เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นความรู้สึกดีกว่าเมื่อวานมากนัก รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยทีเดียว เวลาสายของวัน พี่เนมก็เข้ามา และบอกให้ผมอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมที่พี่เนมเป็นคนนำมา และเราก็ออกจากโรงพยาบาลกัน โดยมีพี่เนมเป็นคนขับรถให้ เมื่อผมได้เห็นรถของพี่เนมชัดๆ รถ Lamborghini อเวนทาดอร์ สีดำสนิท รถของพี่เนมหรูมากครับ จนผมไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่ง กลัวจะทำให้รถของพี่เนมเสียหาย เกิดเป็นรอยขึ้นมา ผมแย่แน่ๆ วันนั้นอะไรดลใจให้ผมโบกรถของเขาไปกันนะ!! พี่เนมบอกให้ผมขึ้นรถพร้อมกับจ้องมองนิ่งๆ เหมือนบังคับกลายๆ ผมเลยจำใจต้องขึ้นรถมานั่งข้างเขา ที่นั่งภายในมีเพียง 2 ที่เท่านั้นเอง ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ซื้อรถแบบนี้มาใช้เด็ดขาดเลย ไม่มีความคุ้มค่าเลยสักนิด ราคาแพงแต่ไปได้น้อยคนแบบนี้
“จะไปสุสานใช่ไหม” พี่เนมถามผม ทำลายความเงียบที่อยู่ในบรรยากาศ
“ครับ ใช่ครับ” ผมตอบกลับพี่เนมและนั่งตัวเกร็ง ไม่กล้าให้ร่างกายไปโดนส่วนไหนของรถมากนัก ผมกลัวว่าจะทำให้รถพี่เนมเสียหาย
“นั่งตามสบายเถอะ ไม่ต้องเกร็ง มันน่าหงุดหงิด” พี่เนมบอกขึ้น เพื่อให้ผมนั่งสบายๆ แต่พี่โว้ยยยยยย เกร็งยิ่งกว่าเดิมอีกครับ!!! พี่เนมเล่นพูดแบบนี้แล้วผมจะได้นั่งตามสบายได้ยังไง ฮืออออ
“ฉันบอก ได้ยินไหม” พี่เนมพูดย้ำขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น เมื่อผ่านไปสักพัก แต่ผมยังนั่งตัวเกร็งยิ่งกว่าเดิม แถมยังเป็นมากกว่าเดิมเสียอีก ก็ใครมันจะไปกล้าว่ะ
“คะ ครับ” ผมตอบรับเสียงสั่นๆ และค่อยๆ แนบหลังลงกับพนักพิง พี่เนมมีท่าทีที่ดีขึ้น ฟู่ววววว ผมว่าพี่เนมใจดีนะครับ ในเวลาเดียวกัน พี่แกก็น่ากลัวด้วย เมื่อเห็นว่าพี่เนมลดบรรยากาศกดดันนั้นลงแล้วนิดหนึ่ง ทำให้ผมก็ผ่อนคลายไปหลายส่วน และยอมนั่งแบบสบายๆ จริงๆ สักที
“จะซื้อดอกไม้ไหม”
“อ่อ ไม่ครับพี่เนม ผมไม่มีเงิน” ผมตอบกลับพี่เนมพร้อมๆ กับรถที่หยุดลงที่หน้าร้านดอกไม้พอดี ถ้าพี่จะถามผมโดยไม่รอคำตอบ พี่จะถามทำไมคร้าบบบบบบ
“อืม รอนี่” พี่เนมพูดแล้วก็ลงจากรถไป ผ่านไปสักพักใหญ่ จึงเห็นพี่เนมเดินถือดอกไม้มา 2 ช่อใหญ่ แล้วเปิดประตูรถ ส่งมันให้กับผมทั้ง 2 ช่อ
“พี่เนมซื้อไปให้ใครครับ” ผมถามพร้อมกับเอียงหน้ามอง คงจะเป็นพวกสาวๆ นั้นละมั้ง แต่มี 2 ช่อเนี้ยนะ สาว 2 คนเลยหรอว่ะ เห็นนิ่งๆ เจ้าชู้ใช่เล่นแฮะ
“ของนายกับของฉัน คนละช่อ” พี่เนมตอบกลับมาและออกรถอีกครั้ง
อ้าว นึกว่าเอาไปให้สาว ผมขอโทษครับพี่มองพี่เป็นคนไม่ดี ผมมันเนรคุณ งื้อออ ว่าแต่ พี่เขาเอามาให้ผมทำไม
“พี่เนมให้ผมทำไมครับ??” ผมถามพร้อมกับเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คเต็มหัวไปหมด
