หน้าหลัก / รักโบราณ / ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี / บทที่ 5 วาสนา(ด้ายแดง)ขนมเปี๊ยะ

แชร์

บทที่ 5 วาสนา(ด้ายแดง)ขนมเปี๊ยะ

ผู้เขียน: องค์หญิงโนเนม
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-05 19:55:34

บทที่ 5 วาสนา (ด้ายแดง) ขนมเปี๊ยะ

หลังจากที่อนุซางถูกขับออกจากจวน บรรดาอนุทั้งหลายในจวนตระกูลฟางต่างก็ไม่กล้าเสนอหน้าหรือมีปากเสียงใดอีกแม้เพียงสักคน อีกทั้งยังสวมชุดสีอ่อนเพื่อไว้ทุกข์ให้อดีตฮูหยินอย่างว่าง่ายอีกด้วย

เช้านี้อากาศค่อนข้างดีไม่น้อย เนื่องจากอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ ฟางเมี่ยวที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ยามนี้นางกำลังจ้องมองอาภรณ์ในหีบที่มีอยู่ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับลู่ชิง

"ลู่ชิง เจ้าจงไปหาช่างฝีมือดีมาหลายคนหน่อย ข้าจะตัดชุดใหม่ ชุดพวกนี้สีสันฉูดฉาดเกินไป ข้าไม่อยากใส่"

ลู่ชิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

"เอ? ปกติคุณหนูชื่นชอบเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดนี่เจ้าคะ คุณหนูบอกว่ายิ่งสีชัดยิ่งดี คุณหนูจะได้เป็นที่จับตามองของเหล่าบุรุษ จะได้เด่นเกินหน้าเกินตาผู้อื่นอย่างไรเล่าเจ้าคะ!!"

ฟางเมี่ยวหลับตาลงพลางยกมือนวดขมับ นางอยากจะยกเท้าถีบกลางหน้าอกของสาวใช้บัดซบผู้นี้เสียจริง!!

แต่ช่างเถิด นางจะปรับเปลี่ยนตนเองใหม่ นางจะไม่เจ้าอารมณ์อีก

เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงหันไปเอ่ยกับลู่ชิงอย่างมีความอดทน

"ข้าสั่งให้เจ้าไป เจ้าก็ไป ไม่ต้องมาย้อนถามข้า"

"เจ้าค่ะคุณหนู"

เมื่อลู่ชิงออกไปแล้ว ฟางเมี่ยวจึงปิดหีบใส่อาภรณ์เหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจ

ชาติก่อนนางชอบแต่งกายฉูดฉาด เครื่องประดับต่างประโคมใส่ตามคำแนะนำของอนุซาง จนกลายเป็นตัวตลกต่อคนที่ได้พบเห็น ผู้คนต่างมองนางอย่างดูถูกและสมเพช

แต่ยามนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางจะไม่ทำให้ตนเองเป็นที่จับตามองอีก

สองสามวันนี้นางค่อนข้างวุ่นวายไม่น้อย โชคดีที่ได้แม่นมหลิ่ว แม่นมชราที่ติดตามท่านแม่มาจากจวนของท่านตา และเหล่าข้ารับใช้เดิมที่คอยดูแลกิจการของท่านแม่กลับมา นางจึงพอจะเข้าใจเรื่องงานกิจการของท่านแม่ได้มากขึ้น

แม่นมหลิ่วและผู้ดูแลร้านออกจะมีท่าทีเกรงใจนางไม่น้อย นางเองก็พอเข้าใจได้ เดิมทีนางเอาแต่ใจไม่สนสิ่งใด จู่ๆ กลับอยากสืบทอดกิจการของท่านแม่ต่อก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก

หลังจากตรวจสอบบัญชีต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฟางเมี่ยวจึงหันไปเอ่ยกับแม่นมหลิ่ว

"นี่แม่นมหลิ่ว ได้ยินว่ายามนี้จวนท่านตาข้าถูกทิ้งร้างเอาไว้ ไม่มีคนดูแลหรือ?"

