สตรีดอกบัวขาว
เมื่อทุกสิ่งกระจ่างผู้คนต่างแยกย้ายไปทำธุระของตน จินเยว่รีบสะบัดหน้าหนีความอับอายไปขึ้นรถม้ากลับบ้าน ครั้งนี้เจียอีเอาคืนนางได้เจ็บแสบนัก ตอนที่ลู่จิวเล่าให้ฟังว่าเจียอีนั้นร้ายเพียงใดจินเยว่ยังพอคิดว่าตนเองน่าจะเอาเจียอีอยู่ เหตุการณ์วันนี้ทำให้จินเยว่รู้แล้วว่านางประเมินเจียอีต่ำเกินไป นางแสบสันกว่าที่จินเยว่เคยคิดเอาไว้หลายเท่านัก
ตั้ง 300 ตำลึงเงินเชียวนะ 300 ตำลึงเงิน! เรื่องนี้ต้องเหยียบไว้ให้มิด เพราะนางให้สาวใช้ไปฉกฉวยเงินมาจากคลังสมบัติโม่เจียวลู่ หากบิดาของนางทราบเรื่องเขาคงไม่ยอมง่าย ๆ แน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จงให้เขารู้เพียงว่า 300 ตำลึงเงินที่นางเสียไปวันนี้ คือเงินของเจียอีฝากมาติดสินบนหล่างคุน
เจียอีกับหล่างคุนยังมีเรื่องต้องหารือด้วยกันอีก ดังนั้นทั้งสองจึงไปนั่งดื่มน้ำชาในโรงเตี๊ยมเพื่อจะคุยเรื่องการจัดส่งสินค้า หล่างคุนแนะนำวิธีการข้อปฏิบัติพลางยกน้ำชาขึ้นจิบแก้กระหาย
"ทุก 35 วันเรือจะเข้าท่าเรือแล้วจอดรอรับของเพียง 3 วัน ของที่รับไปขายไม่ได้มีแค่ของ ๆ เจ้า เจ้าต้องจัดส่งสินค้ามาขึ้นเรือให้ทัน ให้จัดเตรียมเหม่งสุ้นมาขึ้นเรืออย่างน้อยให้ได้น้ำหนัก 2000 ชั่ง ข้ารับเหม่งสุ้น
ของเจ้าไปขายในราคาสี่เท่าคิดจากราคาที่ร้านค้าขายไม่ใช่รับจากราคาที่เจ้าส่งร้านค้า"
"หา! รับจากราคาที่ร้านค้าขาย 2000 ชั่ง"
"ถูกต้อง"
"โอ้ แม่เจ้า"
เจียอีกางนิ้วมือออกมาคำนวณ 2000 ชั่ง ร้านค้าขายอยู่ที่ชั่งละ 7 อีแปะ สี่เท่าก็ 28 อีแปะ เช่นนั้นทุก 35 วันนางจะทำเงินได้ 56 ตำลึงเงิน
หึ หึ...
เดี๋ยวก่อนนะ ค่าเงินในสมัยนี้มันเยอะปานนี้เชียวหรือ เช่นนั้น 300 ตำลึงเงินที่ได้มาจากการรีดไถจินเยว่ก็ทำให้นางเป็นคนรวยได้แล้วสิ ม้าหนึ่งตัวราว 30 ตำลึงเงิน ที่ม้ามีราคาแพงเพราะม้าถูกนำเข้าใช้ในสนามรบ เกวียนไม่น่าจะเกิน 2 ตำลึงเงิน รถม้าราว 5 ตำลึงเงิน ต้องเอาไปซื้อที่ดินด้วยสิถึงจะถูก เมืองหลวงของประเทศจีนในยุคปัจจุบันห่างจากนี่มากน้อยเท่าใดกันหนอนางจะกว้านซื้อให้หมด...เจียอีคิดแล้วก็หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนนางร้ายในละคร ทำให้หล่างคุนตกตะลึงกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของนางจนหน้าเหวอ
"คริ ๆ ๆ ๆ นี่ข้ากำลังเป็นคนรวยแล้วหรือนี่"
ทว่าไม่นานเสียงหัวเราะของเจียอีก็หายไป ใบหน้างามแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดแทน เนื่องจากนางเริ่มคิดได้ว่า...
