หลี่เฉียงตอนที่เป็นคุณชายอยู่ในจวนตระกูลหาน เขายังไม่เคยถูกดุด่าเสียงดังเช่นนี้มาก่อน มีเพียงบิดาของเขาที่ต่อว่าเขาเมื่อถูกเจ้าหนี้มาตามทวงถึงที่เรือน แต่ตอนอื่นก็ล้วนแต่ไม่เคยพูดตวาดเขาเช่นที่หว่านหนิงนางทำอยู่ในตอนนี้
“เหอะ จะบ้าตาย” นางหันหน้าไปทางอื่น แล้วสบถออกมาอย่างหัวเสีย
“ที่นา ใช่ที่นาของท่านยังมี ท่านก็ไปทำนาเสีย”
“ข้าทำไม่เป็น หากเจ้าอยากทำก็ไปทำเอง” เขาพิงตัวกับเก้าอี้
“หลี่เฉียง ท่านเป็นบุรุษหรือไม่” นางทุบตีเขาไปอีกหลายที
“พอ พอแล้ว ข้าเจ็บไปหมดแล้ว” เขาออกเสียงหลง พร้อมทั้งยกมือขึ้นปัดป้อง
หว่านหนิงโยนไม้ในมือทิ้ง นางนั่งลงที่เก้าอี้ ร่างกายของนางเหนื่อยล้า ทั้งสภาพจิตใจของนางก็ย่ำแย่ถึงที่สุด แต่ท้องเจ้ากรรมก็ดันร้องขึ้นมาเสียอีก
จ๊อกก จ๊อกกก เสียงท้องของหว่านหนิงดังจนหลี่เฉียงต้องหันมามองที่ท้องของนาง
“ที่เรือนเหลือสิ่งใดบ้าง”
“ไม่รู้”
“ก็ไปดูสิ!!!” นางตวาดออกมาอย่างเหลืออด ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องสักอย่าง
หว่านหนิงลุกจากเก้าอี้ พร้อมทั้งลากตัวของหลี่เฉียงให้นำทางไปที่ห้องครัวด้วย เมื่อเข้ามาเห็นข้าวของด้านในที่ระเกะระกะ ทั้งยังสกปรกไม่น้อย นางก็แทบจะล้มทั้งยืน จนต้องแกะประตูห้องครัวไว้
นี่จะเรียกว่าห้องครัวได้อย่างไร สมควรเรียกมันว่าเล้าหมูเสียมากกว่า ซูหว่านหนิงกับหลี่เฉียงไม่รู้ว่าทั้งสองใช้ชีวิตกันเช่นไร เรือนดีๆ ที่เป็นของท่านยายหลี่เฉียงถึงได้มีสภาพเช่นนี้ไปได้
หลี่เฉียงเม้มปากแน่น มองหว่านหนิงที่นางดูท้อแท้กับชีวิตของนางอย่างแปลกใจ หว่านหนิงไม่สนใจว่าข้อเท้าของนางจะเจ็บปวดเพียงไหน ในเมื่อท้องหิวนางก็ต้องจัดการความหิวเสียก่อน ไว้ค่อยคิดเรื่องอื่นในภายหลัง
นางเริ่มเดินเข้าไปเก็บข้าวของในห้องครัว ทั้งยังเรียกให้หลี่เฉียงเข้ามาช่วยนางทำงาน
นางค้นไปเจอข้าวสารอยู่ครึ่งถุงกับมันเผาสองสามหัว ก่อนจะหลับตาลงอย่างปวดใจ แม้แต่เกลือหรือน้ำตาลก็ไม่มีให้นางได้ใช้
“ไปจุดไฟ” นางเอ่ยบอกเขา ทั้งที่มือสองข้างของนางก็ยังคงง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของเข้าที่ ทั้งยังต้องนำถ้วยชาม หม้อ ไห กระทะ ไปล้างใหม่ทั้งหมดอีก
“จุดไม่เป็น”
“สวรรค์ ท่านส่งข้ามาที่นี่เพื่ออะไร” นางตะโกนร้องออกมา
หว่านหนิงหยุดนิ่งไปครู่ เหมือนนางจะนึกสิ่งใดได้ นางเดินออกไปมองท้องฟ้าด้านนอก แล้วตะโกนออกมาเสียงดัง
