บรอลยกคบเพลิงขึ้นสูงกว่าเดิม มองไปรอบด้านด้วยคิ้วขมวด
“ข้าไม่ชอบที่นี่เลย…เสียงลมเหมือนเสียงคนคร่ำครวญ มันผิดธรรมชาติ” วินซ์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วบ่น “ก็อย่ามัวฟังสิวะ เดินต่อเถอะ ข้าอยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ” ซินหันกลับมาหยุดกะทันหัน นางจ้องหน้าวินซ์ “เจ้าไม่เข้าใจเหรอ? ป่าแบบนี้น่ะ...ถ้าเดินโดยไม่ฟังอะไรเลย มีหวังกลายเป็นศพไวขึ้นสามเท่า” แบร์กตันที่เดินนำอยู่หันกลับมา เสียงเย็นชาของเขาดังกระแทกอากาศ “เลิกเถียง...ทุกเสียงที่ได้ยิน ให้จำไว้ว่า ‘มัน’ ก็ได้ยินเราด้วย” (เพิ่มเติมในฉากโขดหินมีรอยเท้า) เมื่อแบร์กตันก้มตรวจรอยเท้า เขาพึมพำ “นีร่า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ” ซินเดินเข้ามาใกล้เงียบ ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว “ท่านแน่ใจใช่ไหม...ว่าคุ้ม?” แบร์กตันไม่ตอบทันที เขาเพียงแค่มองลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า แล้วตอบ “เงือกตัวนี้...มีราคาที่สูงกว่าชีวิตพวกเจ้า รวมกันทั้งลำเรือ” บรอลสอดแทรกขึ้นมา “แล้วถ้ามันลากพวกเราทั้งลำลงทะเลล่ะ?” แบร์กตันหันกลับไปสบตาเขา ดวงตาไม่มีแววลังเล “ก็อย่าให้มันได้โอกาส” ป่าทางตะวันตกของเกาะต้องสาป แสงจันทร์ลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำ ๆ สะท้อนบนผิวน้ำขังในโพรงดิน อีธานสาวเท้าช้า ๆ ผ่านพงหญ้า ดาบสั้นเหน็บอยู่ที่ข้างเอว เขาก้มมองแผนที่ฉีกขาดที่เขียนด้วยหมึกจางคล้ายเลือดแห้ง ด้านหลังคือไอล่า — หญิงสาวที่เคลื่อนไหวเงียบราวกับเงา ดวงตาคมของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ ไม่ไว้ใจแม้แต่เสียงแมลงกระซิบ > “มันเงียบเกินไป…” นางกระซิบเบา ๆ “ข้าว่านีร่าคงไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก อีธาน” อีธานตอบโดยไม่หันกลับ > “นีร่าไม่ใช่แค่หนี — นางกำลัง ‘นำ’ เราไปที่ไหนสักแห่ง” ไอล่าขมวดคิ้ว > “แล้วเจ้าจะเดินตามต่อ ทั้งที่รู้ว่ากำลังถูกล่อ?” > “ก็ถ้าอยากเจอนาง ก็ต้องยอมเสี่ยง” เสียง “แผล่บ...แผล่บ...” บางอย่างดังแว่วมาเบื้องหน้า ทั้งคู่ชะงัก อีธานยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด จากนั้นเขาค่อย ๆ ย่อตัวลงซ่อนหลังพุ่มไม้ชื้น เบื้องหน้าพวกเขา... ในแอ่งโคลนกลางป่า มี “บางสิ่ง” กำลังก้มหน้าก้มตากัดกินร่างมนุษย์ที่ขาดวิ่นเเละส่งกลิ่นเหม็นเน่ารุนเเรง ไม่ใช่เพียงตนเดียว... เงือกสามตน — ร่างกายแห้งเกรอะกรัง ผิวหนังแตกระแหงราวกับเกล็ดปลาที่ตายมาแล้วหลายวัน ปลายหางสีดำอมเขียวเปื้อนเลือด พวกมันล้อมซากศพที่ใบหน้ายังเบิกตาค้างอยู่ เล็บแหลมแหวะเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ เสียงกระดูกถูกแทะราวกับมันคือของหวานหลังอาหาร ไอล่ากลั้นหายใจ นางจับแขนอีธานแน่นจนเขาสะดุ้งเล็กน้อย > “...