"ไม่ได้ ๆ ท่านแม่ลู่เสียนต้องไม่อนุญาตให้ข้ารวยแน่ ๆ หากนางรู้ว่า 300 ตำลึงเงินนี้ข้าได้มาอย่างไร เฮ้อ...ท่านแม่ลู่เสียนนางดีเกินไป เจ้าของร่างนี้ก็ดีเกินไป ส่วนตัวข้าก็เหลี่ยมจัดจนเกือบจะชั่ว มิหนำซ้ำวันนี้ข้ายังทำตัวเหมือนพวกมิจฉาชีพ โอ้ย หาความพอดีไม่ได้สักอย่าง ปวดหัว ๆ"
"อะ เอ่อ มะ แม่นางเจียอีเจ้าบ่นอะไรของเจ้า หรือว่าเจ้าจะไม่สบาย"
"อะ เอ๋ อ้อ ๆ ข้าแค่คิดในใจแบบมีเสียงเจ้าค่ะ เถ้าแก่อย่าถือสา"
หลินเจียอีใช้มือกุมขมับ เอาเป็นว่าคิดไปทีละเรื่องก่อนก็แล้วกัน ดังนั้นเอาเรื่องเหม่งสุ้นก่อน ถ้าเช่นนั้นนางคงต้องชำต้นไผ่ปลูกไผ่ไว้ใช้เอง แล้วส่วนหนึ่งรับซื้อจากชาวบ้าน ทำเช่นนี้ดูท่าจะเป็นไปได้ แต่หน่อไม้ก็ใช่ว่าจะงอกออกมาจากดินได้ทุกวัน โชคยังดีที่ป่าผืนนี้กว้างใหญ่เหลือคนานับ สองในสี่ส่วนของฝืนป่ายังเต็มไปด้วยต้นไผ่ นอกจากจะรับซื้อจากชาวบ้านในหมู่บ้านนางก็ยังจะต้องไปติดป้ายประกาศรับซื้อจากชาวบ้านหมู่บ้านใกล้เคียงอีก หลินเจียอีคิดคำนวนแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"ว่าอย่างไรเล่าแม่นางเจียอี เกินกำลังเจ้าไปหรือไม่"
"ได้เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าข้าทำได้"
กลับถึงบ้านเจียอีก็จัดการฝัง 300 ตำลึงเงินลงดินก่อน จุดที่นางฝังอยู่ห่างจากบ่อน้ำไปห้าก้าวนับจากทิศตะวันตก ทำเช่นนี้จะจดจำได้ง่ายดี หากพร้อมเมื่อไรนางถึงจะเอ่ยปากบอกเล่าที่มาของเงินจำนวนนี้ให้ลู่เสียนและคนอื่น ๆ ฟังในภายหลัง วันรุ่งขึ้นเรือจะออกจากท่า เจียอีได้ขอหล่างคุนรับเหม่งสุ้นไปขายให้ก่อนจำนวน 1000 ชั่ง เป็นเหม่งสุ้นที่นางทำเก็บไว้ในห้องเก็บของเพื่อกระจายสู่ร้านค้า ในห้องเก็บของยังมีเหม่งสุ้นที่นางสงวนไว้ให้ร้านขายของแห้งของเฟิ้งหรั่นอยู่เพื่อให้ไม่เป็นการเสียคู่ค้าที่ดีไป เท่ากับว่าตอนนี้เจียอีสามารถกระจายสินค้าไปได้สองทาง คือร้านขายของแห้งของเฟิ้งหรั่นกับส่งขึ้นเรือให้หล่างคุนขายทางใต้
ณ บ้านหยวน
บนโต๊ะอาหาร มื้อเช้าถูกจัดวางอย่างล้นเหลือ มีทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน จิวลู่กำลังคีบเหม่งสุ้นที่แม่ครัวปรุงมาเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย อู๋ห่างก็เช่นกัน ส่วนจางหย่งค่อย ๆ ทานอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
"ท่านพี่ แม่ครัวบอกว่าสิ่งนี้ท่านเป็นคนนำมาให้แม่ครัวปรุงอาหาร ท่านได้มาจากที่ใดเจ้าคะอร่อยยิ่งนัก"
"ของสิ่งนี้ท่านยายของแม่นางเจียอีให้มา"
พรวด!!!