“ฉันอยากได้เนื้อคู่ ท่านกลับส่งคนสารเลวแบบนี้มาให้เหรอ จะใจร้ายเกินไปแล้ว ทั้งชีวิตฉันเคยทำเลวสักครั้งไหม” นางชี้มือขึ้นไปต่อว่าอย่างไม่ยินยอม
หลี่เฉียงยืนมองการกระทำของนางอย่างนิ่งเงียบ คำพูดที่แสนประหลาดของนาง ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจแล้ว สนใจแค่คำว่าตนสารเลวที่นางใช้เรียกเขา
ครืน ครืน เสียงฟ้าร้องขึ้นเหมือนจะบอกว่า เทพชะตาก็ทำตามคำขอของนางแล้วอย่างไรเล่า ที่ต้องการเนื้อคู่
หลี่เฉียงหลบเข้ามุมห้องครัวด้วยความตกใจ เขามองมาที่หว่านหนิงที่นางยังใจกล้ายืนเท้าสะเอวมองขึ้นมาฟ้าอย่างไม่นึกกลัว
“หากท่านรับรู้ ก็ช่วยให้ชีวิตฉันอย่าได้เลวร้ายไปมากกว่านี้เลย” น้ำตาของนางไหลออกมาด้วยความเศร้าใจ
เหมือนสวรรค์จะเห็นใจนางอยู่ไม่น้อย แสงสีขาวสายเล็กๆ พุ่งเข้าสู่นิ้วชี้ข้างขวาของหว่านหนิง แม้แต่ตัวนางก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นเช่นกัน
หน้าที่การงานของนางดีๆ อยู่แล้ว ไหนจะชีวิตครอบครัวที่ภพเดิมของนางอีก คุณพ่อคุณแม่จะต้องเจ็บปวดเช่นไร เมื่อรู้ว่าลูกสาวของพวกท่านตายแล้ว
หว่านหนิงปาดน้ำตาอย่างลวกๆ ก่อนที่นางจะเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อลงมือทำอาหาร นางไม่สนใจแล้วว่าหลี่เฉียงเขาเป็นอย่างไร
หว่านหนิงหาตะบันไฟจนพบ นางเคยเห็นชาวบ้านในชนบทตอนที่นางเดินทางไปหาซื้อผ้าไหมใช้มาก่อน นางจึงได้เริ่มลงมือจุดไฟ ต้มน้ำทันที
“อย่าได้ยืนเกะกะ ไปล้างถ้วยชามเสีย” นางเอ่ยสั่งโดยไม่หันไปมองเขา
เพราะตอนนี้หว่านหนิงกำลังปลอกหัวมันทั้งสองลูกเผื่อจะใช้หุงไปพร้อมกับข้าวอยู่ แต่ด้านหลังของนางกลับไร้เสียงเช่นเดิม
มือน้อยๆ ของนางที่กำลังหั่นหัวมันหยุดชะงักทันทีก่อนจะหันไปมองที่หลี่เฉียง
“หลี่เฉียง ข้าไม่ใช่ซูหว่านหนิง หากท่านยังไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์ พวกเราก็มิอาจอยู่ด้วยกันได้ ข้าจำต้องบอกคุณตามจริง ไม่รู้ว่าวิญญาณของข้าที่อยู่ต่างภพ มาอยู่ในร่างของหว่านหนิงได้อย่างไร แต่หากต้องทนใช้ชีวิตกับบุรุษที่ไม่ทำอะไรเช่นท่านข้าขอไปเริ่มชีวิตใหม่เสียดีกว่า”
หว่านหนิงนางพูดออกมายืดยาว แต่ดูจากสีหน้าของหลี่เฉียงแล้ว เขาคงไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด
หลี่เฉียงเดินเข้ามาใกล้กับหว่านหนิง แล้วใช้มือของเขาจับที่หน้าผากของนาง เพื่อดูว่านางมีไข้หรือไม่ เหตุใดถึงได้เอ่ยพูดจนประหลาดเช่นนี้ออกมาได้
