แผนการลับของเชฟข้ามภพ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เหม่ยหลินก็เรียกทุกคนมานั่งรวมกันในห้องโถงอีกครั้ง ใบหน้าของเธอเคร่งเครียดกว่าเมื่อเช้า แต่แววตายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "เรามีเวลาแค่คืนนี้เท่านั้น" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "พรุ่งนี้เช้าเราต้องประลองรสชาติกับมาดามหลี่" "แต่ท่านแม่...เราจะทำอะไรไปสู้บะหมี่เนื้อตุ๋นของนางได้ขอรับ?" หลี่เฟยหลงถามด้วยความกังวล เหม่ยหลินยิ้มบางๆ "เราจะทำ 'บะหมี่เจ' และ 'ซุปเห็ดหลินจือดำ'" คำว่า 'บะหมี่เจ' ทำให้ทุกคนงงไปตามๆ กัน "บะหมี่เจคืออะไรหรือขอรับท่านแม่?" หลี่เฟยหยางถามด้วยความสงสัย "มันคือบะหมี่ที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์เลย" เหม่ยหลินอธิบาย "เราจะใช้เส้นบะหมี่ที่เราทำเองจากแป้งข้าวโพด ผสมกับผักต่างๆ และเห็ดที่เรามีอยู่ แล้วปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยวและเครื่องเทศที่หาได้" "แต่...มันจะอร่อยหรือขอรับ?" หลี่เฟยหานถามอย่างไม่แน่ใจ "เชื่อมือแม่เถอะ" เหม่ยหลินตอบอย่างมั่นใจ "และที่สำคัญ...เราจะต้องหา เห็ดหลินจือดำ มาให้ได้" ชื่อ 'เห็ดหลินจือดำ' ทำให้ทุกคนถึงกับตกใจ "เห็ดหลินจือดำ!" หลี่เฟยหลงอุทาน "ท่านแม่! เห็ดนั้นหายากมากนะขอรับ! แถมยังขึ้นอยู่แต่บนภูเขาที่สูงชันและอันตรายมากด้วยขอรับ! และเป็นของล้ำค่าที่คนธรรมดาไม่ค่อยมีใครได้กิน!" "แม่รู้" เหม่ยหลินตอบ "แต่ซุปเห็ดหลินจือดำจะช่วยให้เราชนะการประลองนี้ได้ มันเป็นเห็ดที่มีสรรพคุณทางยามากมาย และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่แตกต่างจากเห็ดชนิดอื่น หากนำมาทำซุป จะทำให้ซุปมีรสชาติที่ล้ำลึกและหอมหวานอย่างไม่น่าเชื่อ" "แต่ท่านแม่...มันอันตรายเกินไปขอรับ" ชิวลี่ฮวาเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง "ไม่เป็นไร" เหม่ยหลินตอบอย่างเด็ดเดี่ยว "แม่จะไปหาเอง" "ไม่ได้ขอรับท่านแม่! ให้พวกบ่าวไปเถอะขอรับ!" หลี่เฟยหลงอาสา "ท่านแม่ไม่สบายอยู่ และยังไม่ชินกับสภาพที่นี่ด้วยขอรับ" เหม่ยหลินมองไปที่ใบหน้าที่มุ่งมั่นของลูกชายคนโต เธอเห็นประกายของความห่วงใยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอรู้ว่าเธอไม่ควรปฏิเสธน้ำใจของเขา "ก็ได้" เหม่ยหลินตอบในที่สุด "งั้นหลี่เฟยหลงกับหลี่เฟยหาน พวกเจ้าไปหาเห็ดหลินจือดำมาให้แม่นะ ระมัดระวังตัวให้มากที่สุด และจำไว้ว่า...ชีวิตของพวกเจ้าสำคัญกว่าสิ่งใด" หลี่เฟยหลงและหลี่เฟยหานพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะรีบออกไปจากบ้านเพื่อเตรียมตัวขึ้นภูเขา เหม่ยหลินหันไปมองชิวลี่ฮวาและหลี่เฟยหยาง "ส่วนพวกเจ้า...เรามาเริ่มเตรียมเส้นบะหมี่กันเถอะ" ทั้งคืนนั้น เหม่ยหลินสอนวิธีทำเส้นบะหมี่จากแป้งข้าวโพดอย่างละเอียด เธอผสมแป้งกับน้ำในอัตราส่วนที่เหมาะสม นวดแป้งอย่างพิถีพิถันจนได้ที่ ก่อนจะนำมารีดให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วใช้มีดหั่นเป็นเส้นบะหมี่อย่างประณีต ชิวลี่ฮวาและหลี่เฟยหยางช่วยกันอย่างขะมักเขม้น แม้จะดูเหน็ดเหนื่อย แต่ในแววตาของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นในตัว 'แม่' ของพวกเขา เมื่อใกล้รุ่งเช้า หลี่เฟยหลงและหลี่เฟยหานก็กลับมาถึงบ้านด้วยสภาพที่เหนื่อยอ่อนและมีบาดแผลเล็กน้อย แต่ในมือของหลี่เฟยหลงนั้นถือ เห็ดหลินจือดำขนาดเท่าฝ่ามือ มาด้วย! "ท่านแม่! พวกบ่าวเจอแล้วขอรับ!" หลี่เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคล แต่ก็ฉายแววภาคภูมิใจ เหม่ยหลินรับเห็ดหลินจือดำมาด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เธอมองดูบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ บนร่างกายของลูกชายทั้งสอง และรู้สึกผิดที่ต้องให้พวกเขาไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ "ขอบคุณมากนะ...