เรื่องที่เสี่ยวจิ่วฮวาและหยางซู่ซู่ตกน้ำนั้นกลายเป็นเรื่องสนุกปากให้คนในสำนักศึกษาเอามาพูดคุยเป็นเรื่องขบขันไม่น้อย บ้างก็ว่าเสี่ยวจิ่วฮวาน่ะชื่อเสียงไม่ดีมานาน อาจจะตั้งใจผลักหยางซู่ซู่ให้ตกน้ำเพราะริษยาแต่เวรกรรมตามทันตนจึงตกลงไปด้วย ช่างเป็นสตรีที่นิสัยเสียจริงๆ ไม่อยู่ในกฎระเบียบชอบทำเรื่องขายหน้าริษยาผู้อื่น
โชคดีที่เสี่ยวจิ่วฮวาและหยางซู่ซู่นำเสื้อผ้าสำรองมาคนละหนึ่งชุดเผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด อาจารย์สำนักศึกษาแม้จะตำหนิแต่ก็ยังเมตตาให้นางเข้าไปเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องรับรองส่วนตัวของสำนักศึกษาได้ เสี่ยวจิ่วฮวาเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินออกมา ก่อนจะพบกับหยางซู่่ซู่ที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเช่นเดียวกัน หยางซู่ซู่ยิ้มให้เสี่ยวจิ่วฮวาอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ย
"อาจิ่ว ข้าขออภัยเจ้าด้วยนะ ข้าพยายามจับเจ้าเอาไว้แล้ว แต่แรงข้าช่างมีน้อยนัก จึงพาเจ้าร่วงตกน้ำไปด้วยกัน"
เสี่ยวจิ่วฮวายิ้มออกมาเล็กน้อย นางมองออกถึงเจตนาของหยางซู่ซู่ว่าไม่ได้ตั้งใจหรือคิดกลั่นแกล้งนางเลยแม้แต่น้อย
"ไม่เป็นอันใด รีบไปที่ห้องเรียนกันเถอะ"
"ช้าก่อนอาจิ่ว!!!"
"หืม"
เสี่ยวจิ่วฮวาหันกลับมามอง ก่อนจะพบว่าหยางซู่ซู่กำลังยื่นขนมเปี้ยะให้นางชิ้นหนึ่ง ขนมนั้นถูกซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อทั้งสองข้างและในห่อหนังสือ เสี่ยวจิ่วฮวาจ้องมองด้วยความขบขัน ก่อนจะเอ่ย
"เจ้ามาเรียนหรือมากินกันแน่เนี่ย"
"กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กินสิ ข้ามีอีกเยอะเชียว"
เสี่ยวจิ่วฮวายื่นมือไปหยิบขนมเปี๊ยะมาจากหยางซู่ซู่ก่อนจะกัดกินคำหนึ่ง พบว่ารสชาติไม่เลวเลย หยางซู่ซู่ยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย
"ข้าได้ยินคนพูดถึงเจ้าในทางไม่ดีตลอดเลย แต่วันนี้ที่ได้พบเจ้าข้ารู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น อาจิ่ว เรามาเป็นสหายกันเถอะ ข้าจะคบหากับเจ้า ใครต่อว่าเจ้า ข้าจะทุบตีมันเอง!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวาชะงักไปชั่วขณะ ตั้งแต่ชาติก่อนนางก็ไม่เคยมีใครอยากคบหาเป็นสหายด้วยเลยแม้แต่คนเดียว นางไม่รู้จักคำว่าสหาย ไม่เคยมีความจริงใจกับผู้ใด แต่วันนี้หยางซู่ซู่กลับเอ่ยปากขอเป็นสหายกับนาง และยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้านาง
"มาเร็ว เกี่ยวก้อยเป็นสหายกัน สุขทุกข์ไม่แยกจาก ตกน้ำไปด้วยกัน อิอิ!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็เผลอหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะยิื่นนิ้วก้อยของตนไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของหยางซู่ซู่และยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านางก็ใจคอไม่ดีขึ้นมา
ก่อนที่จะถึงเวลาคัดเลือกพระชายารองขององค์รัชทายาท อาจจะพอมีหนทางช่วยสหายคนแรกคนนี้ของนางให้ปลอดภัยได้
คงต้องลองดูสักตั้งหนึ่ง!!