นั่นไม่ใช่นีร่า” > “ข้าไม่แน่ใจ...” อีธานกระซิบตอบ “แต่ถ้าใช่...นีร่าเปลี่ยนไปแล้ว” ทันใดนั้น เงือกตนหนึ่งเงยหน้าขึ้น เลือดเปื้อนเต็มปาก มันสูดกลิ่นบางอย่างในอากาศราวกับว่าได้กลิ่นที่เเปลกเเละไม่คุ้นเคย แล้ว...หันมาทางพวกเขา เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังจากลำคอของมัน ตามด้วยเสียงอื่นอีกสองตัวแทรกซ้อน ดวงตาขาวขุ่นของพวกมันจ้องตรงมาโดยไม่มีหนังตากระพริบ > “วิ่ง” อีธานพูดเบา ๆ > “ไม่ต้องให้ข้าบอกรอบสอง!” ไอล่ากระชากแขนอีธาน แล้วทั้งคู่ก็ถอยห่างออกมาพร้อมเสียงใบไม้สั่นสะเทือนตามแรงฝีเท้า เสียงกรีดร้องของเงือกตามมาในเงามืด — แหลมสูงและไม่ใช่เสียงของมนุษย์ ป่าทึบทางใต้ของเกาะต้องสาป เสียงฝีเท้ากระแทกดินดัง “ตุบ! ตุบ!” ท่ามกลางใบไม้ที่ปลิวว่อนตามแรงลมและเงาไฟจากคบเพลิงที่ไอล่าถือไว้ > “อีธาน!! ทางนี้!!” เสียงไอล่าดังจากด้านขวา แต่เขาไม่ได้ตอบ... เพราะบางสิ่งกำลังไล่ตามเขาอยู่ — เสียงเนื้อเปียกเฉอะแฉะกระแทกพื้น กับเสียงหอบหายใจกระชั้นถี่ที่ไม่ได้มาจากอกของคนธรรมดา “กรรรร...อ๊ากกกก...” อีธานหันกลับไปชำเลืองเพียงแวบเดียว มันมาใกล้กว่าที่คิด... เงือกกินคน — ร่างผอมแห้งแต่มีกล้ามเนื้อกระตุกราวกับสัตว์คลั่ง เส้นผมยาวเปียกชุ่มพันอยู่กับหน้าที่เปื้อนโคลนและเลือด ริมฝีปากฉีกกว้างเผยเขี้ยวแหลมเรียงซ้อนกันหลายชั้น นัยน์ตาของมันไม่มีสติ...มีแต่ความหิว มันพุ่งใส่อีธานเต็มแรง ผั้วะ! ทั้งสองกลิ้งลงไปในหลุมตื้นกลางพงหญ้า มีดพกของอีธานกระเด็นหลุดมือ เขายกแขนขึ้นกันเล็บของมันที่ฟาดลงมาอย่างไม่ยั้ง > “เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!!” เขาตะโกน พลางพยายามถีบมันออกไป เงือกคำรามใส่หน้าเขาในระยะไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด น้ำลายปนเลือดหยดลงบนแก้มเขา มีกลิ่นคาวเหมือนปลาตายหมักมาหลายวัน มันพยายามงับคอเขา — แต่เขาเบี่ยงทัน มือคว้าสิ่งแรกที่ใกล้ที่สุด — ท่อนไม้แหลมปลายแตก เขาแทงมันไปโดยไม่คิด ฉึก! ท่อนไม้เสียบทะลุเข้าทางสีข้าง เงือกกรีดร้องด้วยเสียงสูงที่ไม่ใช่มนุษย์ ร่างมันกระตุกอย่างบ้าคลั่ง มันยังไม่ตาย... อีธานคว้าเอามีดที่หล่นไปข้างตัว เขาพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบน จ้องตาสัตว์ประหลาดตรงหน้า > “ข้าขอโทษ...