“เจ้าไม่มีไข้ แล้วเหตุใดถึงได้เพ้อเช่นนี้” เขามองนางอย่างแปลกใจ
“ทะ ท่าน สวรรค์” หว่านหนิงหมดคำจะพูดกับบุรุษเช่นหลี่เฉียง
นางหันไปจัดการหัวมันอีกครั้ง น้ำหนักมือที่ลงมีดของนางครั้งนี้ ทำให้หลี่เฉียงจำต้องหันไปล้างถ้วยชามตามคำสั่งของหว่านหนิงทันที
เพราะของในครัวมีเพียงแค่สองอย่าง นางจึงทำเสร็จในเวลาไม่นาน พอหันไปมองถ้วยชามที่หลี่เฉียงล้างไว้ หว่านหนิงก็แทบจะเป็นลมทันที
“ท่านแน่ใจนะว่าล้างแล้ว” นางมองหาไม้ที่อยู่ใกล้มือ
หลี่เฉียงที่ดูเหมือนจะล่วงรู้ความคิดนาง เขารีบโยนไม้ฟืนที่อยู่ใกล้ตัวนางมากที่สุดทิ้งไปทันที
ถ้วยชามที่หลี่เฉียงล้างเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการจุ่มลงไปในน้ำแล้วยกขึ้นมาวางเสียมากกว่า
“ล้างแล้ว เจ้าไม่เห็นรึว่ามันเปียก” เขาชี้มือไปที่ถ้วยชาม
“ล้างใหม่ คราบยังมีติดอยู่เลยท่านเห็นหรือไม่ หากล้างไปสะอาดก็ไปหาข้าวกินที่อื่น” นางเดินขากะเผลกออกจากห้องครัวไป
หลี่เฉียงจะไม่ล้างใหม่ก็ไม่ได้ เขาจำต้องหยิบถ้วยชามขึ้นมาล้างใหม่ทั้งหมด จะให้ออกไปหากินด้านนอก เงินที่มีนางก็ยึดไปเสียหมดแล้ว
หว่านหนิง นางเพียงแค่อยากจะออกมาสูดอากาศด้านนอก แต่เมื่อเห็นรอบเรือนที่มีหญ้าขึ้นรก ทั้งข้าวของที่ถูกวางทิ้งไว้หลายแห่ง นางก็แทบอยากจะร่ำไห้ออกมาทันที
“หลี่เฉียง ท่านล้างชามเสร็จแล้วหรือยัง” นางร้องตะโกนถามเขา หากจะให้นางเดินไปเก็บเสียทุกอย่าง ขาของนางคงได้ระบมมากกว่านี้เป็นแน่
“ยังงงง” เสียงหยานคางของเขาเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยอยากจะตอบนางนัก
หว่านหนิงได้แต่ถอนหายใจ ถ้วยชามเพียงไม่กี่ใบเขาใช้เวลามากถึงเพียงนี้เลยรึ นางจึงได้แต่เดินไปเก็บบางส่วนที่พอจะทำด้วยตนเองได้เสียก่อนให้เข้าที่เข้าทาง
หลังจากงานเลี้ยงราชสมภพของฮ่องเต้ ก็ยังไม่มีคณะทูตคนใดที่คิดจะเดินกลับ ด้วยต้องการตัวของคนที่ทำชุดฉลองพระองค์ของฮ่องเต้และฮองเฮากลับแคว้นของตนไปด้วยความวุ่นวายด้านนอกนางมิได้รับรู้ ด้วยมีสัตว์เทพทั้งสี่ที่คอยจัดการพวกที่ลักลอบเข้ามาในจวนอยู่ตลอด บางคนเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ เพื่อต้องการเข้ามาชิงตัวหว่านหนิงนางกลับไปที่แคว้นของพวกเขาด้วยตอนนี้ทั่วถึงเมืองหลวงจึงได้รู้ว่าจวนตระกูลหลี่มิใช่สถานที่ ที่ผู้ใดจะเข้าไปวุ่นวายได้ง่ายๆ หากมีปัญญาที่จะเข้าไปก็ต้องลองดูว่าจะมีโอกาสได้กลับออกมาอีกหรือไม่ตัวองค์ชายสามจึงได้รู้ว่าเสือที่กุ้ยเฟยพูดถึงมิได้ไม่มีอยู่จริง