากศรสว่างจ้า—แต่ทันใดนั้นร่างเธอก็สั่นแรงแผลลึกบนแขนซ้ายฉีกกว้างกว่าเดิม เลือดพุ่งร้อนวาบเต็มมือนีร่าหอบแรง สายตาพร่าเสียงในหูเธอกลายเป็นเสียงอื้ออึงภาพรอบตัวพร่ามัวเหมือนฝันหัวหน้าเงือกที่บาดเจ็บคอคำรามต่ำมันถอยไปช้า ๆ หยาดเลือดดำหยดตามพื้นสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด…และความเกลียดชังก่อนมันจะพุ่งหนีเข้าความมืดหลังบ้านเรือนพังยับอีธานจะวิ่งตาม—แต่เขาหันมาเห็นนีร่าทรุดลงบนเข่าตัวเองศรเซรีออนร่วงจากมือกระแทกพื้นหิน“นีร่า!”เขาพุ่งเข้าประคองร่างเธอไว้แขนเธออ่อนแรงจนแทบไม่ขยับสายตาคู่สวยค่อย
นีร่าเหวี่ยงศรลงสุดแรงปลายศรเซรีออนเปล่งแสงฟ้าแทงเข้าข้างคอหัวหน้าเงือกฉึก!เสียงเนื้อแตกดังชัดเลือดสีหมึกทะลักออกมาเป็นฝอยดำข้นมันคำรามลั่นทั้งลานบ้านแต่พลังมันยังไม่หมด—เงือกกลายพันธุ์ใช้ครีบหนาฟาดสวนใส่เธอเต็มแรงผัวะ!ร่างนีร่ากระเด็นไถลไปตามพื้นหินเธอรู้สึกเหมือนอากาศในปอดหายไปหมดโลกทั้งโลกหมุนเคว้งอยู่ชั่ววูบเสียงอีธานตะโกน“นีร่า!”เธอพยายามลุก แต่แขนซ้ายชาไปหมดพอเหลือบลงมอง…แผ่นหนังแขนเสื้อขาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลรินตลอดแนวแผลฝนโปรยแรงขึ้นจนทุกอย่างเย็นเฉียบแต่บาดแผลกลับร้อนจี๊ดราวไฟลวกเธอหอบหายใจ สายตาพร่าเสียงฝีเท้าเงือกกลายพันธุ์ก้าวมาช้า ๆมันก้มลง แยกเขี้ยวใส่เธอนีร่ากัดฟัน พยายามยันตัวขึ้นแม้แขนซ้ายจะสั่นจนแทบยกไม่ไหวศรเซรีออนสั่นแสงพร่าอยู่ในมือข้างขวาอีธานพุ่งมาคุกเข่าข้างเธอ“อย่าฝืน…! ถอยก่อน!”เธอสบตาเขาแม้เจ็บจนตัวสั่น แต่เสียงเธอยังนิ่ง“ไม่ได้…มันจะฆ่าพวกเขาทุกคน…”บีลาร์กับลุงโทบี้พุ่งเข้ามาขวางตรงหน้าหอกไม้ยกขึ้นพร้อมกัน แม้จะสู้ด้วยแรงที่สั่นระริกนีร่าหอบแรงหนึ่งทีแล้วกัดฟันจนเลือดซึมที่ริมฝีปากเสียงฝีเท้าเงือกกลายพันธุ์ที่กำลังจะก
เสียงกรีดร้องดังสะท้อนมาตามลมทะเลนีร่าชะงัก…มือยังถือถ้วยซุปที่อีธานเพิ่งตักให้เมื่อครู่แววตาเธอเปลี่ยนไปทันที — ความนิ่งสงบกลายเป็นความตื่นตัว“เสียงจากหมู่บ้าน…”เธอกระซิบ เบาแต่หนักแน่นอีธานวางชามลงแทบจะพร้อมกัน“ข้าจะไปด้วย”ไอล่าลุกพรวด“เดี๋ยว! มันอาจเป็นกับดัก—”“ไม่ไปตอนนี้จะไม่มีใครให้ช่วยแล้ว!” นีร่าตอบพลางคว้าศรเซรีออน ดวงตาสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆศรในมือเธอร้อนจัด—เหมือนมัน “เตือน” ว่า ศัตรูอยู่ใกล้---กลางหมู่บ้าน — เปลวไฟลุกโชนร่างของเงือกกลายพันธุ์ 3-4 ตัว กำลังล้อมครอบครัวหนึ่งที่เหลือเพียงพ่อกับลูกสาว พ่อพยายามยื้อไว้ แต่เด็กหญิงร้องไห้เสียงแหบก่อนที่ครีบแหลมจะฟันลงมาที่ร่างพวกเขา—“ฟึ่บ!”เสียงบางอย่างพุ่งผ่านกลางอากาศแสงฟ้ารูปเกลียว ปรากฏขึ้นกลางฝูงเงือกศรเซรีออนแทงทะลุร่างของหนึ่งในพวกมัน ร่างมันกระตุกก่อนระเบิดเป็นเถ้าทะเล“ทางนี้!” เสียงนีร่าตะโกนเธอพุ่งเข้ามาท่ามกลางเปลวเพลิง ผมยาวสยายตามลม ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แต่ดวงตาไม่สั่นไหวศรเวทในมือเปล่งแสงจ้า ราวกับรู้หน้าที่ของมันเองอีธานกระโจนตามมา สะบัดมีดคู่แทงเข้าลำตัวเงือกอีกตัวอย่างแม่นยำ เลือดสีดำทะลัก“หนีไปทา
แสงแดดสีทองอ่อนส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามา นีร่ากับไอล่านั่งชิดกันบนพื้นไม้ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกนาน ต่างคนต่างเงียบราวกับต้องการให้หัวใจได้พักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นที่บันไดอีธานกลับมาแล้วเขาเปิดประตูเข้ามาช้าๆ ในมือหิ้วตะกร้าที่มีก้อนขนมปังแห้ง ผลไม้ป่า และปลาเค็มสองตัว กลิ่นคาวผสมกลิ่นเค็มทะเลโชยอ่อนๆอีธานวางตะกร้าแล้วเดินเข้ามาหาทั้งสองคน เขาสบตานีร่า สายตาคู่นั้นอ่อนโยนจนหัวใจเธอสั่นอีธาน (เสียงทุ้มแผ่ว)“พอจะมีอะไรให้พวกเราอิ่มท้องไปถึงเย็น ข้าออกไปไกลหน่อย…คิดว่าไม่น่ามีใครตามรอยมาได้”ไอล่า (น้ำเสียงยังแหบ)“ขอบคุณ…เจ้าลำบากเพราะพวกเรามากแล้ว”อีธานส่ายหน้า เขาหันไปมองนีร่าแวบหนึ่งอีธาน“พวกเจ้าสองคนคือคนสำคัญ…ไม่มีอะไรเรียกว่า ‘ลำบาก’”นีร่าเม้มริมฝีปาก เธอรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ฝืนใจไว้นีร่า“เมื่อคืน…ข้าคิดว่าเราอาจไม่รอดแล้วจริงๆ”อีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่สั่นน้อยๆ ขณะเอื้อมไปแตะแก้มนีร่าอีธาน“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ…ข้าจะไม่ยอมให้มันพรากเจ้าหรือใครไปอีก”เขาหันไปสบตาไอล่าอีธาน“ข้าสาบาน…เราจะพามาริเบลกลับไปฝังอย่างสมเกียรติ และเราจะหาทางล้างแค้นมัน”