แม่นมหลิ่วที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยกับฟางเมี่ยวอย่างโศกเศร้า

"เจ้าค่ะคุณหนู เดิมทีฮูหยินก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในตระกูล หลังจากนายท่านจากไปก็ไม่มีผู้ใดดูแลจวนอีกเลย"

ฟางเมี่ยวถอนหายใจคราหนึ่ง ตระกูลท่านแม่เป็นตระกูลคหบดี ได้ยินว่าท่านตาท่านยายเลี้ยงดูท่านแม่เป็นอย่างดี น่าเสียดายนักที่นางไม่เคยไปเยี่ยมเยือนท่านตายามที่ยังมีชีวิตอยู่เลย

"ข้าจะส่งคนไปดูแล ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ก็เสียดาย ข้าจะเก็บไว้ไปนอนพักยามเบื่อก็แล้วกัน"

"คุณหนู!!"

"อย่ามาทำหน้าตาซาบซึ้งเช่นนี้เลยแม่นมหลิ่ว ข้าขนลุกยิ่งนัก"

"คุณหนูของบ่าวเติบโตขึ้นแล้ว ฮูหยินอยู่บนสวรรค์ย่อมต้องดีใจมากเป็นแน่เจ้าค่ะ"

ฟางเมี่ยวยิ้มเล็กน้อย เมื่อคิดถึงท่านแม่ขึ้นมาขอบตานางก็รู้สึกร้อนผ่าว ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ยามนี้นางกำลังครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง

อีกไม่นานวังหลวงจะจัดงานเลี้ยงขึ้น งานเลี้ยงที่ว่านี้ก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้นางพาตนเองไปสู่ความตาย

แต่ทว่าก่อนที่จะมีงานเลี้ยง นางจำได้ว่าในชาติที่แล้ว อีกสองวันที่จะถึงนี้ เย่จิ้นหยางและหลี่เยี่ยนเฉิน ที่ยามนี้สู้รบทำสงครามกับแคว้นเหลียงไท่ กำลังจะนำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ

ก่อนที่กองทัพจะเดินทางถึงเมืองหลวง หลี่เยี่ยนเฉินได้ส่งจดหมายมาถึงนาง เนื้อหาในจดหมายบอกว่าให้นางไปรอรับเขาได้หรือไม่ เดิมทีนางไม่อยากจะไป แต่เพราะทนการรบเร้าของท่านพ่อไม่ไหว นางจึงไป และนั่นก็ทำให้นางได้เห็นเย่จิ้นหยางและตกหลุมรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้น

ฟางเมี่ยวขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถามลู่ชิงที่กำลังนวดขาให้นางอยู่

"ลู่ชิง มีจดหมายส่งมาถึงข้าบ้างหรือไม่?"

"ไม่มีเลยเจ้าค่ะ"

"สักฉบับหนึ่งก็ไม่มีเลยหรือ?"

"ไม่มีเจ้าค่ะ"

ฟางเมี่ยวยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก เหตุใดในชาตินี้หลี่เยี่ยนเฉินจึงไม่ส่งจดหมายมาหานางเล่า

ไม่เป็นอันใด เขาไม่เขียนนางก็จะไปรอรับเขาเอง

ชาตินี้นางจะไม่ทำให้เขาเสียใจอีกเป็นอันขาด นางจะไม่ทำให้เขารู้สึกว่าตนไร้ค่าเช่นยามนั้นอีกแล้ว

รอข้าก่อนนะหลี่เยี่ยนเฉิน ข้ากำลังจะไปรอรับเจ้ากลับเมืองหลวงแล้ว!!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเลือกสวมใส่ชุดสีชมพูปักลายดอกกุ้ยฮวา ใบหน้าไม่ได้ประทินโฉมมากนัก ยามนี้นางจึงได้รู้ว่า ใบหน้ายามที่ไม่ได้แต่งแต้มเกินวัยอันควรเช่นกาลก่อนนั้นช่างดูงดงามอ่อนเยาว์ไม่น้อย

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยามที่นางเดินออกมาจากเรือนก็พบกับท่านพ่อที่กำลังเดินมาหานางพอดี

"ท่านพ่อ"

"เอ่อ เมี่ยวเอ๋อร์ คือว่า"

เสนาบดีฟางเหลียนมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย เขาไม่อยากบีบบังคับบุตรสาวตน เดิมทีเขาอยากจะให้ฟางเมี่ยวไปรอรับหลี่เยี่ยนเฉิน ต้าอู๋เปิดกว้างเรื่องบุรุษและสตรี จึงไม่ได้มีกฎระเบียบใดมากนัก ฟางเมี่ยวเพียงไปยืนส่งกำลังใจให้หลี่เยี่ยนเฉิน เขาจะได้ดีใจที่เห็นว่านางมารอต้อนรับ แต่เขาที่เป็นบิดารู้ดีว่าฟางเมี่ยวไม่ได้คิดอันใดเกินเลยกับหลี่เยี่ยนเฉินเลยแม้แต่น้อย

แม้เด็กสองคนนี้จะเติบโตมาด้วยกันเพราะสองตระกูลสนิทสนมกัน แต่ทว่าคล้ายมีเพียงหลี่เยี่ยนเฉินมีใจชอบพอในตัวฟางเมี่ยวฝ่ายเดียว

"ท่านพ่อ มีอันใดหรือเจ้าคะ?"