มันมีอยู่ที่จวนตระกูลหลี่ เพราะเสี่ยวหู่เผยตัวตนของมันเข้าเสียแล้วหากวันใดที่จวนตระกูลหลี่เปิดประตูจวนทิ้งไว้ ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาก็จะพบเสือโคร่งตัวใหญ่เดินอยู่ภายในจวนที่เสี่ยวหู่มันทำเช่นนี้เพื่อจัดการมิให้ผู้ใดเข้ามากวนนายหญิงยามที่นางตั้งครรภ์ใกล้คลอด ก่อนหน้านี้ที่มันเผยตัว ด้วยแคว้นต้าซ่งส่งคนมาลอบลักพาตัวหว่านหนิงคนขององค์ชายสามที่คุ้มกันห่างๆ อยู่รอบจวนเข้ามาช่วยเหลือไม่ทัน พอไปแจ้งองค์ชายสามก็เห็นเสี่ยวหู่กำลังตะปบใบห
ตระกูลซูเมื่อรู้ว่าหว่านหนิงนางกลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาพบนางทันที พอได้เห็นว่านางไม่มีอันใดให้เป็นห่วง ทั้งยังไม่มีอาการแพ้ท้องให้ได้เห็น ต่างก็พากันกลับออกไป ปล่อยให้นางได้พักผ่อนฉลองพระองค์ที่หว่านหนิงนางทำขึ้นถวาย เป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ยิ่งนัก จนประทานรางวัลมาให้นางถึงสองคันรถม้า ทั้งยังมีป้ายเชิดชูฝีมือปักผ้าของนางประทานมาให้อีกด้วยป้ายพระราชทานนี้ถูกติดไว้อยู่ที่หน้าจวน เคียงข้างป้ายจวนตระกูลหลี่อย่างยิ่งใหญ่ ราคาผ้าปักกั้นฉากสามผืนก่อนหน้านี้ที่นางทำขึ้น ถูกทาบทามขอซื้อสูงถึงผืนละห้าพันตำลึงทอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่คิดจะขายออกไป ด้วยอยากจะเก็บไว้ให้บุตรหลานและอวดสายตาของผู้อื่นเสียมากกว่าเพราะการตั้งครรภ์ของนาง หว่านหนิงนางจึงไม่ได้ถูกผู้ใดรบกวนขอให้ปักผ้าให้อีก มีเพียงผืนที่นางรับบอกจ้าวซื่อ และชุดของตู้ลู่จื้อที่นางรับปากไว้แล้วเท่านั้นที่นางทำให้ของทั้งสองสิ่งต่างก็มอบให้พวกเขาก่อนที่นางจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้นางจึงว่างงานเอาแต่กินนอนอยู่เพียงภายในจวนเท่านั้นเรื่องที่น่าแปลกอีกเรื่องเห็นจะเป็นต้นหม่อนที่โตวันโตคืนจนบ่าวในจวนต่างตกตะลึงทุกวัน ยิ่งได้เห็นเหล่าผี
ต่อไปนี้นางก็จะมีช่องเก็บของส่วนตัวเสียที ของมีค่าทั้งหมดหว่านหนิงนางนำมาใส่ลงไปด้านใน และผูกเก็บไว้ที่ข้างเอวของนางอย่างหวงแหน ยิ่งทำให้คอของเสี่ยวหู่ตั้งตรงมากกว่าเดิมเซียงเซียงกลับมาถึงเรือนก็นำผ้าหลายพับมามอบให้หว่านหนิง โดยผ้าทั้งหมดที่นางมอบให้ในครั้งนี้ เพื่อทำชุดและผ้าอ้อมให้บุตรของหว่านหนิงเท่านั้นส่วนเหมยลี่นางนำสุราแสงจันทร์ ที่ถูกนำออกมาแอบแสงจันทร์ในวันพระจันทร์เต็มดวงถึงหนึ่งร้อยครั้งด้วยกัน“นายหญิงสุราไหนี้ ท่านไว้ดื่มหลังจากที่ท่านคลอดบุตรแล้ว จะช่วยให้พลังหยินหยางในร่างกายท่านสมดุลเร็วขึ้น”หว่านหนิงนางมองสัตว์เทพทุกตัวของนางอย่างซาบซึ้ง ดวงตาของนางมีน้ำตาเอ่อคลอออกมา“ข้าไม่รู้จะขอบใจพวกเจ้าเช่นไร เพียงแค่มีพวกเจ้าอยู่ข้างกายจ้า ข้าก็นึกขอบคุณสวรรค์มาแล้ว” นางร่ำไห้ออกมาจนได้เสี่ยวหู่ซุกเข้าไปในอ้อมกอดของหว่านหนิงนางทันที ส่วนทั้งสามต่างเข้ามาคลอเคลียอยู่ที่แก้มของนางหลี่เฉียงที่เข้ามาเห็นภาพนี้พอดี ก็ยิ้มมองทั้งหมดอย่างภูมิใจ เรื่องดีที่สุดในชีวิตของเขาก็คงเห็นจะเป็นเรื่องนี้ที่มีหว่านหนิงและสัตว์เทพที่คอยช่วยเหลือ“ท่านพี่ ท่านดูนี่” หว่านหนิงนางนำของทั้งหมดออ
นับตั้งแต่ออกเดินทางจากเมืองหลวง ตัวหว่านหนิงนางก็แทบจะไม่ได้ปักผ้าสักเท่าไหร่ นางเอาแต่นอนพักอยู่ภายในรถม้า พอเข้าพักที่โรงเตี๊ยมนางก็เอาแต่นอน“นายท่าน นายหญิงกำลังตั้งครรภ์เจ้าค่ะ” ฮวาเตี๋ยนางร้องบอกหลี่เฉียง เมื่อนางลองบินเข้าไปใกล้ท้องของหว่านหนิงเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่นางคิดถูกต้อง“จะ เจ้า...เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลี่เฉียงร้องออกมาอย่างตกใจจนเสี่ยวชิงที่เพิ่งนำม้าไปเก็บด้านหลังเรือน ต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขาก็เห็นเพียงนายท่านพูดคุยอยู่กับความว่างเปล่าเท่านั้น โดยมีเสี่ยวหู่ยืนอยู่ด้านข้าง จะบอกว่าคุยกับแมวก็ดูจะประหลาดเกินไป“ข้าบอกว่า นายหญิงตั้งครรภ์เจ้าค่ะ ท่านควรไปเชิญหมอมาตรวจให้นางอีกครั้งเพื่อความ...อ้าว” ฮวาเตี๋ยนางยังพูดไม่จบหลี่เฉียงก็วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเสียแล้วโดยหลงลืมไปเลยว่ามีเสี่ยวชิงอยู่ จะใช้ให้เสี่ยวชิงไปตามก็ย่อมได้ พอออกจากเรือนก็พบป้าตู้ที่นางกำลังจะเดินมาดูว่าผู้ใดมาที่เรือนของหว่านหนิง“อ้าว อาเฉียงเจ้ากลับมาเมื่อใด แล้วอาหนิงเล่า” นางดึงรั้งหลี่เฉียงที่กำลังเร่งฝีเท้าเข้าไปในหมู่บ้านไว้“เพิ่งกลับมาขอรับ ท่านป้าข้าจะรีบไปตามหมอ ขอตัวก่อนขอรั