“เอาไปไหว้ที่สุสาน” พี่เนมตอบผมมานิ่งๆ และตั้งใจขับรถ
“ขอบคุณครับ พี่ให้ผมมากเกินไปแล้ว ผมจะใช้คืนพี่ยังไง” ผมตอบพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้น ผมบอกแล้วไงครับ พี่เนมเขาใจดี ผมไม่ค่อยได้เจอคนที่มีน้ำใจแบบนี้เท่าไหร่นัก ทำให้ผมอดรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณไม่ได้เลย
“แล้วอีกช่อนี่ละครับ” ถึงช่อหนึ่งจะเป็นของผม แต่อีกช่อนี่สิของใครกันนะ
“ของพ่อกับแม่พี่” พี่เนมตอบมานิ่งๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก และบรรยากาศรอบๆ ตัวก็เปลี่ยนไป มันกดดันอย่างกับปล่อยจิตสังหารออกมาได้เลย ทำให้ผมกลับมานั่งตัวเกร็งอีกครั้ง และไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก
ไม่นานเราก็มาถึงสุสานครับ พี่เนมกับผมถือดอกไม้กันคนละช่อ แล้วเดินตรงมายังสุสาน พอถึงทางแยก ผมก็เห็นพี่เนมเดินแยกไปอีกทาง ผมจึงเดินมาหาพ่อของผมบ้าง แล้วเอาดอกไม้ไปวางไว้หน้าหลุมศพ ผมไม่ค่อยได้มาหาพ่อเท่าไหร่ครับ เพราะมันไกลจากบ้านผมพอสมควรเลย แม่ผมพามาอยู่ไม่กี่ครั้ง ไม่ได้บ่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับห่างหายไปเลย ผมคุกเขาอยู่ที่พื้น และคิดถึงคำพูดของแม่ตอนนั้น
‘นะ นะ นาย ฟังแม่นะลูก ไป อึก ไปหาพ่อ ที่สุสานนั้น เปิดแผ่นหินออก แค่กๆ แม่คงอยู่กันหนูไม่ได้แล้ว แค่กๆ แม่ยังไม่ได้บอก ไม่ได้บอก แค่กๆ แค่กๆ’
อืมมม ไปหาพ่อที่สุสาน เปิดแผ่นหินออก มีเรื่องที่แม่ยังไม่ได้บอก คำพูดของแม่ทำให้ผมนั่งนิ่งคิด เรื่องอะไรที่ไม่ได้บอกผม เรื่องอะไรที่ปิดบังผมอยู่ ไม่รอให้สงสัยนาน ผมเริ่มคลำๆ หาที่เปิดแผ่นหินทันที ผิวด้านหน้าเรียบเนียน ไม่มีอะไรที่คล้ายกับลูกบิด หรือที่เปิดเลย แต่ที่มุมด้านหนึ่งเหมือนกับเป็นรอยแตกเล็กๆ ที่ทำให้สอดนิ้วเข้าไปได้ 1 นิ้ว ผมสอดนิ้วชี้เข้าไปอย่างกลัวๆ แล้วลองดึง ก็ผมไม่รู้นี่น่า ว่ามันจะมีตัวอะไรในนั้นบ้าง แต่ดึงยังไงก็ดึงไม่ออก หรือจะไม่ใช่ตรงนี้นะ ผมนึกพร้อมกับจะชักนิ้วออก ขณะนั้นผมรู้สึกว่านิ้วโดนตออะไรสักอย่าง นิ่มๆ เหมือนจุกยาง นูนขึ้นมาหน่อยๆ เลยลองใช้นิ้วชี้สำรวจแล้วลองกดลงไป
แกร็ก
แผ่นหินที่มีรูปของพ่อผมติดอยู่เด้งออกมานิดๆ ผมเลยลองใช้นิ้วชี้ลองดึงออกอีกครั้ง และครั้งนี้มันเปิดออกได้จริงๆ เมื่อเปิดออกผมเห็นกล่องเหล็กขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ ขนาดใกล้ๆ กับครึ่งกระดาษ A4 เลยหยิบขึ้นมาสำรวจและเปิดดู ในนั้นมีรูปถ่ายของพ่อกับแม่ยืนยิ้มหน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งอย่างมีความสุข ในชุดแต่งงานที่ทำให้แม่ของผมเหมือนกับนางฟ้าเคียงคู่กับเทวดารูปหล่อข้างกาย ผมยิ้มให้กับรูปภาพนั้น ความสุขที่ผมรู้สึกได้ทำให้ผมรู้สึกดีตามไปด้วย ผมไม่เคยเห็นรูปงานแต่งของพวกท่านมาก่อนเลย นี่จึงเป็นรูปแรกที่ผมได้เห็นพ่อกับแม่สมัยยังหนุ่มยังสาว นอกจากนี้ภายในกล่องยังมีซองจดหมาย และซองเอกสารสีน้ำตาล สิ่งที่ผมเปิดอ่านเป็นอันดับแรกคือจดหมายครับ ผมอยากรู้ว่าเรื่องอะไรที่แม่ไม่เคยบอกผม
