บรอลยกคบเพลิงขึ้นสูงกว่าเดิม มองไปรอบด้านด้วยคิ้วขมวด
“ข้าไม่ชอบที่นี่เลย…เสียงลมเหมือนเสียงคนคร่ำครวญ มันผิดธรรมชาติ” วินซ์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วบ่น “ก็อย่ามัวฟังสิวะ เดินต่อเถอะ ข้าอยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ” ซินหันกลับมาหยุดกะทันหัน นางจ้องหน้าวินซ์ “เจ้าไม่เข้าใจเหรอ? ป่าแบบนี้น่ะ...ถ้าเดินโดยไม่ฟังอะไรเลย มีหวังกลายเป็นศพไวขึ้นสามเท่า” แบร์กตันที่เดินนำอยู่หันกลับมา เสียงเย็นชาของเขาดังกระแทกอากาศ “เลิกเถียง...ทุกเสียงที่ได้ยิน ให้จำไว้ว่า ‘มัน’ ก็ได้ยินเราด้วย” (เพิ่มเติมในฉากโขดหินมีรอยเท้า) เมื่อแบร์กตันก้มตรวจรอยเท้า เขาพึมพำ “นีร่า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ” ซินเดินเข้ามาใกล้เงียบ ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว “ท่านแน่ใจใช่ไหม...ว่าคุ้ม?” แบร์กตันไม่ตอบทันที เขาเพียงแค่มองลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า แล้วตอบ “เงือกตัวนี้...มีราคาที่สูงกว่าชีวิตพวกเจ้า รวมกันทั้งลำเรือ” บรอลสอดแทรกขึ้นมา “แล้วถ้ามันลากพวกเราทั้งลำลงทะเลล่ะ?” แบร์กตันหันกลับไปสบตาเขา ดวงตาไม่มีแววลังเล “ก็อย่าให้มันได้โอกาส” ป่าทางตะวันตกของเกาะต้องสาป แสงจันทร์ลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำ ๆ สะท้อนบนผิวน้ำขังในโพรงดิน อีธานสาวเท้าช้า ๆ ผ่านพงหญ้า ดาบสั้นเหน็บอยู่ที่ข้างเอว เขาก้มมองแผนที่ฉีกขาดที่เขียนด้วยหมึกจางคล้ายเลือดแห้ง ด้านหลังคือไอล่า — หญิงสาวที่เคลื่อนไหวเงียบราวกับเงา ดวงตาคมของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ ไม่ไว้ใจแม้แต่เสียงแมลงกระซิบ > “มันเงียบเกินไป…” นางกระซิบเบา ๆ “ข้าว่านีร่าคงไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก อีธาน” อีธานตอบโดยไม่หันกลับ > “นีร่าไม่ใช่แค่หนี — นางกำลัง ‘นำ’ เราไปที่ไหนสักแห่ง” ไอล่าขมวดคิ้ว > “แล้วเจ้าจะเดินตามต่อ ทั้งที่รู้ว่ากำลังถูกล่อ?” > “ก็ถ้าอยากเจอนาง ก็ต้องยอมเสี่ยง” เสียง “แผล่บ...แผล่บ...” บางอย่างดังแว่วมาเบื้องหน้า ทั้งคู่ชะงัก อีธานยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด จากนั้นเขาค่อย ๆ ย่อตัวลงซ่อนหลังพุ่มไม้ชื้น เบื้องหน้าพวกเขา... ในแอ่งโคลนกลางป่า มี “บางสิ่ง” กำลังก้มหน้าก้มตากัดกินร่างมนุษย์ที่ขาดวิ่นเเละส่งกลิ่นเหม็นเน่ารุนเเรง ไม่ใช่เพียงตนเดียว... เงือกสามตน — ร่างกายแห้งเกรอะกรัง ผิวหนังแตกระแหงราวกับเกล็ดปลาที่ตายมาแล้วหลายวัน ปลายหางสีดำอมเขียวเปื้อนเลือด พวกมันล้อมซากศพที่ใบหน้ายังเบิกตาค้างอยู่ เล็บแหลมแหวะเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ เสียงกระดูกถูกแทะราวกับมันคือของหวานหลังอาหาร ไอล่ากลั้นหายใจ นางจับแขนอีธานแน่นจนเขาสะดุ้งเล็กน้อย > “...