ยิ่งรู้ว่าหลี่เฉียงกับหว่านหนิงจะเดินทางกลับซานตง องค์ชายสามก็เสด็จมาพูดคุยเรื่องนี้ที่จวนตระกูลซูด้วยพระองค์เอง ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นต่างตกตะลึงและยิ่งอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขามากกว่าเดิม“หากเจ้ากลับไปแล้วเปิ่นหวางจะหาสุราดื่มได้อย่างไร” ทุกวันนี้ก็แทบจะจิบวันละอึกอยู่แล้ว หากทั้งสองมิเดินทางกลับมาเมืองหลวงอีก มิต้องส่งคนไปรับสุราที่เมืองซานตงหรอกรึ“กระหม่อมเพียงกลับไปจัดการเรื่องที่เมืองซานตงและจะย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” เรื่องนี้หลี่เฉียงพูดคุยกับหว่านหนิงนางแล้วหว่านหนิงนางก็อยากจะอยู่ใกล้บิดามารดา ตอนนี้ทั้งสองก็ให้พ่อบ้านเร่งหน้าจวนหลังใหม่ให้ทั้งคู่แล้ว เพราะหากยังอยู่ที่เรือนตระกูลซู หลี่เฉียงจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นเขยแต่งเข้า เรื่องนี้ไม่ดีสำหรับตัวเขาเลยสักนิดความจริงที่องค์ชายสามมาในวันนี้ก็อยากจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวังเมื่อสองวันก่อนด้วย แต่เขาคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ จึงไม่ได้เอ่ยถามออกมาสองวันก่อนที่ตำหนักของกุ้ยเฟยเกิดเรื่องขึ้น เสียงกรีดร้องในยามค่ำคืนที่ดังไปทั่ววังหลัง ทำให้เกิดความโกลาหลอยู่ไม่น้อย ตอนที่ทหารเข้าไปภายในตำหนักก็ไม่พบสิ่งใดที่ผิดแปลก
กุ้ยเฟยยิ้มหวานมองฮองเฮาที่เดินเข้ามาอย่างรู้งาน ดวงตาของนางไม่ต่างจากฮองเฮาที่มองจ้องกันไปมาอย่างแข็งกร้าว“พี่สาว วันนี้ท่านลำบากเดินมาหาข้าถึงตำหนักได้เลยรึ” กุ้ยเฟยลุกขึ้นทำความเคารพก่อนจะยกที่นั่งประธานให้ฮองเฮาไปนั่งแทนตน“หึหึ เปิ่นกงเห็นว่ามีเรื่องน่าสนุกที่ตำหนักของเจ้า จึงได้เดินมาร่วมชมด้วย อ๊ะ...ฮูหยินหลี่เจ้ามาทำอันใดที่นี่” กุ้ยเฟยกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย การแสดงของฮองเฮาช่างน่าขันนัก“กุ้ยเฟยต้องการให้หม่อมฉันทำฉลองพระองค์ถวายสักสองสามชุด มิใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่เต็มใจทำให้ เพียงแต่จำต้องเดินทางกลับไปซานตงก่อนเพคะ” หว่านหนิงได้ทีนางก็เอ่ยฟ้องเรื่องราวออกมาจนหมด“หึหึ ฮูหยินหลี่เจ้ามิต้องกังวลใจ น้องสาวข้านางรอได้ จริงหรือไม่” ฮองเฮาหันไปถามกุ้ยเฟย“จริงเพคะ” นางกัดฟันพูดออกมา ผู้ใดจะกล้าบอกว่าไม่จริงเล่า ยิ่งตอนนี้ฮองเฮาและบุตรของพระองค์กำลังได้รับความโปรดปรานอย่างหาที่สุดมิได้หากกุ้ยเฟยหาเรื่องฮองเฮาในยามนี้ไม่เท่ากับว่าโง่เขลาเกินไปหรอกรึ“เห็นหรือไม่ น้องสาวข้าช่างรู้ความนัก เจ้ากลับไปเตรียมตัวเถิด ไว้เดินทางเข้าเมืองหลวงเมื่อใด ค่อยเข้ามาพบกุ้ยเฟยก็ยังมิสาย”หว่านหนิงทำค