ทั้งสองเดินหลับมาที่สำนักศึกษา โชคดีที่ที่นั่งของเสี่ยวจิ่วฮวาและหยางซู่ซู่อยู่ใกล้กันพอดี ทำให้คนทั้งสองพูดคุยกันได้มากขึ้น เสี่ยวจิ่วฮวาเริ่มชอบหยางซู่ซู่มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว หยางซู่ซู่ทั้งพูดเก่งและที่สำคัญชอบกินเหมือนกับนาง หยางซู่ซู่เองก็มักจะอาศัยช่วงเวลาที่อาจารย์เผลอไผลแอบยัดของกินใส่มือนางเป็นระยะ
การเรียนวันนี้เป็นเพียงพื้นฐานเริ่มต้นก่อน ไม่ได้มีเนื้อหาหลักสำคัญอันใดมากนัก ผ่านไปครึ่งวันการสอนก็สิ้นสุดลง เสี่ยวจิ่วฮวาสังเกตเห็นว่ามีสายตาของคุณหนูที่เรียนในห้องเดียวกันมองนางด้วยความดูแคลน แต่เสี่ยวจิ่วฮวาก็คร้านจะใส่ใจ กลับเป็นหยางซูซู่ที่โมโหแทนนาง
หลังจากเลิกเรียนคนทั้งสองก็เดินออกมาจากสำนักศึกษาเหมยฮวา หยางซู่ซู่ยิ้มให้เสี่ยวจิ่วฮวา ก่อนจะเอ่ย
"พรุ่งนี้พบกันใหม่ ข้าจะนึ่งซาลาเปาไส้เนื้อมาฝากเจ้า"
"อืม พรุ่งนี้ข้าจะทำเกี้ยวต้มมาแบ่งเจ้ากินเช่นกัน"
"ดีดี เจ้ากลับดีดีล่ะ"
"เช่นกันนะ"
เสี่ยวจิ่วฮวาโบกมือให้หยางซู่ซู่ ก่อนจะเดินมาที่รถม้าของตน หูเป่าที่เห็นอย่างนั้นก็รีบเข้ามาช่วยเจ้านายถือของ เสี่ยวจิ่วฮวาปวดเมื่อยไปทั้งตัว อีกทั้งยังเริ่มหิวขึ้นมาอีก นางจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"ข้าหิว แวะมาที่ภัตตาคารเซียงหลงก่อนเถิด บอกเสี่ยวเอ้อร์ว่าเอาห้องด้านบนสุดติดริมหน้าต่าง"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
รถม้าขับมาเรื่อยๆ ก่อนจะจอดที่หน้าภัตตาคารเซียงหลง เสี่ยวจิ่วฮวาก้าวลงมาจากรถม้า ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ไม่นานก็มีเสี่ยวเอ้อร์เข้ามาถามไถ่ว่านางอยากนั่งที่ไหน เสี่ยวจิ่วฮวาที่หิวมากแล้วจึงรีบบอกว่าต้องการห้องติดริมหน้าต่าง ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน และสั่งอาหารทันที
ในอีกด้านหนึ่ง รถม้าของเติ้งหมิงซีขับผ่านภัตตาคารเซียงหลงพอดี เขาเห็นเสี่ยวจิ่วฮวาเข้าเสียก่อน จึงสั่งให้พ่อบ้านเหรินหยุดรถม้าทันที พ่อบ้านเหรินหันมามองเจ้านายของตน ก่อนจะเอ่ยกระซิบ
"ท่านอ๋อง ต้องการสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือต้องการตรวจบัญชีรายได้ ไว้บ่าวจะให้คนนำมาไปส่งให้ที่จวนอ๋อง"
เติ้งหมิงซีไม่ตอบ เขาทำภาษามือบอกว่าต้องการจะเข้าไปกินอาหารที่ภัตตาคารเซียงหลง ยามนี้อยู่นอกจวนระมัดระวังไว้ก่อนย่อมเป็นการดี
พ่อบ้านเหรินที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยถามทันที
“ท่านอ๋อง เดิมทีภัตตาคารเซียงหลงก็มีท่านเป็นเจ้าของอย่างลับๆ หลายปีมานี้ทำเงินไม่น้อย หากอยากกินส่งใด บ่าวจะสั่งให้คนนำมาให้ จะได้ไม่เป็นที่จับตามอง”
เติ้งหมิงซีปรายตามองพ่อบ้านเหรินก่อนจะส่งภาษามือว่าอย่าพูดมาก ให้ไปทำสิ่งใดก็ไปทำ พ่อบ้านเหรินจึงรีบทำตามคำสั่งทันที
ภัตตาคารเซียงหลงนี้มีเขาเป็นเจ้าของ แต่คนภายนอกรู้เพียงว่าเป็นของคหบดีผู้หนึ่งที่ไม่ชอบเปิดเผยตัวเพราะกลัวคนจะมาหลอกถามสูตรลับอาหาร ที่นี่มีอาหารรสชาติดีมากมาย อีกทั้งยังเป็นแหล่งทำเงินอีกที่หนึ่งของเขา นอกจากภัตตาคารเซียงลงแล้ว เติ้งหมิงซียังมีกิจการอีกหลายที่ ซึ่งเปิดในนามของคนอื่น ซึ่งเป็นคนของเขาที่ไว้ใจได้คอยดูแล
เมื่อรถม้าหยุดลงเติ้งเมิงซีจึงเดินลงมาจากรถม้าและมุ่งหน้าเข้ามาในภัตตาคารเซียงหลงทันที เมื่อเขาเข้ามาก็เป็นที่จับตามองของคนในภัตตาคารทันที มีทั้งสายตาสงสารเทนา สายตาสมเพชในคราวเดียวกัน บ้างก็ซุบซิบนินทาว่า
ดูสิสภาพจะเดินยังไม่ไหว ต้องให้ข้ารับใช้คอยพยุง ยังจะลำบากออกมากินอาหารด้านนอกจวนอีก ไม่อับอายบ้างหรือไร
บ้างก็ว่าเขาเป็นอ๋องเจ้าสำราญ ชอบไปที่นั่นที่นี่ บางคราก็ไปสร้างความขายหน้าไปทั่ว ช่างเถิด ถือว่าวันนี้ได้ชมเรื่องสนุก
เติ้งหมิงซีพบเห็นท่าทีเช่นนี้จนเคยชินเสียแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ พ่อบ้านเหรินพยุงเขาเข้ามาในภัตตาคารก่อนจะบอกว่าต้องการห้องชั้นบนสุด เสี่ยวเอ๋อร์บอกว่าโชคดีทีเหลืออีกหนึ่งห้องพอดี จึงนำทางเขาขึ้นไป พ่อบ้านเหรินพยุงเติ้งหมิงซีเดินไปช้าๆ ระหว่างทางเขาก็ตบมือเปาะแปะ ชี้นั่นชี้นี่ไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเข้ามาในห้องอาหาร เขาจึงเลิกแสแสร้งแกล้งทำ แล้วหันไปเอ่ยถามพ่อบ้านเหริน
"ห้องข้างๆ มีคนอยู่หรือ”
"ทูลท่านอ๋องเหมือนว่าจะเป็นคุณหนูนางหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่านางสั่งอาหารหลายสิบอย่าง ให้ตายเถอะ นั่นใช่กินล้างกินผลาญหรือไม่"
เติ้งหมิงซีไม่ตอบ เขาสั่งให้พ่อบ้านเหรินไปสั่งอาหาร และห้ามใครเข้ามารบกวน
ด้านเสี่ยวจิ่วฺฮวาที่ถูกพ่อบ้านเหรินกล่าวหาว่ากินล้างกินผลาญก็กำลังสำราญกับอาหารตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี นางคีบอาหารขึ้นมากินคำหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"หูเป่า เจ้าเอาไปแบ่งกับคนขับรถม้ากิน แล้วสั่งเพิ่มอีกสองชุดกลับไปฝากท่านแม่และเสี่ยวเย่วหยา"
"เจ้าค่ะคุณหนูรอง"