ฟางเมี่ยวที่เห็นท่าทีคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดก็ไม่เอ่ยของบิดา นางก็พอจะมองออก เพียงแต่ไม่ได้ถามเอ่ยสิ่งใดออกไปเท่านั้น

"เมี่ยวเอ๋อร์ วันนี้อาเยี่ยนจะกลับเมืองหลวงแล้ว พ่อว่า..."

"ลูกกำลังจะไปรอรับเขาพอดีเลยเจ้าค่ะ"

เสนาบดีฟางเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโตด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เขาหูฝาดไปหรือไม่ เมี่ยวเอ๋อร์จะไปรอรับอาเยี่ยน!!!

“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าหลี่เยี่ยนเฉินจะกลับมาวันนี้”

ฟางเมี่ยวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วจึงเอ่ยตอบ

“ได้ยินบ่าวไพร่ในจวนพูดกันน่ะเจ้าค่ะ ว่ากองทัพของแคว้นเราจะกลับมาแล้ว ท่านพ่อ ผู้คนในเมืองหลวงก็เล่าลือกันปากต่อปากว่าทหารของเราได้รับชัยชนะ ข่าวดีเช่นนี้ ลูกรู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดนี่เจ้าคะ ลูกไปก่อนนะเจ้าคะท่านพ่อ"

ฟางเมี่ยวยิ้มตาหยี ก่อนจะเดินออกจากจวนไปพร้อมกับลู่ชิง เสนาบดีฟางเหลียนมองตามบุตรสาวตนคราหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับเรือนไป

นางขึ้นไปนั่งบนรถม้า เป้าหมายคือโรงน้ำชาของท่านแม่ที่เปิดอยู่ใจกลางเมืองหลวง ยามนี้นางได้ขอให้ท่านพ่อช่วยจัดการไล่ผู้ดูแลร้านที่เป็นคนของอนุซางออกไปจนหมดแล้ว จึงมีเพียงคนเก่าแก่ของท่านแม่เท่านั้นที่ดูแลอยู่

"คารวะคุณหนู"

ฟางเมี่ยวพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนที่สายตาของนางจะเหลือบไปเห็นเด็กชายผู้หนึ่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่น ในมือจ้องมองไปยังด้านคราหนึ่งด้วยแววตาที่เป็นประกาย เมื่อฟางเมี่ยวมองตามสายตาของเด็กชายผู้นั้นไปก็พบว่าเขากำลังมองขนมที่อยู่ในจานของแขกที่มาดื่มน้ำชา

ผู้ดูแลร้านเกรงว่านายของตนจะมีโทสะ เพราะชื่อเสียงของคุณหนูนั้นเขาเองก็ย่อมรู้ดี นางทั้งเจ้าอารมณ์และรังเกียจคนที่ฐานะต่ำต้อยกว่า

ฟางเมี่ยวมองเด็กชายผู้นั้นก่อนจะครุ่นคิดถึงอดีตในชาติก่อน

นางเคยพบเด็กผู้นี้ เขามักจะมาขอขนมที่โรงน้ำชาของนางประจำ แต่นางไล่เขาไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าแต่งกายสกปรกเช่นนี้จะทำให้โรงน้ำชาของนางเสื่อมเสีย

“คุณหนู บ่าวจะไล่เขาไปขอรับ”

“ไม่ต้อง มีสิ่งใดก็ไปทำเถิด”

“ขอรับ”

ผู้ดูแลร้านมีท่าทีงงงันไม่น้อย ฟางเมี่ยวไม่ได้ใส่ใจ เพียงสั่งให้ลู่ชิงไปนำขนมเปี๊ยะใส่กล่องมาหลายชิ้นหน่อย ไม่นานลู่ชิงก็นำกล่องขนมมามอบให้นาง ฟางเมี่ยวเดินตรงไปที่เด็กชายผู้นั้น ก่อนจะยื่นขนมให้เขา