แต่ข้าจะไม่ตายที่นี่” แล้วเขาก็ แทงเข้าตรงคอ เลือดสีคล้ำพุ่งออกมาในพริบตา เงือกชักกระตุกสองสามครั้ง ก่อนร่างจะนิ่งสนิท อีธานทรุดตัวลงนั่งหอบ เสียงหัวใจเขาดังอื้อในหู ไอล่าวิ่งมาถึงพอดี เห็นสภาพตรงหน้าแล้วหยุดกึก > “...เจ้าฆ่ามันแล้ว?” > “มันเริ่มก่อน” อีธานตอบเสียงแหบ “และมันไม่ใช่คน...ไม่อีกแล้ว” เงือกตนนั้นนอนนิ่ง ตาเบิกโพลงขึ้นสู่ท้องฟ้าสีหม่น อีธานยังคงหอบหายใจ ดวงตาเขาจ้องร่างของเงือกที่แน่นิ่งอยู่ใต้เท้า เลือดสีคล้ำไหลเป็นทางลงแอ่งน้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้...คือรอยยิ้มสุดท้ายของมัน รอยยิ้มที่ไม่ใช่จากความเจ็บปวด ไม่ใช่จากความบ้าคลั่ง แต่ราวกับมัน “รู้บางอย่างที่เขาไม่รู้” ไอล่าเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ นั่งยองลงข้างเขา เธอมองใบหน้าของศพ แล้วพูดเสียงเบา > “นั่นไม่ใช่แค่สัตว์ประหลาด…นั่นเคยเป็นมนุษย์” อีธานเงยหน้ามองเธอ ดวงตาวูบไหว > “เจ้ามั่นใจได้ยังไง?” ไอล่าล้วงเข้าไปในถุงข้างเอว หยิบเอาเศษผ้าที่ขาดวิ่นออกมา — มีลวดลายปักเป็นตราสัญลักษณ์ของหมู่บ้านริมชายฝั่ง > “ข้าเคยเห็นผ้าแบบนี้ที่แคมป์ของนักล่าทะเลแถบชายแดนตะวันออก…ไม่มีทางที่เงือกจะมีของแบบนี้ นอกจาก...มันเคยเป็นพวกเขา” อีธานเงียบงัน เขาค่อย ๆ ยืนขึ้น หยิบมีดที่เปื้อนเลือดขึ้นมาเช็ดกับชายเสื้ออย่างช้า ๆ > “พวกเขากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง…” ทันใดนั้น... เสียงคลื่นเบา ๆ ดังมาจากด้านหลัง — ทั้งที่อยู่กลางป่า ทั้งสองหันขวับ ตรงโคนต้นไม้ใหญ่…มีน้ำซึมไหลออกมาจากดิน เหมือนมีบ่อน้ำใต้ดินแตกขึ้นมา แต่แปลกตรงที่น้ำมัน “ส่องแสงเรือง ๆ สีฟ้าจาง” เสียงเพลงเบา ๆ ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เสียงพูด ไม่ใช่เสียงคนร้อง แต่เป็น “เสียงในหัว”…อ่อนหวาน เยือกเย็น และปวดร้าว > “…อย่าไว้ใจเสียงที่เจ้าคิดว่ารู้จัก…” ไอล่าถอยหลังไปหนึ่งก้าว > “อีธาน นั่น...เสียงของนีร่าเหรอ?” อีธานขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม > “ข้าไม่แน่ใจ…แต่นางต้องการให้เรารู้บางอย่าง” เขากระชับมีดในมือ “และเราต้องหานางให้พบ ก่อนที่คนอื่นจะเจอก่อนเรา เสียงป่าคลื่นไหวอีกครั้ง แผ่นดินเบื้องใต้เริ่มส่งเสียง “กรอบแกรบ” เหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้รากไม้ บางสิ่งกำลังตื่นขึ้น...........