เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนทำงานในโลกของเขาส่วนใหญ่ถึงชอบทำงานตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน เพราะมันทั้งเงียบสงบและทำให้คิดงานได้ง่ายกว่าหลายเท่า แถมประสิทธิภาพในการทำงานก็ดีกว่าช่วงกลางวันเป็นไหนๆ แต่วิถีชีวิตของเผ่าพันธ์ถ้าจะให้เปลี่ยนมาทำแบบแวมไพร์คงจะยาก อะไรหลายๆ อย่างก็ไม่ได้อำนวยเสียด้วย
แต่ถ้าหากอยู่ร่วมกันไปแบบนี้เรื่อยๆ ริคเองก็น่าจะใช้ชีวิตแบบแวมไพร์ได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก มาอยู่ได้ไม่กี่วันก็เริ่มนอนกลางวันแล้วมาทำงานตอนกลางคืนแทน อีกไม่นานคงจะเคยชินกับวิถีชีวิตแบบนี้แน่นอน เอกสารพวกนี้มากจนไม่คิดว่าคือจำนวนของคนที่ต้องทำมันช่างไม่บาลานกันเลยสักนิด ยิ่งอยู่สูงมากเท่าไหร่ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้นสินะ
"กระรอกน้อยทำไหวไหม มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า" เสียงทุ้มต่ำถามด้วยความเป็นห่วง
"ก่อนที่รัชทายาทจะเป็นห่วงคนอื่น กรุณาห่วงตัวเองก่อนเถอะพะยะค่ะ งานเยอะขนาดนี้ยังทำไม่เสร็จอีก" เมล์ขัดจังหวะทันทีไม่ใช่ว่าไม่ห่วงคุรชายริคแต่อีกคนตั้งท่าจะหนีงานตนเองต่างหาก จึงต้องกันไว้ดีกว่าแก้
"ผมยังไม่ง่วงเท่าไหร่ครับ คิดว่ารีบจัดการตรงนี้ให้เสร็จก่อนดีกว่า" เสียงหวานตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มสดใส หวังว่าจะไม่มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นอีก
"คุณชายไวท์ช่างสมชื่อมากจริงๆ ขอรับ งดงาม สง่างาม สดใสเหมือนสีขาว ไม่เหมือนคนแถวนี้หรอกขอรับ ดำมืดมากจนไม่คู่ควรกับแสงสว่าง" เมล์ยังไม่ลืมที่จะจิกกัดเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันอย่างคีย์
"ทั้งสองคนหยุดต่อปากต่อคำกันได้แล้วครับ เดี๋ยวผมไปทำของหวานมาให้กิน เพราะฉะนั้นกรุณาหยุดเถียงกันได้แล้ว" ครั้งนี้ริคทนไม่ไหวถึงกับยกมือห้ามไม่ให้มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นอีก เถียงกันเรื่องงานก็มากพออยู่แล้ว เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องเถียงกันมากขนาดนั้น
ทันทีที่ร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากห้องทำงานเหล่าแวมไพร์หนุ่มที่อยู่ด้านในก็ยังเถียงกันต่อไปจนริคไม่ได้ยินเพราะเดินมาไกลจากห้องทำงาน มือขาวหยิบส่วนผสมจากห้องครัวอันได้แก่ ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ นมจืด (150 Ml) กลิ่นวานิลลา ของเหล่านี้เป็นส่วนผสมของคัสตาร์ดพุดดิ้ง ต่อมาก็น้ำตาล 1 ช้อนชา น้ำ 1 ช้อนชา น้ำร้อน 1 ช้อนชา ของเหล่านี้เป็นส่วนผสมของคาราเมล น่าจะจัดสักห้าหกชุดเผื่อไม่อิ่มกัน เตรียมต้มนมสดไว้ด้วยเลยดีกว่า จะได้มีอะไรอุ่นๆ ดื่มหลังกินของหวานแล้ว