"นายลูกรัก ถ้าลูกได้เปิดจดหมายนี้อ่าน แสดงว่าพ่อกับแม่ คงไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว จดหมายนี้พ่อและแม่ร่วมกันเขียน พ่อกับแม่รู้ดีสักวันมันจะเกิดขึ้น เราแค่ไม่รู้ว่าใครจะตายก่อน สิ่งที่จะบอกต่อไปนี้คือสิ่งที่พวกเราทั้งคู่พยายามกลบฝังมัน อยากลบมันออกไปจากชีวิต เราไม่อยากให้ลูกต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องพวกนี้ แต่หากเราทั้งคู่ไม่อยู่แล้ว อย่างน้อยลูกก็ต้องสามารถอยู่ได้โดยไม่ลำบาก
ครอบครัวของพ่อ แต่เดิมทำธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ และพบรักกับแม่ของลูก แม่เขาเป็น PR หน้าเคาน์เตอร์ของโรงแรมในเครือของพ่อ พ่อตกหลุมรักแม่ของลูกตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก แม่ของลูกสวยมาก พ่อตามจีบแม่อยู่หลายเดือน และฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน เนื่องจากคุณย่าไม่ยอมรับแม่ของลูก แต่สุดท้ายก็ยอมใจอ่อน และให้เข้ามาอยู่บ้านด้วยกัน พ่อมีน้องชายอยู่ 1 คน น้องชายของพ่อคนนี้ต้องการครอบครองธุรกิจทั้งหมด และไม่ยอมรับการแต่งงานนี้ เพราะเขาเองก็หลงรักแม่ของลูกอยู่เช่นกัน เขาจึงคิดครอบครองทุกอย่าง รวมถึงแม่ของลูกด้วย พ่อไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรขึ้นมาอีก จึงได้ละทิ้งทุกอย่าง และออกมาใช้ชีวิตอย่างสงบๆ กับแม่ของลูก
ถึงแม้จะลำบาก แต่พ่อมีความสุขมาก เมื่อมีแม่ของลูกและลูกอยู่ข้างๆ กัน คุณย่ายืนยันว่าทรัพย์สินของพ่อ ก็ยังคงเป็นของพ่อ พ่อจึงเขียนพินัยกรรมนี้เอาไว้ให้ลูก หากไม่มีใครให้พึ่งพิง ไปหาย่าของลูกนะ หากลูกไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เก็บเงินจำนวนนี้ไว้ตั้งตัว ทำธุรกิจของตัวเอง พ่ออยากให้ลูกเลือกทางที่ลูกมีความสุขที่สุด และพ่อรู้ว่าลูกจะเลือกทางที่ดีให้ตัวเอง แต่ลูกจงรู้ไว้ ระวังตัวให้มาก เพราะเราไม่รู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย อย่าให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก หากมีเรื่องอะไรที่ลูกแก้ไม่ตก ติดต่อหาทนายวิทยา เขาเป็นเพื่อนของพ่อเอง ลูกไว้ใจเขาได้ พ่อรักลูกนะ
จากพ่อและแม่ที่รักลูกที่สุด"
เมื่อผมอ่านจบก็เปิดพินัยกรรมที่พ่อทิ้งไว้ให้ โดยสรุปเป็นข้อๆ
1. ที่ดินพร้อมบ้าน 1 หลัง เนื้อที่ 1,500 ไร่ ที่จังหวัดอยุธยา ผู้ทำพินัยกรรม นายพิชิต พัชรวิทิต มอบให้ เจ้านาย พัชรวิทิต พยาน นางสุจิตรา พัชรวิทิต