“ข้าให้เจ้า เห็นว่าเจ้าชอบมายืนดู”

เด็กชายผู้นั้นมีท่าทีหวาดกลัวฟางเมี่ยวไม่น้อย ฟางเมี่ยวถอนหายใจออกมาคราหนึ่งก่อนจะยิ้ม

“ไม่ต้องกลัวข้า ข้าไม่ไล่เจ้าแล้ว หากเจ้าอยากกินอีกก็มาได้เสมอ ข้าจะบอกผู้ดูแลร้านเอาไว้”

เด็กชายมีท่าทีตื่นตระหนกก่อนจะพยักหน้า ฟางเมี่ยวยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะครุ่นคิด

ขอบคุณความตายในครั้งนั้น มันทำให้นางได้มองเห็นหลายๆ อย่าง เด็กชายผู้นี้หากเลือกได้เขาคงไม่อยากเกิดมาในสภาพเช่นนี้ แต่นางมีโอกาสได้กลับมาเป็นครั้งที่สอง นางจึงเข้าใจว่าการให้ความหวังเพียงน้อยนิดกับคนที่ไร้หนทางย่อมเป็นเรื่องที่ดี

“ขอบคุณพี่สาว”

“อ้อ ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้านำขนมเหล่านี้ไปกินคนเดียวหรือ?”

“เอ่อ ไม่ขอรับ ที่บ้านข้ามีท่านแม่ที่ป่วย กับน้องสาวที่พิการ ข้าเอ่อ ไม่มีเงินซื้อของดีๆ ให้พวกเขา”

ฟางเมี่ยวจ้องมองเด็กชายผู้นั้น ก่อนจะล้วงเข้าไปในแขนเสื้อและหยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงส่งให้เด็กชายผู้นั้น เด็กน้อยตกใจรีบโบกมือเป็นพัลวัน

“รับไว้ แล้วพาแม่เจ้าไปหาท่านหมอ จำไว้ว่า หากเจ้าลำบากให้มาหาข้าที่นี่ ข้าจะแจ้งผู้ดูแลร้านเอาไว้ หากเจ้ามาเขาจะไปบอกข้า ข้าช่วยเหลือเจ้าเอง”

“พี่สาว ท่านช่างใจดียิ่งนัก”

“รีบเอาขนมไปให้ท่านแม่กับน้องสาวเจ้าเถิด ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

“ไปแล้วขอรับ ข้าจะพาท่านแม่ไปหาหมอ แล้วจะมาบอกพี่สาว”

“อืม”

ฟางเมี่ยวมองตามก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย ความรู้สึกอิ่มเอมและสุขใจมันดีเช่นนี้เองหรือ

ฟางเมี่ยวก้าวเดินเข้ามาในร้าน หลังจากกำชับเรื่องของเด็กชายผู้นั้นกับผู้ดูแลร้านแล้ว นางจึงเอ่ย

“ทำงานกันไปเถิด ไม่ต้องสนใจข้า เพียงนำชาปี้หลัวชุนกับขนมเปี๊ยะไปให้ข้าตรงห้องชั้นบนที่อยู่ติดริมหน้าต่างก็พอ"

"ขอรับ"

ผู้ดูแลร้านพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม ฟางเมี่ยวไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางเดินมุ่งหน้าขึ้นไปที่ชั้นสอง ตรงไปยังห้องใหญ่สุดตรงริมหน้าต่าง ห้องนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของต้าอู๋ได้อย่างถนัดตา

ไม่นานชาและขนมก็มาถึง ฟางเมี่ยวยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ ริมฝีปากบางสวยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมากัดกินอย่างสบายอารมณ์ พลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ ก่อนจะได้ยินเสียงผู้คนดังขึ้น นางจึงชะโงกหน้าไปมองที่นอกหน้าต่าง เห็นเหล่าสตรีน้อยหลายนางกำลังขว้างปาดอกไม้โยนไปที่เหล่าขบวนทหารอย่างมีความสุข

ฟางเมี่ยววางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปที่ขบวนทหารที่กำลังเคลื่อนขบวนผ่านโรงน้ำชาของนางไป ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปที่เย่จิ้นหยางที่เป็นผู้นำขบวน แต่นางไม่ได้ใส่ใจเขาเลยแม้แต่น้อย ยามนี้นางกำลังจ้องมองไปที่บุรุษผู้หนึ่งที่ควบม้าตามหลังเย่จิ้นหยาง

หลี่เยี่ยนเฉิน!!!