ลู่จิวได้ยินชื่อเจียอีก็สำลักเหม่งสุ้นออกมาจากปากทันที นางรีบคว้าน้ำมาดื่ม สองมือทุบอกตัวเองเบา ๆ ไล่อาหารที่กลืนไปแล้วให้ลงกระเพาะไว ๆ จะได้หายใจคล่องขึ้น หยวนอู๋ห่างเห็นอาการลูกสาวไม่ค่อยจะดีจึงรีบเข้ามาลูบหลังปากก็ถามไถ่อย่างเป็นห่วงเป็นใย
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้างจิวเอ๋อร์ของพ่อ"
"ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ท่านพี่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ ของสิ่งนี้ได้มาจากท่านยายของเจียอี ท่านพี่ไปเอามาได้อย่างไร เอามาตอนไหน! ตอนไหนเจ้าคะ! ไปเจอกับมันตอนไหน!"
นางรีบยิงคำถามจนพูดแทบไม่เป็นคำ จางหย่งมองหน้าน้องสาวอย่างเบื่อหน่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระยะหลังมานี้นางทำตัวเหมือนเป็นแม่คนที่สองของเขาเข้าไปทุกที ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็เอาแต่ตามติด ถ้าไม่ออกจากบ้านก่อนนางตื่นนอนนางก็จะคอยติดตามเขาไปทุกที่ หากวันไหนจางหย่งไม่ได้ออกไปไหน ที่ที่เขาอยู่แล้วสบายใจที่สุดเห็นเพียงจะมีแต่ห้องอ่านตำรา
"ท่านพี่ ข้าถามท่านพี่นะเจ้าคะ"
"เมื่อสองวันก่อนข้าให้นางติดรถม้ากลับบ้าน ท่านยายหวังจึงให้เหม่งสุ้นนี้มาเป็นการตอบแทนน้ำใจ"
"ท่านพี่!!!"
ก่อนที่ลู่จิวจะอ้าปากพูดประโยคต่อไปสาวใช้ก็นำสำลีมาวางไว้ข้าง ๆ สองพ่อลูก หยวนอู๋ห่างและจางหย่งหยิบสำลีมายัดเข้าไปในรูหู รอให้นางสงบจิตสงบใจเสียก่อน พอมองเห็นว่าริมฝีปากนางได้หุบลงสนิทกันเมื่อนั้นทั้งสองจึงเอาสำลีออก
"ลูกสาว ใจเย็นก่อนลูกสาวคนสวยของพ่อ ท่านพี่ของเจ้าก็แค่มีน้ำใจไปส่งแม่นางเจียอี เจ้าจะปล่อยพลังเสียงใส่พ่อกับพี่เจ้าไปใย"
"ก็ข้าไม่ชอบนางนี่เจ้าคะ ถ้าท่านพี่เกิดชอบนางขึ้นมาแล้ว...แล้ว"
"แล้วอย่างไร" จางหย่งเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ
"แล้วข้าก็ไม่อยากได้นางเป็นพี่สะใภ้นะสิ"
"พี่สะภ้งพี่สะใภ้อะไรเล่า พ่อได้หมายตาหญิงสาวที่จะมาเป็นพี่สะใภ้เจ้าไว้แล้ว เจ้าอย่าได้คิดไปไกล คิดไกลไปพ่อก็ปวดหูเปล่า ๆ"
"ท่านพ่อ!"