2. โรงแรมกรีนวิลล์, โรงแรมโอเชียนวิลล์, พิชิตรีสอร์ต และ โรงแรมบลูสกาย เนื้อที่ 300, 500, 200 และ 30 ไร่ ที่จังหวัดนครราชสีมา ภูเก็ต เชียงราย และ กาญจนบุรี ผู้ทำพินัยกรรม นายพิชิต พัชรวิทิต มอบให้ เจ้านาย พัชรวิทิต พยาน นางสุจิตรา พัชรวิทิต
3. เงินในบัญชีธนาคาร จำนวน 530 ล้านบาท เจ้าของบัญชี นายพิชิต พัชรวิทิต มอบให้ เจ้านาย พัชรวิทิต พยาน นางสุจิตรา พัชรวิทิต
4. หุ้นส่วน ของบริษัท โอแกรนวิลล์ 35%
ผู้ทำพินัยกรรม นายพิชิต พัชรวิทิต มอบให้ เจ้านาย พัชรวิทิต พยาน นางสุจิตรา พัชรวิทิต
เงื่อนไข
1. ติดต่อ นายวิทยา แสงจันทร์หอม ทนายความผู้ร่างพินัยกรรม เบอร์โทร
086-966-xxxx
วันที่ 11 สิงหาคม 2543
เมื่อผมอ่านจบ ผมได้แต่นั่งนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น....
“ใจเย็นๆ มึง” ไอ้ซันไอ้เบสลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจผม ให้คลายความตื่นเต้นลง เมื่อตอนนี้กำลังเตรียมตัวเดินผ่านเข้าประตูบานใหญ่ มีซุ้มดอกไม้จัดแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งดอกไม้ที่ใช้ ก็คือ เยอบีร่า ไฮเดรนเยีย ดอกลิลลี่สีชมพู ทิวลิปสีแดงและขาว เหมือนกับตอนที่พี่เนมขอผมแต่งงาน....งานในครั้งนี้พี่เนมขอเป็นคนจัดการเรื่องสถานที่ การจัดตกแต่ง อาหารและรูปแบบตรีมของงาน ในขณะที่ผมดูเรื่องเสื้อผ้า ของชำร่วย การถ่ายภาพ และเราก็ช่วยกันดูรายชื่อแขกด้วยกัน เราจัดเตรียมงานด้วยความวุ่นวาย หัวแทบหมุน วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด ถึงจะอย่างนั้น เราก็มีความสุขเมื่อวันงานใกล้เข้ามามากขึ้นตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมในเครือของวรโชติวาทิน ที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน เรียกได้ว่าเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด และชั้นบนสุดของห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม มือของผมเย็นเยียบเต็มไปด้วยเหงื่อ กำช่อดอกไม้ในมือไว้แน่น มีเพื่อนสองคนคอยปลอบอยู่ไม่ห่าง หลังบานประตูมีอากันต์ที่คอยยืนรอให้ผมเดินคล้องแขนเข้างาน ผมพยายามระงับความแตกตื่นของตัวเอง พยักหน้าช้าๆ เมื่อพร้อมแล้ว เพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปภายใน
...Name Part“พี่เนมครับ มาเร็ว” เสียงของคนตัวเล็กที่ร้องตะโกนเรียกผมให้เร่งสาวเท้าเดินเข้าไปหาอย่างเร่งรีบ ตอนนี้พวกเรามาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตครับ และครับ ตอนนี้เป็นช่วงที่ปี พ.