นั่นไม่ใช่นีร่า” > “ข้าไม่แน่ใจ...” อีธานกระซิบตอบ “แต่ถ้าใช่...นีร่าเปลี่ยนไปแล้ว” ทันใดนั้น เงือกตนหนึ่งเงยหน้าขึ้น เลือดเปื้อนเต็มปาก มันสูดกลิ่นบางอย่างในอากาศราวกับว่าได้กลิ่นที่เเปลกเเละไม่คุ้นเคย แล้ว...หันมาทางพวกเขา เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังจากลำคอของมัน ตามด้วยเสียงอื่นอีกสองตัวแทรกซ้อน ดวงตาขาวขุ่นของพวกมันจ้องตรงมาโดยไม่มีหนังตากระพริบ > “วิ่ง” อีธานพูดเบา ๆ > “ไม่ต้องให้ข้าบอกรอบสอง!” ไอล่ากระชากแขนอีธาน แล้วทั้งคู่ก็ถอยห่างออกมาพร้อมเสียงใบไม้สั่นสะเทือนตามแรงฝีเท้า เสียงกรีดร้องของเงือกตามมาในเงามืด — แหลมสูงและไม่ใช่เสียงของมนุษย์ ป่าทึบทางใต้ของเกาะต้องสาป เสียงฝีเท้ากระแทกดินดัง “ตุบ! ตุบ!” ท่ามกลางใบไม้ที่ปลิวว่อนตามแรงลมและเงาไฟจากคบเพลิงที่ไอล่าถือไว้ > “อีธาน!! ทางนี้!!” เสียงไอล่าดังจากด้านขวา แต่เขาไม่ได้ตอบ... เพราะบางสิ่งกำลังไล่ตามเขาอยู่ — เสียงเนื้อเปียกเฉอะแฉะกระแทกพื้น กับเสียงหอบหายใจกระชั้นถี่ที่ไม่ได้มาจากอกของคนธรรมดา “กรรรร...อ๊ากกกก...” อีธานหันกลับไปชำเลืองเพียงแวบเดียว มันมาใกล้กว่าที่คิด... เงือกกินคน — ร่างผอมแห้งแต่มีกล้ามเนื้อกระตุกราวกับสัตว์คลั่ง เส้นผมยาวเปียกชุ่มพันอยู่กับหน้าที่เปื้อนโคลนและเลือด ริมฝีปากฉีกกว้างเผยเขี้ยวแหลมเรียงซ้อนกันหลายชั้น นัยน์ตาของมันไม่มีสติ...มีแต่ความหิว มันพุ่งใส่อีธานเต็มแรง ผั้วะ! ทั้งสองกลิ้งลงไปในหลุมตื้นกลางพงหญ้า มีดพกของอีธานกระเด็นหลุดมือ เขายกแขนขึ้นกันเล็บของมันที่ฟาดลงมาอย่างไม่ยั้ง > “เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!!” เขาตะโกน พลางพยายามถีบมันออกไป เงือกคำรามใส่หน้าเขาในระยะไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด น้ำลายปนเลือดหยดลงบนแก้มเขา มีกลิ่นคาวเหมือนปลาตายหมักมาหลายวัน มันพยายามงับคอเขา — แต่เขาเบี่ยงทัน มือคว้าสิ่งแรกที่ใกล้ที่สุด — ท่อนไม้แหลมปลายแตก เขาแทงมันไปโดยไม่คิด ฉึก! ท่อนไม้เสียบทะลุเข้าทางสีข้าง เงือกกรีดร้องด้วยเสียงสูงที่ไม่ใช่มนุษย์ ร่างมันกระตุกอย่างบ้าคลั่ง มันยังไม่ตาย... อีธานคว้าเอามีดที่หล่นไปข้างตัว เขาพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบน จ้องตาสัตว์ประหลาดตรงหน้า > “ข้าขอโทษ...