เสียงหยดน้ำจากผนังถ้ำกระทบแอ่งหินอย่างเนิบช้า กลิ่นชื้นของความตายเจืออยู่ในอากาศ แสงคบเพลิงสะท้อนประกายสีทองที่แวววาวอยู่รอบตัวกัปตันแบร์กตัน เขายืนอยู่กลางห้องถ้ำโอ่อ่า รายล้อมด้วยกองทองคำ เพชรนิลจินดา และถ้วยสุราจากยุคสมัยที่หล่นหายไปจากประวัติศาสตร์ ทว่าเบื้องหลังประกายนั้น ไม่มีอะไรขยับ ไม่มีแม้แต่ลมหายใจของชีวิต"เจ้ามาได้ยังไง..." แบร์กตันเอ่ยเสียงต่ำ พริบตาเดียวมือขวาของเขาก็แตะปลายดาบแล้วอีธานยืนอยู่ตรงปากถ้ำ แสงคบเพลิงสะท้อนใบหน้าเปรอะโคลนและเหงื่อ “ข้าควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า… นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”สายตาของทั้งสองประสานกัน เต็มไปด้วยความหวาดระแวง อีธานเหลือบมองรอบถ้ำด้วยความประหลาดใจ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับไม่มีสมบัติใด ๆ นอกจากเศษซากกระดูกมนุษย์ เครื่องเงินขึ้นสนิม และคราบแห้งของเลือดที่ฝังในหิน"เจ้ามองไม่เห็นหรือ?" แบร์กตันกระซิบคล้ายละเมอ "ดูสิ… ทองคำของราชาโจรสลัด! อยู่ตรงนั้นน่ะ”“ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น!” อีธานสวนเสียงแข็ง “ข้าเห็นแต่เงาแห่งความตาย”มือของแบร์กตันสั่นเล็กน้อย เขาหันขวับมามองอีธาน ดวงตาฉายแววสับสนและโกรธเคือง "เจ้าจะเอามันไปจากข้าใช่มั้ย... เจ้าคิ
แบร์กตันขมวดคิ้ว สัญชาตญาณนักล่าทะเลในตัวเขาเตือนว่า ไม่ควรก้าวต่อไปแต่ก็เหมือนทุกคน…พวกเขาก้าวตามเสียงนั้นไปโดยไม่รู้ตัวรอยเท้าคนเปลือยเปล่านำพวกเขาสู่แนวหินสูงชัน ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และหญ้า เสียงลมหายใจเบา ๆ หลายเสียงที่ “ไม่ใช่ของพวกเขา”> “นั่น…” ซินชี้ขึ้นเบา ๆเบื้องหน้าคือ “ปากถ้ำ” มืดมิด ลึก และเย็นชืด แต่ด้านในกลับมีแสงระยิบระยับเหมือนเทียนนับร้อยเล่ม…หรือบางอย่างที่สว่างกว่า> “ข้าไม่ชอบแบบนี้เลยกัปตัน…” บรอลพึมพำ ขวานในมือหนักขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุแบร์กตันเงียบ เขาค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปในถ้ำเมื่อพวกเขาก้าวข้ามเงาความมืดของปากถ้ำ—โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปภาพตรงหน้าเหมือนมาจากตำนานที่บรรพบุรุษยังไม่กล้าฝันถึงกอง ทองคำ หีบสมบัติ เพชร พลอย เหรียญทองเรียงรายซ้อนกันสูงจรดเพดานถ้ำ บางหีบเปิดออก เผยให้เห็นสร้อยคอแห่งราชา โล่ทองคำแห่งเทพเจ้า และมงกุฎที่ดูราวกับเป็นของกษัตริย์ในยุคโบราณ> “...พระเจ้า…” ซินพึมพำ เบิกตากว้างแสงสีทองกระทบดวงตาของพวกเขา ดึงดูดใจรุนแรงจนยากจะละสายตา> “ถ้าเราหอบไปแค่ครึ่งเดียว...ครึ่งเดียวก็พอ...” บรอลพูดทั้งที่น้ำลายไหล และมือเริ่มยื่นไปหา