แล้วก็เริ่มทำตามในสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากโลกของตนเองต่อทันที มีพ่อครัวและหัวหน้าพ่อบ้านแอบมองอยู่ห่างๆ เพราะไม่เคยเห็นวิธีการทำอะไรแบบนี้มาก่อน ที่นี่มีเพียงอาหารหลักกับขนมที่กินเป็นชิ้นเป็นอันเท่านั้น ถึงจะเตรียมของไว้หลายอย่างหลายหม้อด้วยตัวคนเดียวก็ไม่เป็นอุปสวรรค ร่างสูงโปร่งหมุนตัวไปมาราวกับร่ายรำระหว่างการทำขนมไปด้วย เหล่าบรรดาแวมไพร์ที่แอบมองอยู่ถึงกับต้องมนต์สะกด
นอกจากกลิ่นขนมที่ทำจะหอมแล้วกลิ่นเลือดของเจ้าตัวก็หอมหวานเช่นกัน แต่ที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องเพราะเป็นคนของรัชทายาท แม้จะเป็นมนุษย์แต่ก็อย่าไปข้องเกี่ยวเด็ดขาดเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง อยากมีอายุยืนยาวแบบแวมไพร์ไม่ใช่อายุสั้นแบบมนุษย์ ไม่ใช่ว่าริคไม่รู้ว่าถูกมองอยู่แต่ขี้เกียจไปซักถามให้เสียเวลา รีบทำรีบขึ้นไปช่วยงานดีกว่าจะได้เสร็จเร็วๆ
"ข้าต้มนมสดไว้เพื่อทุกคนนะ! หม้อนี่ดื่มกันตามสบายเลย ข้าเตรียมส่วนของพวกข้าเอาไว้แล้ว" เสียงหวานเอ่ยบอกทำให้เหล่าพ่อบ้านสะดุ้งกันเป็นแถบไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการแอบดูที่โจ่งแจ้งมาก หากไม่รู้นี่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
"ข้าไม่คิดว่าข่าวลือเหล่านั้นจะเป็นจริง คุณชายริคทำขนมเก่งมากขอรับ"
"ขอบคุณสำหรับคำชมนะ ไปกินกันเถอะ"
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"อาหารว่างมาแล้วครับ ครั้งนี้เป็นพุดดิ้งกับนมสดร้อน รับประทานคู่กันจะได้ไม่หวานมากเกินไป ผมปรุงมารสกลางๆ "
"ใครได้กระรอกน้อยไปเป็นภรรยาจะต้องโชคดีมากแน่ๆ ได้กินขนมแปลกๆ ทุกวันเลย แค่คิดก็อิจฉาแล้ว" คีย์ชื่นชมอย่างพึงพอใจและการที่เขาพูดไม่ได้หมายถึงคนอื่น เขาหมายถึงตนเองจะโชคดีมากถ้าได้แต่งงานกับริคต่างหากล่ะ
"ฝีมือการทำขนมของคุณชายริคนับวันยิ่งเป็นที่สนใจของเหล่าผู้ดีชั้นสูงในสังคมแวมไพร์ อีกไม่นานจะต้องมีคนมาจีบแน่นอนขอรับ"
"รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ" ริคสนใจเรื่องรสชาติของขนมมากกว่าชื่นชมในการทำ เมื่อทั้งคู่พยักหน้าว่าอร่อยก็ทำให้โล่งอกไม่เสียแรงที่ลงทุนไปเรียนมาเพื่อช่วยงานแม่ตนเอง
"ถ้าอย่างงั้นก็ทำงานกันต่อเลยดีกว่าครับ พรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางกันแต่หัวค่ำ"
ณ คฤหาสน์ตระกูลสวิต (คฤหาสน์ของคุณชายคนโตของตระกูล)
"คุณชายริคจะออกเดินทางเข้าวังหลวงวันพรุ่งนี้ขอรับ"
"งั้นรึ" เทรเลอร์ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เขาให้ความสนใจตั้งแต่ตอนที่บีบคอแต่สายตาที่ไม่ยอมแพ้แบบนั้นช่างน่าดึงดูดเสียจริง ปกติมนุษย์ทั่วไปเจอแวมไพร์ทำร้ายร่างกายต้องตกใจหวาดกลัวกันทั้งนั้น มีเพียงริคเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวแล้วแบบนี้จะไม่น่าสนใจได้อย่างไรกัน
"พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางเข้าวังหลวงด้วย"
เพล้ง!