นางทำหน้าเง้างอ จับตะเกียบขึ้นมาแล้ววางกระแทกลงที่ขอบชามข้าวดังเดิม ทำท่าทางกระฟึดกระฟัดเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
"ว่าแต่ท่านพ่อหมายตาหญิงใดให้ท่านพี่หรือเจ้าคะ ข้าอยากรู้ว่ารายชื่อที่ท่านพ่อมีในใจจะตรงกับข้าหรือไม่ แง้ม ๆ เจ้าค่ะ แง้ม ๆ"
"จะใครได้อีกเล่านอกเสียจากเยว่เอ๋อร์ ทั่วละแวกนี้สตรีเรียบร้อยนิสัยดีมีเพียงเยว่เอ๋อร์คนเดียวที่เหมาะสมกับพี่ชายเจ้า"
รายชื่อภายในใจของอู๋ห่างบังเอิญว่าตรงใจลู่จิวพอดี ลู่จิวพึงพอใจจนยิ้มไม่หุบ ทว่าสีหน้าของจางหย่งกลับนิ่งเฉยไร้สีสัน ไม่ทราบได้ว่ายินดีหรือยินร้ายกันแน่ เขาเพียงแต่นั่งฟังพ่อกับน้องคุยกันเงียบ ๆ มือก็จับตะเกียบคีบอาหารเข้าปากต่อ เคี้ยวแล้วกลืนลงไม่รับรู้รสชาติของอาหารว่าจืดหรือเค็มเปรี้ยวหรือหวาน
"ท่านพี่จินเยว่เป็นสตรีที่แสนดีอันดับหนึ่ง นางเปรียบเสมือนดอกบัวขาว นางดีกับข้าเป็นที่สุด เหมาะสมกับท่านพี่จางหย่งแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อตาแหลมยิ่งนัก"
"ฮ่า ๆ"
เสียงหัวเราะแหบห้าวของอู๋ห่างดังออกไปนอกบ้าน ทำให้ผู้ที่เพิ่งก้าวเท้ามาเยือนรู้ได้ในทันทีว่าสมาชิกในครอบครัวนี้กำลังอยู่ส่วนใดของบ้านหลังใหญ่หลังนี้ จินเยว่มีตะกร้าสิ่งของติดมือมาเช่นเคย นางยกยิ้มแล้วเดินไปทางห้องที่ทุกคนกำลังนั่งทานมื้อเช้า
"อ้าว นั่นท่านพี่จินเยว่นี่"
ลู่จิวชี้นิ้วไปที่หน้าประตูสีหน้าชื่นมื่น พลอยทำให้อู๋ห่างและจางหย่งหันไปมองตามทิศทางนั้น นางสวมอาภรณ์สีอ่อนหวาน มวยผมครึ่งศีรษะปักปิ่นรูปผีเสื้อ จินเยว่วางตะกร้าลงบนโต๊ะแล้วทำท่าคารวะอู๋ห่างอย่างนอบน้อม เปรยตามองบุรุษที่ตนหมายตาเอาไว้อย่างเหนียมอาย จางหย่งมองตอบวูบหนึ่งก็หันไปสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ
"ท่านลุงอู๋ ข้าขออภัยที่มาไม่รู้เวลาเผลอเข้ามารบกวนเวลามื้อเช้าของทุกคนเจ้าค่ะ"
"รบกวนอะไรเล่า มา ๆ นั่งลงข้าง ๆ จางหย่ง นั่ง ๆ"
อู๋ห่างผายมือเชื้อเชิญ จิวลู่รีบกระเถิบตัวเปิดทางให้จินเยว่นั่งใกล้ ๆ จางหย่งพลางมองที่ตะกร้าที่จินเยว่ถือมา
"นั่นท่านพี่จินเยว่นำสิ่งใดติดมือมาเจ้าคะ"
"ข้างในนี้คือขนมกุ้ยฮวาที่เจ้าชอบ รับไปซะสิลู่จิว"
"ว้าว พี่จินเยว่ช่างรู้ใจข้าจริง ๆ"
ลู่จิ่วยิ้มแก้มปริเปิดตะกร้าออกหยิบขนมมาเข้าปาก จินเยว่มองขนมในตะกร้าแล้วก็เกิดกลัวว่าจางหย่งจะไม่ได้ชิมฝีมือทำขนมของนางจึงพูดจาเชิญชวน
"ท่านพี่จางหย่งลองชิมขนมกุ้ยฮวาดูสิเจ้าคะ ข้าเป็นคนทำเอง"
"ข้าทานข้าวไปเยอะแล้ว เกรงว่าหากทานขนมของเจ้าอีกท้องข้าคงรับไม่ไหว"
"อะ อ๋อ เป็นเช่นนั้นเอง"
แม้จะเสียหน้าแต่จินเยว่ก็ฝืนยิ้มให้จางหย่ง อู๋ห่างที่ต้องการจะจับคู่ให้ทั้งสองอยู่แล้วเห็นแบบนั้นจึงรีบพูดปลอบใจจินเยว่กลัวว่านางจะเสียน้ำใจ
"เช่นนั้นเจ้าก็แบ่งไว้ไปทานในห้องตำราเถิดจางหย่ง ช่วงสาย ๆ เจ้าชอบหิวไม่ใช่หรือ เอาไปไว้รองท้อง"
"...ขอรับ"