กลุ่มของกัปตันแบร์กตัน ใน ป่าลึกของเกาะต้องสาปคบเพลิงเปลวสีส้มสาดเงาบิดเบี้ยวบนลำต้นไม้รอบข้างเสียงใบไม้แห้งกรอบใต้เท้าทำให้บรรยากาศเงียบงันดูอึดอัดยิ่งขึ้นกัปตันแบร์กตันเดินนำหน้า ร่างสูงของเขากดอากาศให้แน่นตึงราวกับแรงกดดันจากทะเลลึกซินเดินตามติด ส่วนบรอบลากขวานใหญ่ติดพื้นอย่างไม่ตั้งใจไม่มีใครพูดอะไร...จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา> “...เดร็กซ์ไปไหน?”ซินหยุดเดิน ดวงตาเหลือบไปมองรอบตัว> “เมื่อกี้ยังเดินตามอยู่…ข้างหลังเจ้า บรอลบรอลเงยหน้าอย่างงุนงง> “ข้า...คิดว่าเขาเดินล้าหลังอยู่นะ”แบร์กตันชะงัก ฝีเท้าหนักของเขาหยุดลงทันที> “หยุดทุกคน”เสียงของเขาเด็ดขาดเย็นยะเยือกกลุ่มโจรสลัดหันมามองกันและกัน> “ใครเห็นเดร็กซ์ครั้งสุดท้าย?”แบร์กตันถามช้า ๆ น้ำเสียงต่ำแต่กดดันราวกับลมพายุก่อนคลื่นซัดความเงียบกลืนกลุ่มลงชั่วขณะบรอลเป็นคนแรกที่พูด> “ตอนเราผ่านแนวหินด้านหลัง...เขาหยุดฉี่”ซินหันขวับ> “แล้วทำไมเจ้าไม่รอเขา!?”> “เพราะข้าไม่คิดว่าเขาจะ ‘หายตัว’!”เสียงถกเถียงเริ่มดังขึ้นแต่แบร์กตันไม่สน เขาหันหลังทันที ก้าวยาวกลับไปทางที่มาในมือขวา เขาคว้าดาบออกมาอ
บรอลยกคบเพลิงขึ้นสูงกว่าเดิม มองไปรอบด้านด้วยคิ้วขมวด“ข้าไม่ชอบที่นี่เลย…เสียงลมเหมือนเสียงคนคร่ำครวญ มันผิดธรรมชาติ”วินซ์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วบ่น“ก็อย่ามัวฟังสิวะ เดินต่อเถอะ ข้าอยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ”ซินหันกลับมาหยุดกะทันหัน นางจ้องหน้าวินซ์“เจ้าไม่เข้าใจเหรอ? ป่าแบบนี้น่ะ...ถ้าเดินโดยไม่ฟังอะไรเลย มีหวังกลายเป็นศพไวขึ้นสามเท่า”แบร์กตันที่เดินนำอยู่หันกลับมา เสียงเย็นชาของเขาดังกระแทกอากาศ“เลิกเถียง...ทุกเสียงที่ได้ยิน ให้จำไว้ว่า ‘มัน’ ก็ได้ยินเราด้วย”(เพิ่มเติมในฉากโขดหินมีรอยเท้า)เมื่อแบร์กตันก้มตรวจรอยเท้า เขาพึมพำ“นีร่า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ”ซินเดินเข้ามาใกล้เงียบ ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว“ท่านแน่ใจใช่ไหม...ว่าคุ้ม?”แบร์กตันไม่ตอบทันที เขาเพียงแค่มองลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า แล้วตอบ“เงือกตัวนี้...มีราคาที่สูงกว่าชีวิตพวกเจ้า รวมกันทั้งลำเรือ”บรอลสอดแทรกขึ้นมา“แล้วถ้ามันลากพวกเราทั้งลำลงทะเลล่ะ?”แบร์กตันหันกลับไปสบตาเขา ดวงตาไม่มีแววลังเล“ก็อย่าให้มันได้โอกาส” ป่าทางตะวันตกของเกาะต้องสาป แสงจันทร์ลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำ ๆ สะท้อนบนผิ
เมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