แต่ข้าจะไม่ตายที่นี่” แล้วเขาก็ แทงเข้าตรงคอ เลือดสีคล้ำพุ่งออกมาในพริบตา เงือกชักกระตุกสองสามครั้ง ก่อนร่างจะนิ่งสนิท อีธานทรุดตัวลงนั่งหอบ เสียงหัวใจเขาดังอื้อในหู ไอล่าวิ่งมาถึงพอดี เห็นสภาพตรงหน้าแล้วหยุดกึก > “...เจ้าฆ่ามันแล้ว?” > “มันเริ่มก่อน” อีธานตอบเสียงแหบ “และมันไม่ใช่คน...ไม่อีกแล้ว” เงือกตนนั้นนอนนิ่ง ตาเบิกโพลงขึ้นสู่ท้องฟ้าสีหม่น อีธานยังคงหอบหายใจ ดวงตาเขาจ้องร่างของเงือกที่แน่นิ่งอยู่ใต้เท้า เลือดสีคล้ำไหลเป็นทางลงแอ่งน้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้...คือรอยยิ้มสุดท้ายของมัน รอยยิ้มที่ไม่ใช่จากความเจ็บปวด ไม่ใช่จากความบ้าคลั่ง แต่ราวกับมัน “รู้บางอย่างที่เขาไม่รู้” ไอล่าเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ นั่งยองลงข้างเขา เธอมองใบหน้าของศพ แล้วพูดเสียงเบา > “นั่นไม่ใช่แค่สัตว์ประหลาด…นั่นเคยเป็นมนุษย์” อีธานเงยหน้ามองเธอ ดวงตาวูบไหว > “เจ้ามั่นใจได้ยังไง?” ไอล่าล้วงเข้าไปในถุงข้างเอว หยิบเอาเศษผ้าที่ขาดวิ่นออกมา — มีลวดลายปักเป็นตราสัญลักษณ์ของหมู่บ้านริมชายฝั่ง > “ข้าเคยเห็นผ้าแบบนี้ที่แคมป์ของนักล่าทะเลแถบชายแดนตะวันออก…ไม่มีทางที่เงือกจะมีของแบบนี้ นอกจาก...มันเคยเป็นพวกเขา” อีธานเงียบงัน เขาค่อย ๆ ยืนขึ้น หยิบมีดที่เปื้อนเลือดขึ้นมาเช็ดกับชายเสื้ออย่างช้า ๆ > “พวกเขากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง…” ทันใดนั้น... เสียงคลื่นเบา ๆ ดังมาจากด้านหลัง — ทั้งที่อยู่กลางป่า ทั้งสองหันขวับ ตรงโคนต้นไม้ใหญ่…มีน้ำซึมไหลออกมาจากดิน เหมือนมีบ่อน้ำใต้ดินแตกขึ้นมา แต่แปลกตรงที่น้ำมัน “ส่องแสงเรือง ๆ สีฟ้าจาง” เสียงเพลงเบา ๆ ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เสียงพูด ไม่ใช่เสียงคนร้อง แต่เป็น “เสียงในหัว”…อ่อนหวาน เยือกเย็น และปวดร้าว > “…อย่าไว้ใจเสียงที่เจ้าคิดว่ารู้จัก…” ไอล่าถอยหลังไปหนึ่งก้าว > “อีธาน นั่น...เสียงของนีร่าเหรอ?” อีธานขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม > “ข้าไม่แน่ใจ…แต่นางต้องการให้เรารู้บางอย่าง” เขากระชับมีดในมือ “และเราต้องหานางให้พบ ก่อนที่คนอื่นจะเจอก่อนเรา เสียงป่าคลื่นไหวอีกครั้ง แผ่นดินเบื้องใต้เริ่มส่งเสียง “กรอบแกรบ” เหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้รากไม้ บางสิ่งกำลังตื่นขึ้น...........น้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้