เมื่อได้จ้องมองเขาอย่างล้ำลึก นางจึงได้รู้ว่า เขาช่างหล่อเหลายิ่งนัก ยามนี้เขามีอายุได้ยี่สิบปีแล้ว ดูองอาจและน่ามองไม่น้อย น่ามองเสียจนนางละสายตาไม่ได้

เขาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ แต่นางก็ยังตาบอดไปชอบเย่จิ้นหยาง!!!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินอย่างอารมณ์ดี

ธรรมเนียมของต้าอู๋ค่อนข้างเปิดกว้าง หากสตรีชื่นชอบบุรุษ ย่อมสามารถโยนดอกไม้หรือถุงหอมให้บุรุษที่ตนชื่นชอบได้ ส่วนบุรุษก็สามารถมอบดอกไม้หรือซื้อเครื่องประดับแทนใจให้แก่สตรีที่ชอบและจะแต่งงานด้วยก็ไม่ผิดเช่นกัน

ฟางเมี่ยวเกรงว่าขบวนจะเคลื่อนไปจนนางไม่ทันได้ทำการสำคัญ นางจึงหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะสบถออกมา

บัดซบ!! ไม่มีดอกไม้สักดอกเลย

ทำเช่นไรดี?

นางครุ่นคิดอย่างลนลานก่อนที่สายตาคู่สวยจะไปหยุดอยู่ที่ขนมเปี๊ยะที่เหลืออีกหนึ่งชิ้นสุดท้ายบนจาน

ฉับพลันความเสียดายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง

ขนมเปี๊ยะนี่นางชอบมาก หากโยนให้เขาไปนางคงเสียดายแย่

เช่นนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน!!!

ฟางเมี่ยวหยิบขนมเปี๊ยะมากัดกินครึ่งชิ้น ส่วนอีกครึ่งชิ้นที่เหลือ นางโยนออกไปให้หลี่เยี่ยนเฉิน

โอววว!! วาสนาด้ายแดงชัดๆ

ขนมเปี๊ยะครึ่งชิ้นลอยละลิ่วไปโดนใบหน้าหล่อเหลาของหลี่เยี่ยนเฉินเข้าอย่างจัง เขาคว้าจับมันเอาไว้ได้ ก่อนจะสบถในใจ

บัดซบ! ผู้ใดขว้างของเหลือเดนเช่นนี้มาให้ข้ากัน จะให้ข้ากินของเหลือหรือไร!!

เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเงยหน้าไปมองตามทิศทางที่ขนมเปี๊ยะครึ่งซีกลอยมา ก่อนจะพบกับสตรีนางนั้น สตรีที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี สตรีที่เขาเคยรักนางอย่างสุดหัวใจ

ฟางเมี่ยว!!!

ฟางเมี่ยวยักคิ้วให้หลี่เยี่ยนเฉิน ก่อนจะส่งยิ้มตาหยีมองเขา หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งกาย

ให้ตายเถิด!!! ตายไปแล้วก็ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีก มาตามหลอกหลอนเขาอยู่ได้

เอ๊ะ!! ช้าก่อนนะ คล้ายว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง

หลี่เยี่ยนเฉินมองไปที่ฟางเมี่ยวอีกครา ใจของเขาพลันเต้นถี่ระรัว เรื่องราวเก่าก่อนพลันปรากฏขึ้นในหัว

เขาย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ในช่วงที่

ตนยังเป็นเพียงหัวหน้าทหาร อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นรองแม่ทัพ มีความดีความชอบที่ร่วมรบชนะกบฏ

เช่นนั้นยามนี้ฟางเมี่ยวย่อมยังไม่ตาย!!!

สตรีใจดำและเสแสร้งตลบตะแลงผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ในชาตินี้!!!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   เสิ่นจื่อหลาง1-4

    หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   เสิ่นจื่อหลาง 1-3

    วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   เสิ่นจื่อหลาง 1-2

    วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   ตอนพิเศษ เสิ่นจื่อหลาง 1-1

    (เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   ตอนพิเศษ หลี่เยี่ยนเฉินและฟางเมี่ยว

    เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   บทที่ 56 บทสรุป

    รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status