สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ
"มาริเบล...ต้องรอด" น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคย นางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้ “นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็ก แต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า... เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำ นีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใคร แต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก > “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…” เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดา ทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจัด ดวงตาสีขาวขุ่น หางของนางสีดำอมเขียวประกายคล้ายเกล็ดมังกร เนื้อหนังตามแขนขาดวิ่นเผยให้เห็นเหงือกที่ไม่สมบูรณ์ ราวถูกสร้างขึ้นจากเศษสิ่งมีชีวิตหลายชนิดรวมกัน “เจ้าคือ... เงือกเลือดแท้” เงือกตนนั้นพูดเสียงเย็น “เจ้าแตกต่างจากข้า...แต่เลือดเรายังคงเรียกหากัน” นีน่าถอยหลัง หางตาเหลือบไปเห็นดอกวารีทองข้างแอ่งน้ำ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ "ข้าไม่ต้องการสู้...ข้าแค่ต้องการสมุนไพรรักษาน้องข้า!" เงือกตนนั้นแสยะยิ้ม เผยฟันเเหลมคมเรียงยาวซ้อนกันหลายชั้น “ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่แลกเปลี่ยน... เจ้าจะยอมสละอะไร เพื่อน้องเจ้า?” นีร่าหายใจลึก มือกำดาบสั้นของตนแน่น แม้ไม่อยากใช้มันเลย แต่ก่อนที่เงือกตนนั้นจะโจมตี นางพูดเสียงแข็ง “ข้าจะไม่สละสิ่งใดให้เงือกที่กินคนเช่นเจ้า!” จากนั้นนางกระโจนไปยังโขดหินข้างแอ่งน้ำ คว้าดอกไม้ที่ต้องการไว้ในมือ แล้วกระโดดกลับด้วยความเร็วของเงือกทะเลลึก แต่เสียงหัวเราะแหลมสูงของเงือกตนนั้นก็ตามมาไม่ขาดสาย... > “พวกข้ายังอยู่...ในเกาะนี้... และหากเลือดเจ้าตกสักหยดเดียว—พวกข้าจะตามกลิ่นเจ้าไปจนตาย…” นีน่าหนีกลับมาที่ถ้ำ ขณะพระจันทร์ขึ้นเหนือยอดไม้ นางรีบบดดอกวารีทองกับรากเฟินที่เก็บระหว่างทาง เทใส่ผ้าสาหร่ายแล้วประคบแผลมาริเบลอย่างเร่งรีบ "อดทนไว้นะ...พี่กลับมาแล้ว" มาริเบลพึมพำเบา ๆ ก่อนสติจะคืนมา นีน่ารู้ว่า...นางรอดมาแค่ชั่วคราว เพราะเงือกตนนั้นจดจำกลิ่นนางไปแล้ว ไฟกองเล็ก ๆ ริมหาดโบกไหวในลมกลางคืน อีธานนั่งเอนหลังพิงท่อนไม้แห้ง สายตาจ้องเปลวไฟอย่างลอย ๆ ในอกเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ร่างกายมีบาดแผลจากการต่อสู้หนีตายกับพวกภูติกินคนตลอดวัน เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอล่ากับเขาเอาชีวิตรอดมาได้ยังไง นางนอนหลับสนิทอยู่ไม่ไกล แผ่นหลังแนบพื้นทราย ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นและรอยข่วน ...แต่ยังมีลมหายใจอยู่ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด อีธานถอนหายใจ ก่อนหลับตาชั่วครู่ แล้ว... เสียงนั้นก็ดังขึ้น... เสียงเพลงแผ่วเบา แว่วหวาน ลอยมาตามลมจากผืนน้ำ เสียงของหญิงสาว ไม่ใช่เสียงร้องธรรมดา แต่มันเหมือนหยาดน้ำผึ้งไหลลงสู่โสตประสาท เย้ายวนใจจนสั่นไหว > “~ ลมทะเล… จงพัดพาเจ้าไป… ให้ร่างเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของข้า ~” เปลือกตาอีธานกระตุกเปิดขึ้น เขาหันไปทางทะเลช้า ๆ แล้วก็เห็นเธอ หญิงสาวคนหนึ่ง นั่งอยู่บนโขดหินริมชายหาด ผมยาวสยายเปียกชื้น ตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเล เธอเปลือยท่อนบนอย่างไม่อาย หางปลาสีเงินดำเงาวับพาดลงสู่ผิวน้ำ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องตรงมาที่เขา เสียงร้องของนางยังไม่หยุด > “~ มนุษย์เอ๋ย…เจ้าหลงทางมานานแล้ว… หัวใจเจ้าก็เหนื่อยแล้ว… มาเถิด… มาหาข้า ~” อีธานลุกขึ้นราวกับถูกควบคุม เท้าเปล่าก้าวไปบนทรายทีละก้าว มือไม้หนักอึ้ง แต่หัวใจกลับสงบ ราวกับเสียงนั้นเยียวยาความกลัว ความเศร้า…และความทรงจำที่เขาอยากลืม เพียงไม่กี่ก้าว…เขาก็จะถึงขอบน้ำ ดวงตาเขาสบกับนางเงือก ดำดิ่งจนลืมทุกสิ่ง “อีธาน!!” เสียงร้องนั้นไม่ใช่เสียงเพลง แต่มาจากอีกโลก—โลกของความเป็นจริง ไอล่าสะดุ้งตื่นในความมืดทันทีที่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของผืนทราย นางเห็นอีธานกำลังเดินตรงไปยังทะเล ราวกับถูกผีสิง นางพุ่งตัวจากพื้น ดึงแขนเขาไว้เต็มแรง “ไม่!! อย่าไป!!” อีธานสะดุ้งเล็กน้อย แขนที่นางจับไว้เย็นเฉียบ เขาหันมาหานาง ดวงตาเหม่อลอย สับสน เสียงเพลง...ขาดห้วงทันที ไอล่าหันกลับไปที่ริมทะเล แต่นางหายไปแล้ว— ราวกับไม่เคยมีอยู่จริง เหลือเพียงรอยหางพาดบนโขดหินที่ยังเปียกชื้น กับกลิ่นเกลือปะปนกลิ่นบางอย่างที่เย็นเยียบเกินธรรมชาติ “เกิดอะไรขึ้นกับข้า...” อีธานพึมพำ “นางพยายามล่อลวงเจ้า” ไอล่าพูดเสียงแข็ง น้ำตาคลอเบ้า “นางไม่ใช่เงือกอย่างนีร่า…นางคือปีศาจในคราบของความงาม…” อีธานหันกลับมานั่งข้างกองไฟ มือสั่นน้อย ๆ ใจเขายังสั่น...เพราะรู้ว่าเพียงอีกไม่กี่ก้าว เขาอาจไม่มีวันหวนกลับได้อีกเลยอุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส