เส้นทางขึ้นเขาย่อมไม่ใช่เส้นทางที่เดินได้อย่างเรียบง่าย เซียวอี้หยางเดินนำหน้าโดยมีหวังชิงหว่านเดินเคียงข้างไป ส่วนเด็กทั้งสองเดินรั้งท้าย พวกเขามองดูฝีเท้าจังหวะก้าวเดินของพี่สะใภ้ต่างก็ส่งสายตาคำถาม ลี่อินเอนตัวกระซิบ
“พี่สะใภ้ดูจะเหมือนไม่ใช่คนขึ้นเขาครั้งแรก”
ลู่อินพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิ ดูจะคล่องแคล่วยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก”
การเดินเขาไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหวังชิงหว่าน แต่ด้วยร่างกายอันบอบบางตอนนี้ทำให้นางเริ่มปวดเมื่อย แขนขาเริ่มไร้เรี่ยวแรง เซียวอี้หยางหันมาเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายก็พูดขึ้น
“อดทนอีกนิด...ป่าข้างหน้าก็จะเป็นที่ตัดฟืนแล้ว”
สีหน้าของเด็กสาวแดงกร่ำ หันยิ้มตอบ “เจ้าค่ะ”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบอกว่านางกำลังอดทนอย่างหนัก เด็กทั้งสองมองส่งสายตา พลางคิดว่าพวกเขาคงคิดมากเกินไป
เห็นหวังชิงหว่านพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทำให้เซียวอี้หยางรู้สึกชื่นชอบฮูหยินตัวเองขึ้นมากว่าเดิมหลายส่วน เดินมาไม่นานก็ถึงจุดตัดไม้ เซียวอี้หยางวางตระกร้าด้านหลังลงจากนั้นก็จัดแจงหาที่นั่งพักสำหรับวันนี้
หวังชิงหว่านไม่ฝืนร่างกายของตัวเอง ทันทีที่เซียวอี้หยางบอกให้นางนั่งพัก นางก็แทบจะทิ้งตัวล้มลง แต่กลัวเสียหน้าจึงค่อย ๆ นั่งลงนางนวดขาพลางมองดูเด็กทั้งสองเริ่มช่วยกันตัดฝืน พวกเขาดูพวกเขาเริ่มวางตะกร้าลงแล้วตัดฟืน
ลี่อินเด็กสาวตัวน้อยดูจะไม่เชี่ยวชาญเท่าพี่ชายทั้งสอง แต่สีหน้ากลับจริงจังไม่ถือโอกาสเกียจคร้าน ชิงหว่านพักหายเหนื่อยได้สักพักก็เดินไปหาลี่อินแล้วพูดขึ้น
“ข้าอยากจะลองตัดดู”
ลี่อินหันมามองพี่สะใภ้ นางนึกว่าพี่สะใภ้จะแค่อยากมาลองดูอะไรสนุกๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีใจอยากช่วย
“เอามีดมาสิ...” ลี่อินกำมีดแน่นขึ้น แต่ก็ยังยื่นมันออกไป
“พี่สะใภ้ระวังด้วย” ชิงหว่านยิ้มจากนั้นก็ก้าวขาวางท่าทางแล้วเอามีดฟันลงไป ฉึก! ฉึก!
แม้แรงจะมีน้อยแต่จังหวะการฟันนับว่าถูกต้อง ลี่อินจับตามองพี่สะใภ้ด้วยความรู้สึกสับสน ผ่านไปสักพักเซียวอี้หยางหันไปมองภรรยาของตนเองไม่เห็นนางนั่งอยู่ที่เดิมก็เบนสายตามองเห็นนางกำลังตัดฟืนช่วยลี่อินก็คลี่ยิ้มเอ่ย
“ชิงหว่านอย่าได้หักเหิม...จนตัวเองได้รับบาดเจ็บ”
ลี่อินขมวดคิ้ว รู้สึกว่าพี่ชายกล่าวไม่ถูกต้องลู่อันหันมองเห็นในตะกร้าของน้องสาวมีจำนวนฟืนมากกว่าพลางมองพี่สะใภ้ที่กำลังตัดฟืนอย่างแข็งขันก็ยิ่งสับสน ถึงแม้พี่สะใภ้จะเป็นบุตรของอนุแต่นางก็เป็นคุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดี ชีวิตประจำวันทั่วไปย่อมไม่ต้องลำบาก
แต่ทักษะใช้มีดที่ชำชองเช่นนี้?
หรือจริงแล้วตั้งแต่ข่าวลือก็ล้วนเป็นเท็จ
“ตะกร้าของเจ้าจะเต็มแล้ว” เสียงใสๆ ของชิงหว่านเอ่ยพูดกับลี่อินดังขึ้นดึงสติของลู่อันกลับมา เขามองตะกร้าตัวเองอีกครั้งรู้สึกขัดเขินที่ตัวเองมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อย
ผ่านไปสักพักเซียวอี้หยางเดินมากลับมานั่งพักแล้วเอ่ยเรียก “น้องหญิง เจ้าก็มาพักเถอะ”
สายตาชายหนุ่มไปสะดุดตาจำนวนฟืนที่กำลังเต็มตะกร้าของลี่อินก็เบิกตามองด้วยความตกใจ เมื่อก่อนเขาถือว่าตัวเองเป็นบัณฑิตเรื่องการใช้แรงงานย่อมด้อยกว่าพวกน้อง ๆ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ครั้งนี้เหมือนว่าเขาจะด้อยกว่าภรรยา..ชายหนุ่มจนคำพูดไปชั่วขณะ
ชิงหว่านมองดูตะกร้าใกล้จะเต็มแล้วจึงยื่นมีดคืนลี่อินแล้วเดินมาหาเซียวอี้หยางที่ยังเหม่อลอยอยู่
“คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
เซียวอี้หยางพลันได้สติ รีบเอ่ยตอบ “น้องหญิงใช้มีดได้คล่องยิ่งนัก”
ดูจากสายตาของทุกคน แค่ใช้มีดคล่อง เดินเขาได้ ก็นับว่าผิดแปลกโชคดีที่นางไม่เอาสาวใช้มาด้วยทำให้สร้างเรื่องเอาตัวรอดไปได้ “อยู่เรือนว่าง ๆ ข้าไม่มีอะไรทำก็ได้หัดใช้อยู่บ้าง”
คำตอบของชิงหว่านทำให้อี้หยางคิดไปอีกเรื่อง คาดว่าชีวิตในจวนตระกูลใหญ่ในฐานะบุตรสาวอนุ ย่อมไม่สบายทุกเรื่อง แววตาที่ชายหนุ่มทอดมองหญิงสาวเต็มไปด้วยความเห็นใจกล่าว
“พวกเราออกมาสายตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เจ้าหิวหรือยัง” พูดเสร็จชายหนุ่มก็หันไปเรียกน้องสาว
“ลี่อิน นำหมั่นโถวมาให้พี่สะใภ้”
ลี่อินได้ยินก็รีบเดินเข้ามา แล้วนั่งข้างสัมภาระคลี่ผ้าออกมาจากนั้นก็ยื่นหมั่นโถวสีขาวก้อนหนึ่งออกมาพูดขึ้น
“พวกข้าไม่คิดว่าพี่สะใภ้จะมาด้วย เลยไม่ได้เตรียมอาหารอย่างอื่นมาด้วย” สีหน้าของเด็กสาวเกรงว่าพี่สะใภ้จะพอใจอาหารของชาวบ้าน ชิงหว่านยิ้มในเมื่อเข้าป่ามาแล้วจะเกรงว่าไม่มีอาหารได้อย่างไร
“ไม่เป็นไร ข้ากินเท่านี้ก็พอ...ทว่าท่านพี่...ที่นี่ไม่มีชาวบ้านขึ้นเขาไปหาสัตว์ป่าหรือ”
“มี...แต่ต้องเข้าในป่าลึกพวกข้าเองก็ไม่เคยเข้าไป เพราะอันตรายจนเกินไป”
ชิงหว่านพยักหน้าภายนอกใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ภายในใจวางแผนหลายส่วนยิ้มกรุ่น ที่นี่ต้องมีสัตว์ป่าอย่างแน่นอน น่าสนใจ นางรู้สึกคันไม้คันมือ มองไปลำธารแล้วพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้น..พวกเราไปหาปลาในลำธารนั้นกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
เซียวอี้หยางยิ้มแห้งไม่กล้าตอบ
ลี่อินก็พูดขึ้น “พวกข้าจับปลาไม่เป็น”
ชิงหว่านยิ้มพูดต่อ “ข้าอยากจะลองดู” จับปลาในน้ำไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เซียวอี้หยางไม่กล้าขัดอีกฝ่ายจึงพูดขึ้น
“ตามใจเจ้า...แต่อย่าให้ตัวเองเปียก ตอนนี้ใกล้หน้าหนาวจะเจ็บป่วยได้” ชิงหว่านยื่นหมั่นโถว่คืนลี่อินจากนั้นก็หยิบมีดลุกขึ้นไปตัดไม้ทำหอกปลายแหลม นางจัดการได้ของพอเหมาะมือแล้วก็เดินไปยังลำธารมองหาโขดหินที่พอเหมาะเดินขึ้นไปยืนแล้วใช้สายตากวาดมองโดยรอบ
ลู่อันวางมือจากการตัดฟืนมายืนดูชิงหว่านแล้วหันไปถามอี้หยาง “พี่ชาย พี่สะใภ้จะจับปลาได้หรือไม่ขอรับ”
เซียวอี้หยางส่ายหน้าแววตาสับสน “ข้าก็ไม่แน่ใจ”
หวังชิงหว่านยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเฉียดคมจ้องมองลงไปในน้ำอย่างมีสมาธิ ทันทีที่เห็นเป้าหมายนางปักไม้แหลมลงไป เมื่อดึงกลับขึ้นมาเห็นปลาดิ้นในปลายไม้นางก็คลี่ยิ้มงดงาม
“ได้แล้ว!! ข้าจับปลาได้แล้ว” นางดึงปลาออกจากไม้นั้นก็ขว้างขึ้นไปบนฝั่งแล้วพูดต่อ
“ลี่อินก่อไฟ มื้อเที่ยงนี้เราจะกินปลาเผากัน” ไม่รอให้ชิงหว่านพูดเสร็จ ลู่อันก็รีบวิ่งไปเตรียมก่อไฟแล้ว
เสียงร้องยินดีของลี่อินฉุดให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนไม้ตรงต้นลำธารห่างออกไปในจุดน้ำตก จ้องมองบางอย่าง
“จางเคอ เจ้ามองอะไร” เกาเวินมาถึงก็เอ่ยถามพลางชำเลืองมองตาม เห็นดุรณีเยาว์วัยผู้หนึ่งในชุดบุรุษดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ
เกาเวินคลี่ยิ้มแววตาพราว “นับว่าเป็นสตรีน้อยที่งดงามไม่น้อย...นั่นไม่ใช่ว่ากำลังเล่นจับปลาหรอกนะ ท่าทางดูจริงจังไม่น้อย” เอ่ยเสร็จก็ต้องเบิกตากว้างเพราะในปลายแหลมหอกของนางมีปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งดิ้นอยู่ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเด็กชายผู้หนึ่งตะโกนด้วยเสียงยินดี
“พี่สะใภ้สุดยอดเลยขอรับ....”