เสียงกระจกแตกรอบทิศทางห้องทำงานแวมไพร์หนุ่มด้วยความเร็วระดับราชวงศ์สามารถหลบได้ง่ายดาย แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าใครกันที่กล้าทำแบบนี้กับราชวงศ์ หากเป็นพวกขุนนางแล้วมีใครมาวุ่นวายอาจจะเพราะต้องการอำนาจที่เพิ่มขึ้นแต่อำนาจของราชวงศ์ไม่ใช่สิ่งที่จะแย่งมาได้เพราะมันคือสิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด คนที่ทำแบบนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
"เศษแก้วไม่บาดใช่ไหมครอส" คลาสถามด้วยความเป็นห่วงพลางช่วยปัดเศษแก้วให้น้องชายฝาแฝดตนเองอย่างไม่ทุกขร้อนอะไร
"ไม่บาด ข้าแข็งแรงจะตายพี่ก็รู้"
"ปากดีให้ได้ตลอดนะ"
"อย่ามาสร้างโลกของแฝดได้ไหมพะยะค่ะ มาหาหม่อมฉันถึงที่นี่ต้องการอะไรไม่ทราบ" เทรเลอร์พยายามระงับอารมณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่หน้าตาของเขานั้นไม่อาจปิดบังได้เลย
“เรื่องอื่นเดี๋ยวไปพูดคุยกันที่เมืองหลวง หลังจากทำงานเสร็จวันนี้จะต้องเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงได้แล้ว ใกล้จะได้เวลาวันเกิดของไวท์”“พะยะค่ะ รัชทายาท”“แล้วข้าล่ะ รัชทายาท”“ท่านเป็นอาจารย์ของไวท์ ก็ไปเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงสิแต่กลับไปตระกูลของตนเองก่อนแล้วค่อยเข้าเมืองหลวงมาใหม่”“พะยะค่ะ รัชทายาท”เขาเฝ้ามองเด็กคนนี้ตั้งแต่ได้รับหน้าที่ของนายหญิงที่ปกครองดินแดนแห่งนี้มา พบว่ามีความสามารถในการทำงานและการปรับตัวสูงมาก รวมถึงการฝึกซ้อมที่เห็นประจำในช่วงตื่นนอนขึ้นมานั้น เหมือนทำเป็นประจำมากกว่าจำใจทำเสียอีก“จะทะลุแล้วครับ มีอะไรหรือเปล่า” จ้องขนาดนี้เหมือนจะกินข้าวไม่ลงเลย มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า“ทำไมสวยขนาดนี้”“ว่ายังไงนะครับ” ใบหน้าหวานแดงขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำชม รีบตักอาหารเข้าปากแถมไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายด้วย
“แต่สิ่งที่ข้าอยากจะบอกคือแม้แต่รัชทายาทเองก็โดนแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ถึงจะตามหายังไงมันก็จะเหมือนเดิมเพราะคนที่อยากเป็นใหญ่มีอยู่มาก จึงจะเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นยังไงล่ะ ลูกศิษย์ของข้า” เอิรล์ฟาร์ดอนบอกพลางทำท่าครุ่นคิดเรื่องราวทั้งหมดไปด้วย“เล่ามาให้ละเอียดเลยดีกว่า เอิรล์ฟาร์ดอน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นมาขัดการซักถามและต้องการคำตอบที่ละเอียดกว่านี้เขาใช้พลังของตนเองในการบังคับให้อีกคนเปิดปากพูดออกมามากกว่าเดิม รังสีของแวมไพร์สูงศักดิ์ออกมาเป็นจำนวนมากทีเดียว แต่ว่าถ้านับตามอายุขัยกันแล้ว อายุขัยของเอิรล์ฟาร์ดอนนั้นมากกว่าจึงไม่ได้รู้สึกตกใจกับพลังแบบนี้สักเท่าไหร่นัก แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังแหย่เด็กเล่นเสียมากกว่า“พะยะค่ะ รัชทายาท” รัชทายาทพยายามระงับอารมณ์เอาไว้เพราะขุนนางตรงหน้าไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย แถมยังทำท่าเหมือนสนุกอยู่ด้วย แบบนี้ยิ่งน่าโมโหเข้าไปใหญ่“ระหว่างทางกลับมายังพระราชวัง เหมือนมีคนจงใจจะลอบสังหารลูกศิษย์ของข้า แล้วพวกข้ารับใช้สังเ
แต่จำเป็นต้องเข้าไปเรียนในโรงเรียนของจักรวรรดิทางเชื้อพระวงศ์ให้เป็นเรื่องราวเพื่อเข้ารับการทดสอบเหมือนกับคนอื่นที่ผ่านมา มันเป็นบททดสอบที่ยากแต่ทุกคนก็จำเป็นต้องผ่านไปด้วยกันให้ได้“วันนี้ออกไปซื้ออุปกรณ์สำหรับการเรียนเพิ่มกันเถอะขอรับ” เอิรล์ฟาร์ดอนชวน“ไปสิ จะได้ดูหนังสือด้วยว่าจะซื้ออะไรดี”“ข้าจะไปเตรียมรถม้าให้ขอรับ” เฟลิกซ์บอกพลางเดินออกไปล่วงหน้าเขาเดินออกมาให้คำสั่งแก่คัสซัสให้เตรียมรถม้าและให้คลาวน์ออกเดินทางไปพร้อมกัน รวมถึงตัวของเขาเองก็จะไปด้วยเช่นกัน แต่ทว่า...“ไม่ให้คำสั่งแก่ข้างั้นหรือ เอิรล์ทอม” เอิรล์สตุฟเฟลถามด้วยความสงสัย“ข้าเห็นว่าเป็นเพียงการออกไปซื้อของเท่านั้น แล้วมีผู้ติดตามคนสนิทออกไปสองคนกับอัศวินประจำวังอีกสองสามคนน่าจะเพียงพอแล้ว เพราะทางฝั่งของเอิรล์ฟาร์ดอนน่าจะมีเช่นกัน”“แต่การไปหลายคน...”“ท่านไวท์สั่งให้พ