ลูกแม่" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย และในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะโอบกอดลูกชายทั้งสองไว้แน่น ทั้งหลี่เฟยหลงและหลี่เฟยหานถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เคยได้รับการกอดจาก 'แม่' มาก่อน ร่างกายของพวกเขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดจากบาดแผลราวกับหายไปในพริบตา เช้าวันประลองรสชาติ บรรยากาศในตลาดคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนต่างมามุงดูการประลองรสชาติระหว่างมาดามหลี่กับ 'แม่เจียงคนใหม่' อย่างใจจดใจจ่อ มาดามหลี่นำบะหมี่เนื้อตุ๋นหม้อใหญ่ของเธอมาวางไว้กลางลานตลาด กลิ่นหอมของเนื้อตุ๋นลอยฟุ้งไปทั่ว สร้างความอยากอาหารให้แก่ผู้คนอย่างมาก "ดูสิเจ้าคะทุกท่าน! นี่คือบะหมี่เนื้อตุ๋นสูตรลับของตระกูลหลี่ ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน! รับรองว่ารสชาติเข้มข้น หอมหวาน และอร่อยเลิศ!" มาดามหลี่กล่าวโอ้อวดด้วยความมั่นใจ แล้วสายตาของมาดามหลี่ก็หันไปมองเหม่ยหลินที่กำลังจัดเตรียมแผงของเธออยู่ เหม่ยหลินตั้งเตาฟืนขนาดเล็ก วางหม้อซุปและหม้อบะหมี่ไว้ข้างๆ และเตรียมเส้นบะหมี่ที่ทำเองไว้ "มาดามหลี่เจ้าคะ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ "วันนี้ข้าจะนำเสนอ 'บะหมี่เจผักรวม' และ 'ซุปเห็ดหลินจือดำเพื่อสุขภาพ' เจ้าค่ะ" คำว่า 'บะหมี่เจ' และ 'ซุปเห็ดหลินจือดำ' ทำให้ผู้คนในตลาดต่างมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่ออาหารเหล่านี้มาก่อน และหลายคนก็ไม่เชื่อว่าอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์จะสามารถสู้บะหมี่เนื้อตุ๋นของมาดามหลี่ได้ มาดามหลี่หัวเราะเยาะ "หึ! บะหมี่เจอย่างนั้นรึ! อาหารคนป่วยหรืออย่างไร! แล้วซุปเห็ดอะไรนั่นอีก! คิดจะเอาของแปลกๆ มาหลอกขายผู้คนอย่างนั้นรึ!" เหม่ยหลินไม่ตอบโต้ เธอเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วเริ่มลงมือปรุงอาหาร เธอเริ่มจากต้มเส้นบะหมี่เจที่ทำเองจนสุกพอดี จากนั้นนำไปลวกในน้ำร้อน ใส่ลงในชาม ก่อนจะราดด้วยน้ำซุปที่ทำจากผักและเห็ดหอม ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยวเล็กน้อย โรยหน้าด้วยผักลวกและเห็ดผัดที่เตรียมไว้ ส่วนซุปเห็ดหลินจือดำ เธอนำเห็ดหลินจือดำที่หายากมาตุ๋นกับสมุนไพรพื้นบ้านบางชนิด และปรุงรสเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ได้รสชาติหวานธรรมชาติของเห็ดและสมุนไพร กลิ่นหอมของซุปเห็ดหลินจือดำลอยฟุ้งไปทั่วตลาด ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านถึงกับหยุดชะงัก ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูการประลองมากขึ้น เสียงซุบซิบและวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็สงสัยในฝีมือของ 'แม่เจียง' บางคนก็ไม่เชื่อว่าอาหารไร้เนื้อสัตว์จะอร่อยได้ "เอาล่ะ! ได้เวลาตัดสินแล้ว!" เสียงของชายชราคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้น "ขอเชิญทุกท่านที่สนใจลองชิมอาหารของทั้งสองฝ่ายได้เลย!" ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้าไปลองชิมบะหมี่เนื้อตุ๋นของมาดามหลี่ก่อน หลายคนกินแล้วก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เพราะเป็นรสชาติที่คุ้นเคยและอร่อย จากนั้นพวกเขาก็มาที่แผงของเหม่ยหลิน หลี่เฟยหยางเป็นคนแรกที่ยื่นบะหมี่เจให้กับผู้คนด้วยรอยยิ้มสดใส เมื่อผู้คนเริ่มลองชิมบะหมี่เจ คำแรกที่พวกเขาได้ลิ้มรสคือความเหนียวนุ่มของเส้นบะหมี่ที่ทำจากแป้งข้าวโพด รสชาติของน้ำซุปที่หอมหวานจากผักและเห็ด และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเต้าเจี้ยวผัดที่ช่วยเพิ่มความกลมกล่อม มันเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ แต่กลับอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ หลายคนถึงกับตาโตด้วยความประหลาดใจ "นี่มันบะหมี่อะไรกัน! อร่อยมากเลย!" ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น "จริงด้วย! ข้าไม่เคยคิดเลยว่าบะหมี่ที่ไม่มีเนื้อสัตว์จะอร่อยได้ขนาดนี้!" หญิงชราอีกคนเสริม และเมื่อพวกเขาได้ลองซุปเห็ดหลินจือดำ ดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้างด้วยความทึ่ง กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเห็ดหลินจือดำผสานกับรสชาติหวานละมุนจากธรรมชาติ ทำให้ซุปมีรสชาติที่ลึกล้ำและอบอุ่นไปทั่วทั้งร่างกาย "นี่มันซุปวิเศษชัดๆ! ข้าไม่เคยลิ้มรสซุปที่อร่อยและหอมขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต!" เสียงตะโกนจากฝูงชนดังขึ้นเรื่อยๆ มาดามหลี่ที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ถึงกับมีสีหน้าซีดเผือด นางไม่คิดเลยว่าอาหารของ 'แม่เจียง' จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีขนาดนี้ ในที่สุด เมื่อทุกคนได้ลองชิมอาหารของทั้งสองฝ่าย หัวหน้าหมู่บ้านก็เดินเข้ามากลางลานตลาด "เอาล่ะ! ทุกท่านได้ตัดสินแล้ว! ใครคิดว่าบะหมี่เนื้อตุ๋นของมาดามหลี่อร่อยกว่า ขอให้ยกมือขึ้น!" ผู้คนส่วนหนึ่งยกมือขึ้นอย่างลังเล "แล้วใครคิดว่าอาหารของแม่เจียงอร่อยกว่า ขอให้ยกมือขึ้น!" ทันใดนั้นเอง! ผู้คนส่วนใหญ่ในตลาดต่างยกมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียง! บางคนถึงกับตะโกน "แม่เจียงชนะ!" "อาหารของแม่เจียงอร่อยกว่า!" มาดามหลี่ถึงกับหน้าถอดสี ร่างกายของนางสั่นเทิ้มด้วยความโกรธและความอับอาย "ไม่จริง! มันเป็นไปไม่ได้!" มาดามหลี่ตะโกนขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา "เจ้าโกง! เจ้าต้องโกงแน่ๆ!" "มาดามหลี่เจ้าคะ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น "ผลก็เป็นอย่างที่เห็นแล้ว การประลองนี้เป็นไปอย่างยุติธรรม ผู้คนในตลาดเป็นพยาน" มาดามหลี่กัดฟันแน่น นางรู้ดีว่าไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้อีกแล้ว "เอาล่ะๆ" หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวขึ้น "ในเมื่อผลออกมาแล้ว แม่เจียงเป็นผู้ชนะ! ดังนั้น...แม่เจียงมีสิทธิ์ที่จะค้าขายในตลาดแห่งนี้ได้อย่างถูกต้อง และมาดามหลี่ต้องทำตามที่ตกลงกันไว้!" เสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่วตลาด ผู้คนต่างมองมาที่เหม่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและความเคารพ เหม่ยหลินยิ้มอย่างโล่งใจ เธอหันไปมองลูกๆ ของเธอ หลี่เฟยหลง หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ต่างยิ้มกว้างด้วยความสุข ส่วนชิวลี่ฮวาก็เข้ามาจับมือเธออย่างดีใจหลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง