บทที่ 5 เกลียดกันเท่าไร ก็ยิ่งหนีไปไม่ได้
"ช่วงนี้นายท่านช่างอ่อนโยนกับซูปี้เหลือเกิน" เสียงสาวใช้ดังแว่วเข้าหูลี่ถังแต่หญิงสาวก็มิได้เอ่ยอะไร
"พวกเราต้องทำดี ๆ กับนางเอาไว้นะ นายท่านรักใคร่เอ็นดูนางเช่นนี้ อีกไม่นานต้องแต่งนางแล้วยกให้เป็นฮูหยินแน่ ๆ วาสนานี่นะแข่งกันไม่ได้จริง ๆ" มิใช่ว่าไม่เห็นลี่ถังอยู่ตรงนั้น แต่สาวใช้ทั้งสองเลือกจะคุยและเหลือบมองมาที่นางอย่างตั้งใจ
เดิมทีตอนซูปี้ท้องโตขึ้นมา พวกนางก็ไม่รู้ว่าผู้ใดคือบิดาของเด็กในท้องเพราะซูปี้ไม่มีคนรัก อีกทั้งนายท่านและพ่อบ้านก็มิได้ตำหนิใด ๆ ที่ซูปี้ทำเรื่องน่าอับอายภายในจวน แต่ทุกสิ่งไขกระจ่างหลังจากที่นายท่านฟื้นจากโรดระบาด แท้จริงแล้วเด็กในท้องของซูปี้เป็นสายเลือดคนสกุลมู่นั่นเอง
ทั้งสองสาวได้รับหน้าที่ยกอาหารมาที่เรือนรับรองนี้ หากไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้แขกอย่างนางฟัง จะพูดให้ใครได้ยินได้อีก
ลี่ถังเม้มปากแน่น พลางก้มหน้ากินอาหารตรงหน้า หัวใจของนางราวกับถูกบีบจนแตกสลาย นางไม่เข้าใจว่ามู่เฉินโกรธเกลียดนางเพราะเหตุใด ถึงต้องขังนางเอาไว้ให้เจอกับเรื่องเช่นนี้
ตอนแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายขังนางเอาไว้เพราะกลัวว่านางจะกลับไปพูดเรื่องถอนหมั้น กลัวจะทำให้แผนของอีกฝ่ายแตก นางได้ข่าวพ่อบ้านคุยกับคนในเรือนว่านายท่านยังไม่พร้อมจะบอกเรื่องซูปี้ออกไป เพราะจะรอพาหลานไปให้พวกปู่ ๆ ย่า ๆ อุ้มทันที พอเป็นอย่างนั้นการรับซูปี้เข้าตระกูลก็จะง่ายขึ้น
แต่ปัญหากลับเกิดเพราะนางมาที่นี่ ลี่ถังกินข้าวเคล้าน้ำตา นางไม่น่ามาเลยจริง ๆ น่าจะเชื่อคำเตือนของบิดาไม่ให้เดินทางมา แต่ท่านก็ไม่ได้ห้ามนางจริงจังนัก
และทั้ง ๆ ที่นางพยายามบอกกับตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่าจะไม่รักคนเลวมากรักนั่นอีก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำดีกับสตรีผู้นั้น น้ำตาก็ไหลออกมาไม่ยอมหยุด
“ข้าต้องการออกไปซื้อของ” นางบอกกับคนงานที่เฝ้าหน้าจวน แต่ทั้งคู่กลับฟังนิ่ง สักพักเจ้าตัวก็หันมามองที่นางก่อนจะถอนหายใจ
“แม่นาง หากต้องการสิ่งใด บอกพวกเราเถิด ข้าจะไปซื้อมาให้เอง” แม้คำพูดจะดูดีแต่ท่าทางกลับดูรำคาญราวกับคิดว่านางเรื่องมาก ลี่ถังคิด นางก็ไม่อยากเรื่องมากเช่นกันถ้าอีกฝ่ายไม่ขังนางไว้เช่นนี้ นางก็คงไม่มาพยายามทำอะไรแบบนี้
“ข้าอยากเลือกด้วยตัวเอง” ลี่ถังยืนกรานเจตนาที่จะออกไป แต่คนงานกลับยังยืนยันคำเดิม
“จะเลือกอะไรกัน ของก็มีอยู่ไม่กี่แบบเท่านั้นแหละ บอกข้ามาข้าจะไปซื้อให้”
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” ที่จริงนางทำเช่นนี้เพราะต้องการจะตรวจสอบบางอย่าง และนางก็มั่นใจว่ายามนี้นางถูกขังอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่นางจะไม่ยอมเป็นตัวตลกให้คนงานและสาวใช้ของจวนนี้หัวเราะหรอก
คืนวันเดียวกันนั้น ลี่ถังฉวยโอกาสเมื่อคนงานเผลอ ยามที่ออกไปตักน้ำที่หลังจวนนางเคยเห็นว่ามีคนตากผ้าเอาไว้ หญิงสาวคว้าเสื้อผ้าของสาวใช้มาเปลี่ยน ก่อนจะใช้ผ้าบาง ๆ คลุมศรีษะเอาไว้
ลี่ถังเดินออกมาจากด้านหลังของเรือนรับรอง นางพยายามเดินออกไปอย่างมั่นใจ พยายามทำตัวกลมกลืนกับสาวใช้ที่เดินผ่านไปมาทั่วทั้งเรือนแต่ก็ไม่รอด
“เจ้าเป็นใคร นายท่านไม่ให้ใครเข้าออกที่นี่” คำที่ได้ยินทำให้หัวใจกระตุกตกวูบไปที่ตาตุ่ม
ลี่ถังยื่นนิ่ง นางลืมนึกไปว่า ที่เรือนแห่งนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่อาศัยอยู่ สาวใช้ที่เข้าออกเรือนรับรองก็มีแค่ไม่กี่คน พวกคนงานย่อมจำได้ว่านางไม่ใช่หนึ่งในนั้น
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” เมื่อถามครั้งแรกไม่ได้คำตอบ คนงานก็ตวาดเสียงดังขึ้น ลี่ถังไม่สนใจ หวังจะเดินต่อไป อีกนิดก็ถึงประตูใหญ่ของจวน เมื่อถึงตรงนั้นนางหมายจะวิ่งหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ข้อมือของนางก็ถูกคว้าเอาไว้
“ปล่อยข้า” หญิงสาวดิ้นรนสุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากแรงบีบที่รัดแน่นขึ้นทุกทีได้
“เจ้าจะไปไหน” เป็นมู่เฉินที่เข้ามาคว้านางเอาไว้ ชายหนุ่มดึงหญิงสาวกลับไปที่เรือนรับรอง
นางคิดว่าหากตัดใจจากเขาได้ ทุกอย่างก็คงจบลงแล้วจริง ๆ แต่ทำไม
ทำไมเขาถึงยังคงยืนอยู่ตรงหน้า
ทำไมเขาถึงยังจับนางขังไว้ในสถานที่แห่งนี้
และทำไม… หัวใจของนางถึงยังเจ็บปวดเมื่อสบตากับเขา
“เจ้าคิดจะเกลียดข้าไปจนตายเลยหรือไม่” เขาถามเสียงเย็นชา สายตาไหววูบเล็กน้อยขณะมองนางที่ยืนตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออดกลั้นอะไรอยู่
“ใช่” นางตอบโดยไม่ลังเล “และข้าหวังว่าท่านจะทำแบบเดียวกัน”
เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ทว่าในดวงตามิได้มีรอยยิ้ม “ข้าเกลียดเจ้าได้แน่นอน แต่ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”
“ท่านจะกักขังข้าทำไม” นางตะโกนออกมาอย่างอดไม่ไหว “ท่านมีทุกอย่างแล้ว ภรรยา ลูก ฐานะ ท่านจะต้องการอะไรจากข้าอีก“
“เจ้า”
เขาตอบเพียงคำเดียว
นางชะงัก ดวงตาสั่นไหว ก่อนจะหัวเราะเยาะตนเอง “ท่านต้องการข้า ในฐานะอะไร ในฐานะอดีตคู่หมั้นที่ท่านทอดทิ้ง หรือในฐานะเชลยที่ต้องอยู่ให้ท่านเห็นทุกวันเพื่อให้ท่านพอใจ”
เขาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะคว้าข้อมือนางแน่น
“หากเจ้าหนีไปจากข้าแล้วจะไปที่ไหน เจ้าจะทำอะไรได้ เจ้าคิดว่าคนในเมืองหลวงจะต้อนรับเจ้าหรือ อย่าลืมว่าเจ้าคือคู่หมั้นของข้า หากข้าถอนหมั้นเจ้าจะมีบุรุษใดแต่งเจ้าอีกหรือ”
นางสะบัดมือออกสุดแรงด้วยความโกรธ “อย่ามาดูถูกข้า!”
“ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง
ดวงตาของเขาดูว่างเปล่า ทว่ากลับเต็มไปด้วยความดื้อรั้นที่นางรู้ดีว่าต่อให้ตะโกนใส่หน้าเขาอีกกี่ครั้ง ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรได้
นางกัดฟันแน่น ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาต้องรั้งนางไว้เช่นนี้ เหตุใดยิ่งเกลียดกันเท่าไร พวกเขาถึงยิ่งหนีจากกันไปไม่ได้…
มู่เฉินยืนมองแววตาของสตรีตรงหน้า มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง หญิงสาวที่เคยอ่อนโยน อดทน เฝ้ารอเขามาตลอดสามปี กลับยืนอยู่ต่อหน้าเขาด้วยแววตาเย็นชาไร้เยื่อใย นางพูดราวกับว่าเขาไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย
กำปั้นของเขากำแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
นางเป็นเพียงบุตรสาวของคนขายหมูคนหนึ่งแท้ ๆ แต่กลับกล้าตัดรอนเขาเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็นนางเองที่หักหลังเขาก่อน
ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยมีใครกล้าหันหลังให้เขาแบบนี้มาก่อน
ลึก ๆ ในใจเขาก็ยังอยากจะแต่งนางเป็นฮูหยินเอก
มู่เฉินหรี่ตาลง
ไม่
นางเป็นของเขา นางเป็นคู่หมั้นของเขา!
ต่อให้นางจะเกลียดเขาแค่ไหน ต่อให้พูดว่าไม่ต้องการพบกันอีก ต่อให้ใจนางไม่มีเขาแล้ว แต่สิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้น
นางไม่มีสิทธิ์ตัดรอนเขา มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะเป็นคนตัดสินว่านางสมควรอยู่หรือไป!
เขาไม่แม้แต่จะเหลือบตามองนาง ทำเพียงแค่ลากนางกลับมาก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่ไยดี
นับจากวันนั้น การกักขังที่เคยเป็นเพียงการรั้งตัวเอาไว้ กลายเป็นการจองจำโดยสมบูรณ์ ทุกค่ำคืนประตูหน้าเรือนรับรองจะถูกปิดด้วยกุญแจอย่างแน่นหนาราวกับหญิงสาวเป็นนักโทษที่ต้องขังเอาไว้
ลี่ถังมองแสงจันทร์ลอดผ่านช่องหน้าต่างแคบ ๆ ในห้องนางที่ถูกตอกไม้ปิดเอาไว้ไม่ให้นางหนี ทุกสิ่งอย่างยิ่งตอกย้ำกับนาง ว่านางจะไม่มีทางก้าวเท้าออกจากเรือนรับรองนี้ไปได้ หากเจ้าของจวนไม่คิดจะปล่อย
"ขังข้าเช่นนี้ราวกับนางเป็นนักโทษ..." หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เสียงแผ่วเบาจนแทบกลืนไปกับความเงียบในเรือนรับรอง
เพราะเหตุใดกัน นางมิได้อ้อนวอนร้องขอให้เขาเลือกระหว่างนางกับแม่ของลูกเขาด้วยซ้ำ ศักดิ์ศรีและหน้าตาของเขามันมากมายจนต้องกักขังนางไว้เช่นนี้เลยหรือ
เช้าวันถัดมาหญิงสาวยังคงพยายามที่จะออกไป เมื่อคืนนางนั่งตากลมอยู่ค่อนคืนจนได้ไข้ แม้จะไม่มากแต่ก็ทำให้ใบหน้าดูซีดเซียวกว่าปกติ
“นางไปไหนเสียล่ะ หากนางหายไปพวกเราจะโดนลงโทษนะ” เสียงของสาวใช้ที่เอาอาหารเข้ามาให้ทุกวันดังขึ้น และเมื่อเห็นว่าแม่นางลี่ถังที่อาศัยอยู่ในเรือนยังคงนอนอยู่ที่เตียงนางก็เร่งเข้าไปดู
“แม่นาง แม่นางลี่ถัง” ไม่มีเสียงตอบรับจากลี่ถัง
ตอนพิเศษ 5หลายปีผ่านไป อี้เจ๋อและอี้หว่านเติบโตขึ้นในบ้านที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น ขณะที่อี้เจ๋อเริ่มโตเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสงบเสงี่ยมและนิสัยอ่อนโยนเหมือนมู่เฉิน บุตรสาวของพวกเขา อี้หว่าน กลับมีลักษณะนิสัยที่คล้ายคลึงกับลี่ถังมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งรูปลักษณ์และอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความร่าเริงและความดื้อรั้นจนหลายครั้งทำให้ทั้งบ้านต้องขำขันอี้เจ๋อเติบโตมาในแบบที่เป็นเด็กชายที่ค่อนข้างจะเงียบสงบ มีความรับผิดชอบและมักจะอยู่เคียงข้างพ่อแม่เสมอ เขามีท่าทางที่สุภาพและนิ่งสงบเหมือนกับมู่เฉิน ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็ทำมันด้วยความรอบคอบและมุ่งมั่น ส่วนอี้หว่านเอง แม้จะยังเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ แต่นางกลับมีพลังและความกระตือรือร้นที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง เรียกได้ว่านางเปรียบเสมือนมารดาของนางในทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านความดื้อรั้นและความช่างสงสัยที่ไม่ยอมหยุดถามในวันหนึ่ง ขณะที่ครอบครัวนั่งทานข้าวมื้อเย็นกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร อี้หว่านที่นั่งข้างๆ มารดาเริ่มถามคำถามที่ทำให้ทุกคนหัวเราะ“ท่านแม่เจ้าคะ ทำไมผมของพ่อถึงดูนุ่มและเงางามมาก แต่ของแม่ทำไมมันฟูๆ หน่อยเจ้าคะ” อี้หว่านถามด้วยท่าทางใสซื่อและซุกซนมู่เฉินที
ตอนพิเศษ 4 มู่เฉินและลี่ถังนั่งอยู่บนเตียงของพวกเขาเช่นทุกคืนหลังจากส่งบุตรชายเข้านอน มือของมู่เฉินยังกอดเอวของภรรยาคนรักไว้ ลี่ถังเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสามีด้วยสายตาที่มีความหมาย“ท่าน… ข้าอยากบอกอะไรบางอย่าง” ลี่ถังพูดเสียงเบา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกังวลมู่เฉินหันไปมองภรรยาด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”ลี่ถังสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ข้า… ข้าอาจจะตั้งท้องอีกครั้ง”มู่เฉินนิ่งไปเล็กน้อย เขามองใบหน้าของลี่ถังด้วยความทึ่งและแปลกใจ ก่อนที่รอยยิ้มจะเริ่มปรากฏที่มุมปากเขา “จริงหรือ นี่เป็นข่าวดีจริงๆ หรือเจ้าแค่แกล้งข้า”ลี่ถังหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า “ข่าวดีจริงๆ ข้าไปหาหมอมาหมาดๆ และเขาบอกว่า ข้ากำลังตั้งท้อง”มู่เฉินยิ้มกว้างขึ้น เขาค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือของลี่ถังและบีบเบาๆ “ข้าดีใจมาก ขอบคุณที่ทำให้บ้านของเรามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความสุขแล้ว”ลี่ถังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก “ท่านเองก็ดีใจใช่ไหม”มู่เฉินพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “แน่นอน ข้าดีใจมากจริงๆ”ลี่ถังยิ้มและเบียดตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น “บางที… หากค
ตอนพิเศษ 3ค่ำคืนที่เงียบสงบ อี้เจ๋อหลับสนิทอยู่บนเตียงเล็กของเขา ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกถึงความสุขสบายของเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นมาในบ้านที่เต็มไปด้วยความรักมู่เฉินเดินเข้ามาในห้องของลูกชาย มองดูใบหน้าของอี้เจ๋อด้วยสายตาอ่อนโยน เขาค่อยๆ ดึงผ้าห่มให้คลุมถึงไหล่ของเด็กชาย ก่อนจะลูบศีรษะเล็กๆ อย่างอ่อนโยน "ฝันดีนะ ลูกพ่อ"ลี่ถังที่ยืนพิงขอบประตูมองดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้มจางๆ "ทุกคืนท่านต้องเข้ามาดูลูกแบบนี้ตลอดเลยหรือ”มู่เฉินหันไปมองภรรยา พลางพยักหน้าเบาๆ "อี้เจ๋อยังเด็ก ข้าอยากให้แน่ใจว่าเขาหลับสบายดี"ลี่ถังเดินเข้ามาใกล้ มองดูอี้เจ๋อที่หลับสนิท "เด็กคนนี้โตขึ้นทุกวัน ข้าก็เริ่มคิดว่าเขาเหมือนท่านมากขึ้นเรื่อยๆ"มู่เฉินหัวเราะเบาๆ "จริงหรือ ข้าว่าเขามีอะไรที่เหมือนเจ้ามากกว่านะ โดยเฉพาะเวลาทำหน้าขรึมแบบนั้น"ลี่ถังแกล้งทำหน้าดุใส่สามี ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ "บางทีเราอาจจะต้องมีลูกอีกสักคน คราวนี้ข้าอยากได้ลูกสาวบ้าง"ลี่ถังหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะผลักไหล่สามีเบาๆ "พูดอะไรน่ะ อี้เจ๋อยังเล็กอยู่เลยนะ"มู่เฉินยิ้มกว้างขึ้น "ข้าแค่พูดเผื่ออนาคตน่ะ ใครจะไปรู้ บางทีบ้านของเราอาจจ
ตอนพิเศษ 2“ ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เมื่อเช้าที่ป้าที่ร้านขายอาหารถามหมายถึงอะไรหรือขอรับ” เด็กชายที่กำลังเคี้ยวขนมเอ่ยถาม“เรื่องอะไรหรือ” “เขาบอกว่าเห็นท่านทั้งสองตั้งแต่ท่านพ่อยังตามท่านแม่ต้อย ๆ มันหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ” ลี่ถังหัวเราะ“อืม... ยามนั้นท่านพ่อของเจ้าเกี้ยวแม่นะ รู้จักคำนี้ไหม” “เกี้ยวหรือขอรับ ข้ารู้จัก พี่ชายที่ร้านของท่านปู่เกี้ยวพี่เลี้ยงของข้า เดินตามเวลาที่นางอยู่กับข้าตลอด” คำของเด็กน้อยทำเอาสาวใช้ที่เป็นพี่เลี้ยงหน้าแดง“พ่อเจ้าก็ตามแม่เช่นนั้นล่ะ” “จริงหรือขอรับ ตามอย่างไรบ้างขอรับ เกี้ยวอย่างไร” ดวงตาเด็กน้อยเป็นประกายจนลี่ถังยิ้มขำ ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ขยับเร็วจนเกือบตกจากเก้าอี้ ทั้งลี่ถังและสาวใช้ที่ดูแลเอื้อมมือออกไปรับแทบไม่ทันแต่สุดท้ายก็เป็นมู่เฉินที่จับตัวของบุตรชายเอาไว้แล้วอุ้มไปนั่งตัก“อี้เจ๋อ ระวังล้มสิ” ลี่ถังดุบุตรชายของตน “ข้าไม่ล้มหรอกขอรับ” เด็กน้อยหัวเราะร่าก่อนจะขยับตัวในท่าที่สบายขึ้นบนตักของบิดา ถึงกระนั้นสายตาก็ยังคงมองไปยังจานขนมบนโต๊ะลี่ถังหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบขนมชิ้นหนึ่งส่งให้บุตรชาย “ค่อย ๆ กิน อย่าให้สำลักล่ะ” ห
ตอนพิเศษ 1วันเวลาผ่านไปคุณชายซูตัวน้อยก็เติบโตขึ้นมาเป็นคุณชายที่ช่างพูดและน่าเอ็นดู ลี่ถังและมู่เฉินมักจะใช้เวลากับบุตรชายของตนในสวนดอกไม้กลางจวนตระกูลลี่พวกเขายังคงดูและกิจการเองแม้ว่าจะใหญ่โตขึ้นมาก บัดนี้ลี่เจียงได้เป็นคหบดีที่มีคนนับหน้าถือตา ตระกูลลี่ก็ยิ่งใหญ่มากขึ้น แม้จะยังไม่อาจเทียบตระกูลมู่ได้ แต่ก็ใหญ่โตในแบบของตน คงเป็นเพราะคนตระกูลลี่ทำกิจการไม่ได้หวังอำนาจและยศศักดิ์แต่แรกอยู่แล้วนี่จึงไม่ได้เป็นเป้าหมายสำคัญพวกเขาแค่อยากให้ลูกค้าและคู่ค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เงินในมือของคนเหล่านั้นจะหาซื้อได้และหากถามว่าสิ่งใดที่เรียกได้ว่าสำคัญกับคนตระกูลลี่มากที่สุดทั่วทั้งเมืองหลวงก็คงจะบอกได้ว่าคือคุณชายน้อยซูแม้จะอายุเพียงห้าขวบ แต่กลับติดตามบิดามารดาออกไปส่งของที่ตลาดในยามเช้าในบางวัน คนทั่วทั้งตลาดรู้จักชายหนุ่มตัวน้อยเป็นอย่างดี หลังจากกลับมาเมื่อกินข้าวเที่ยงกับครอบครัว ซึ่งในบางครั้งก็จะมีสองปู่ย่าจากตระกูลมู่มาร่วมโต๊ะอาหาร คุณชายตัวน้อยก็จะออกมาวิ่งเล่นที่สวนกลางจวน ที่ตาของเขาอย่างลี่เจียงตกแต่งใหม่เป็นพิเศษเพื่อหลานชายเสียงหัวเราะของเด็กชายดังก้องไปทั่วทั้งส
บทที่ 32 ครอบครัวของเรา "ของพวกนั้นวางไว้ตรงนั้น ระวังอย่าให้แตกเสียหายล่ะ"เสียงของลี่ถังที่คอยกำกับคนงานให้ขนของขึ้นเกวียนเพื่อไปส่ง ทำให้ทุกคนในจวนต่างกังวลตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หญิงสาวไม่เคยยอมหยุดพักจากงานเลย แม้ท้องของนางจะโตขึ้นทุกวัน จนยามนี้ใกล้จะครบกำหนดคลอดแล้ว แต่ทุกวันลี่ถังก็ยังออกมาจัดการกิจการอยู่เสมอ ๆ "ลี่ถัง เจ้าควรเข้าไปพักได้แล้ว แดดจ้าเช่นนี้หากเป็นลมไปจะทำเช่นใดกัน" มู่เฉินเอ่ยบอกกับภรรยา แม้จะดูเหมือนดุแต่ที่เขาพูดก็เพราะเป็นห่วง "ท่านหมอบอกว่าเดินมาก ๆ จะได้คลอดง่าย อีกอย่างข้าไม่ร้อน แล้วก็ไม่เหนื่อยด้วย" หญิงสาวตอบอย่างดื้อรั้นจนมู่เฉินอยากจะอุ้มนางเข้าไปเก็บในเรือน"กล่องนั่นที่เพิ่งมา เอาไปไว้ที่เรือนด้านหลัง..." ยังไม่ทันที่มู่เฉินจะได้ทำตามความคิด หญิงสาวก็หยุดพูดแลวขยับมือไปกุมท้องของตน“อึก” ลี่ถังรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่ไหลทะลักออกมาจนขาทั้งสองของนางเปียกไปหมดหัวใจของหญิงสาวเต้นแรงขึ้น ลี่ถังหันไปสบตากับมู่เฉินที่มองนางด้วยสีหน้าตื่นตระหนกไม่ต่างกัน"น้ำคร่ำแตกแล้ว" ลี่ถังบอกกับสามี "อะไรนะ เจ้า...แปลว่าเจ้าจะคลอดหรือ" มู่เฉินตาเบิกกว้างอ