“วันเกิดของผมมันคือสัปดาห์หน้าแล้วนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มบอกพลางยิ้มหวานเพราะว่าเขาไม่ได้บอกวันเกิดของตนเองมาก่อน ยังไงก็น่าจะมีแต่คนตกใจกันแน่นอน“เจ้าว่ายังไงนะ! สัปดาห์หน้างั้นหรือ!” มือหนาทุบโต๊ะด้วยความตกใจ ใครจะไปคาดคิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ คิดว่าอีกสักสองสามเดือนจะถึงเสียอีก ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียดทันทีหลังจากได้ยินคำตอบ“ผมส่งเอกสารแจ้งวันเกิดไปพร้อมกับการทำงานแล้ว น่าจะมีประกาศออกมาเร็ว ๆ นี้ครับ”“ทำไมเจ้าทำอะไรไม่ปรึกษาข้าก่อน” เสียงทุ้มต่ำถอนหายใจออกเบา ๆ พยายามระงับอารมณ์โกรธของตนเองเอาไว้“ยังไงเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ จะช้าหรือเร็วพวกเขาจะต้องออกมาเคลื่อนไหวและหาทางกำจัดผมไปให้พ้นทางอย่างแน่นอน การประกาศวันเกิดออกมาครั้งนี้จะทำให้เริ่มคิดถึงจำนวนผู้ต้องสงสัยลดลงไปกว่าครึ่ง คนที่ให้ความสนใจกับวันเกิดจนเกินงามมีโอกาสสูงที่จะไม่หวังดี”“ข้าคิดว่าคนที่เงียบต่างหากที่ไม่อยากเปิดเผยตัว
“ข้าจะถามเพียงคำถามเดียว หากใดจึงได้เลือกที่จะรับใช้รัชทายาท เพราะเหตุใด แล้วหลังจากนี้ตั้งใจจะทำอันใดต่อไป” คำถามเดียวที่ยาวขนาดนี้ น่าจะเหมือนสามคำถามมากกว่า ทุกคนคิดในใจและพากันมองหน้าด้วยสายตาแบบเดียวกันแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา“ข้ามาเพราะมีคำสั่งจากท่านไวท์ขอรับ หากได้รับการอนุญาตจะมาคอยรับใช้และดูแลรัชทายาทขอรับ”“ข้าเลือกมาด้วยตัวเอง เพราะอยากกลับมารับใช้องค์รัชทายาทครั้นเก่าก่อน และจะคอยรับใช้ตลอดอายุขัย”หลังจากคำตอบของทั้งสองแล้ว ใบหน้าหวานใช้เวลาคิดไตร่ตรองอยู่นานจนทำให้ทุกคนในห้องต่างพากันลุ้นไปด้วยว่าจะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง เพราะเป็นคำถามที่ค่อนข้างตอบยากทีเดียว“ทั้งสองคนจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาดูแลพวกเราที่บนตำหนักแต่จะมีเจ้านายคนละคนกัน เจ้าที่ตอบเพราะว่าข้าเป็นคนสั่งจงมาทำงานกับข้า ส่วนเจ้าอีกคนข้าจะให้มาคอยดูแลรับใช้รัชทายาท ส่วนเรื่องตำแหน่ง...ข้าจะตัดสินใจอีกครั้ง บอกชื่อมาสิ”“ทำไมกระรอกน้อยถึงให้ค
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!“เข้ามา”“ท่านพี่ พวกเราจะกลับเขตปกครองของพวกเราสองคนแล้ว เลิกจะมาลาพะยะค่ะ” คลาสบอกพลางทำความเคารพ“ใช่พะยะค่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราขอตัว” ครอสบอกแล้วทำความเคารพเช่นกัน“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าได้คำตอบของหัวใจจากคนที่ตนเองรักแล้วจะไปเริ่มต้นใหม่หรอกหรือ” เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นมาแล้วเงยหน้ามองฝาแฝดด้วยสายตาเรียบนิ่ง“พะยะค่ะ ข้าได้คำตอบจากคนที่ข้ารักแล้ว / พะยะค่ะ ข้าได้สิ่งนั้นมาแล้ว” ทั้งสองตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เจ้าชายทั้งสามต่างพยักหน้าให้กันแล้วต่างคนต่างไปทำหน้าที่ของตนเองต่อไป ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนหลังวังเขาจะไม่รับรู้ แต่มันเป็นเรื่องที่ไวท์จะต้องพูดและตัดสินใจด้วยตนเองจากนี้ไปทั้งคลาส ครอส น่าจะเริ่มเข้าใจและตัดใจได้ในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่ไวท์พูดค่อนข้างเด็ดขาดและชัดเจน ไม่มีช่องว่างให้คนอื่นแทรกเข้าไปได้เลยตอนที่ได้ยินคำพูดออกจา