ศ. ใหม่กำลังจะเริ่มต้น จึงพาคนตัวเล็กออกมาเที่ยวบ้าง หลังจากที่ผมกรำงานจนเหนื่อยล้า และทะเลาะกับคนตัวบางไปเมื่อคราวนั้น ทำให้ผมดาวน์งานลงทันที กระจายงานออกไปให้ลุงชาญบ้าง ให้มาคัสบ้าง แต่อำนาจการตัดสินใจยังอยู่ที่ผมอยู่ดี ทำให้มีเวลาให้เจ้านายได้มากขึ้น ซึ่งเจ้าตัวเองก็ดูแฮปปี้ขึ้นมาก“เดินดีๆ เดี๋ยวก็ล้มหรอก” ผมเอ็ดเจ้านายนิดหน่อย เมื่อเจ้าตัวเดินไปกระโดดโลดเต้นไปด้วย ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าไปที่เกาะแห่งหนึ่ง เป็นเกาะส่วนตัวที่อำนวยความสะดวกสบายครบครันของครอบครัวผมเอง เรากำลังเดินทางไปที่เรือสปีดโบ๊ทที่กำลังจอดรอเทียบท่าอยู่ อาจจะแปลกที่มันเป็นหน้าหนาว แต่พวกเราดันเลือกที่จะมาทะเล แต่ก็เป็นเพราะเรามีเกาะส่วนตัวอยู่ จึงเลือกที่จะไปพักผ่อนที่ๆ ห่างไกลผู้คน หลบหนีความวุ่นวาย ไปพักผ่อนสบายๆ ซัก 3-4 วันเจ้านายหันมายิ้มเผล่ให้ ก่
ครับ วันนี้วันลอยกระทงครับ เนื่องจากไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ พี่เนมจึงไม่ได้หยุดงาน ตัวผมเองก็ยังต้องไปเรียนตามปกติ แต่วันนี้ผมรีบกลับบ้านมา ชวนป้านุ่มกับเด็กๆ มาทำกระทงด้วยกัน โดยที่ผมทำกระทงอันใหญ่อันเดียว แต่มี 2 ชั้น เอาไว้ลอยกับพี่เนม ผมกับพี่เนมคุยกันแล้วครับ เราจะไปลอยกันที่มหาลัยของผม เพราะมีการจัดงานลอยกระทงและออกร้านค้าต่างๆ มากมาย แต่จนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่มแล้วแต่พี่เนมก็ยังมาไม่ถึงบ้าน ผมก็ไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น มองออกไปนอกหน้าต่างก็พบกับพระจันทร์ดวงโตที่มีกระต่ายตัวน้อยอยู่ภายใน ผมนั่งมองอยู่สักพักแล้วเหลือบดูเวลา เกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว พี่เนมก็ยังมาไม่ถึง แต่แล้วแสงไฟจากรถยนต์ก็สาดส่องเข้ามา บ่งบอกว่าพี่เนมมาถึงแล้ว“นาย! พี่ขอโทษนะครับ ที่พี่มาสาย พอดีติดประชุมยาวไปหน่อย แล้วก็รถติดอีก เรารีบไปกันเถอะ” พี่เนมพูดไป ถอดชุดสูทไปพลาง ปลดเนกไทและกระดุมเสื้อไปพลาง ผมหันไปยิ้มให้น้อยๆ แล้วพยักหน้าลุกขึ้น เราเดินไปที่รถด้วยกัน พี่เนมก็ออกรถด้วยความรวดเร็ว ตรงดิ่งไปที่มหาลัยทันที กว่าเราจะมาถึงก็เป็นเวลา 3 ทุ่มครึ่งแล้วครับ ร้านค้าต่างๆ ก็พากันปิดหมดแล้ว
“เพราะนายเมาแล้วเกเร แถมยังแต่งตัวแบบนี้มาอีก ต้องโดนลงโทษนะครับ หึหึหึ พี่รับรองว่ามันจะทำให้นายทรมานจนแทบขาดใจ” พี่เนมกล่าวด้วยเสียงพร่าแหบ นัยน์ตาประกายวาววับ ตาของผมเสมองหลบดวงตาคมกล้า มองออกไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นอะไรๆ ชัดขึ้นในห้องที่ผมอยู่ ตรงกลางห้องเป็นเตียงขนาดใหญ่ ถูกล้อมด้วยลูกกรงที่เป็นวงกลม ห้องทั้งห้องถูกทาสีดำมืดทึบ ให้เข้ากับบรรยากาศ มีไม้เป็นรูปกากบาทตั้งอยู่ที่มุมกำแพง และมีสายรัดทั้งบนล่างดูก็รู้ว่าเอาไว้รัดอะไร ตามแต่ละซี่ของลูกกรง มีของแขวนไว้เต็มไปหมด โซ่ แส้ กุญแจมือ เชือก และพวกเซ็กส์ทรอย ทำให้ผมตาเหลือกทันทีเมื่อหันกลับมาเจอพี่เนมที่กำลังยกยิ้มแบบจิตๆ อยู่“มะ มะ ไม่เอา ไม่เอาห้องนี้” ผมส่ายหน้าไปมาระรัว จนผมกระจาย“หึหึหึ” พี่เนมหัวเราะเสียงต่ำ จ้องมองเหมือนสิงโตที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ ก่อนจะพูดต่อ“เสียใจด้วยนะครับ พี่เลือกห้องนี้ไปแล้ว” จบคำคนตัวโตพี่เนมก็ก้มหน้าลงฉกวูบมาที่ซอกคอของผม ขบกัดรุนแรงเป็นการลงโทษ“อะ จะ เจ็บ” ผมบอกเสียงสั่น เอามือดันอกแกร่งให้ออกห่าง
“มึงว่างมากรึไง”ผมหันไปตามเสียงของเพื่อนที่ดังขึ้นอย่างเบื่อหน่าย เมื่อผมนั้นมาหามันแทบจะทุกวัน เพื่อนคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร ไอ้ซันกับไอ้เบสครับ ตอนนี้พวกผมทั้ง 4 คนเรียนจบแล้วครับ และกำลังอยู่ในช่วงเอื่อยๆ พักผ่อนหลังเรียนจบ เพื่อรอให้ถึงวันรับปริญญาในอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้านี้เอง“เออ กูว่าง” ผมหันไปตอบมันกวนๆ และว่างในที่นี้คือว่างจริงๆ ครับ ผมขออากันต์ไว้แล้วว่าจะเข้าไปช่วยงานหลังรับปริญญาเสร็จ ซึ่งอากันต์ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากนี้หลังจากรับปริญญาแล้ว ผมกับพี่เนมมีแผนว่าจะแต่งงานหลังจากนั้นกันด้วย แต่รายละเอียดยังไม่ได้ลงลึกสักเท่าไหร่ส่วนสาเหตุที่ผมมาหมกตัวอยู่กับพวกมันก็เป็นเพราะว่าผมว่างจริงๆ และพี่เนมเองก็ทำงานอย่างหนักหน่วงอีกด้วย เนื่องจากตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ที่คอยส่งให้กับบริษัทของคุณรอลเลนอยู่เพิ่มปริมาณมากขึ้น และยังมีโปรเจ็คใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกัน ทำให้ต้องบินไปๆ มาระหว่างประเทศไทยกับลอนดอน ถามว่าทำไมถึงไม่เอาผมไปด้วย เพราะผมไปแล้วพี่เนมไม่มีเวลาให้เลย สรุปคือผมไปแล้วก็ไปนั่งรอพี่เนมในห้องเฉยๆ หรืออาจจะออกไปเที่ยวคนเด
หลังจากที่พี่เนมขอผมแต่งงาน ในค่ำคืนวันนั้นเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน เฝ้าเพียรบอกรักกันไม่ขาด กระซิบถ้อยคำหวานหูคลอเคล้าไปกับเสียงครางรัญจวนและในตอนนี้ผมก็เดินทางกลับประเทศไทยแล้วครับ ที่ๆ ผมยืนอยู่ตอนนี้มีสายลมพัดมาเอื่อยๆ กระทบกับผิวกายให้พอเย็นๆ ไม่ได้รู้สึกร้อนมากมายเท่าไหร่นัก และมีคนตัวสูงยืนอยู่ข้างกัน ในมือของเราถือดอกไม้ไว้คนละช่อที่เบื้องหน้าคือแผ่นหินแกะสลักชื่อของผู้ที่เป็นบิดาและมารดา ครับ ตอนนี้เราอยู่กันที่สุสานวัดนาไพร พี่เนมวางดอกไม้ในมือลงให้กับหลุมศพตรงหน้า เราจุดธูปกันคนละหนึ่งดอก เพื่อทำความเคารพให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว“พ่อครับ แม่ครับ ผมพาสะใภ้มาหานะ” คำพูดของพี่เนมทำให้ผมหน้าแดง ก่อนจะหันไปมองค้อนให้หนึ่งที คนตัวสูงสบสายตากลับมา ก่อนจะยกยิ้มให้เบาๆ ก่อนที่ผมจะเริ่มพูดบ้าง“ขออนุญาตให้ผมได้ดูแลพี่เนมด้วยนะครับ แม้เราจะมีลูกกันไม่ได้ แม้ผมจะช่วยงานของพี่เนมไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน ผมก็จะยืนเคียงข้างพี่เนมเสมอ ผมขออนุญาตนะครับ.... ถือว่าพวกท่านตกลงแล้วนะครับ” ผมว่