เมื่อหูเป่าออกไปแล้ว นางก็ตั้งใจกินอาหารอย่างมีความสุข ด้านเติ้งหมิงซีที่อยู่ห้องข้างกันนั้นก็กำลังนั่งดื่มชา เมื่อมีเสียงเคาะหน้าประตูเขาก็กลับมามีท่าทีเหมือนเป็นคนบ้าใบ้เช่นเดิม พร้อมกับมองดูเสี่ยวเอ้อร์นำอาหารมาวางไว้ให้อย่างสนใจใคร่รู้ แม้ที่นี่จะเป็นกิจการของเขา แต่คนงานบางคนย่อมไม่รุ้ว่าเขาคือใคร เช่นนั้นเขาจึงระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว
พ่อบ้านเหรินเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย จึงไล่คนออกไป เมื่อคนออกไปหมดแล้ว จึงเอ่ยกับเติ้งหมิงซีทันที
"ท่านอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ สตรีที่สั่งอาหารเหมือนอดอยากนางนั้นคือคุณหนูรองเสี่ยว บ่าวไปสืบมาแล้ว"
"เจ้านี่หูตาไวใช้ได้เลยนะ"
"เรื่องชาวบ้านไว้ใจกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ"
เติ้งหมิงซีส่งเสียงเหอะในลำคอ ก่อนจะคีบอาหารขึ้นมาชิมดู เขาให้พ่อบ้านเหรินดึงผ้าม่านที่หน้าต่างลงเพื่อป้องกันคนสอดรู้สอดเห็น โชคดีที่ตรงนี้คือชั้นสองไม่มีคนมองขึ้นมาด้านบนได้
เสียงพูดคุยสนทนาของเสี่ยวจิ่วฮวาดังข้ามมาอีกห้องหนึ่ง เติ้งหมิงซีย่อมได้ยินทั้งหมดเพราะเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่เสี่ยวจิ่วฮวากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเพราะไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานหูเป่าก็กลับมา เสี่ยวจิ่วฮวาจึงให้นางนั่งลงไม่ต้องยืนเฝ้า อีกทั้งยังแบ่งอาหารให้กินอีกด้วย หูเป่าที่เห็นว่าเจ้านายไม่ถือสาสิ่งใดจึงเริ่มชวนสนทนาขึ้นมาทันที
"คุณหนูรองเจ้าคะ บ่าวได้ยินมาว่าที่สำนักศึกษามีอาจารย์ผู้หนึ่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างมาก เป็นที่หมายปองของสตรีในเมืองหลวง คุณหนูได้พบเขาหรือยังเจ้าคะ"
เสี่ยวจิ่วฮวาคีบเนื้อปลาเปรี้ยวหวานเข้าปาก ก่อนจะส่ายหน้าและเอ่ย
"ข้าไม่ได้สนใจว่าอาจารย์คนไหนในสำนักศึกษาจะรูปงามหล่อเหลาหรือไม่ อ้อ จริงสิ พูดเรื่องความหล่อเหลา ข้าว่าไม่มีใครสู้จวิ้นอ๋องผู้นั้นได้แล้วล่ะ เจ้าจำได้หรือไม่ ที่งานเลี้ยงฮูหยินผู้เฒ่าไป๋วันนั้นน่ะ"
หูเป่าทำท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"บ่าวจำได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องผู้นั้น คุณหนู!!! บ่าวได้ยินว่าเขาเป็นใบ้ อีกทั้งยังสติไม่ดีด้วยนี่เจ้าคะ"
เสี่ยวจิ่วฮวาพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"ใช่แล้ว แต่ว่าเขาหล่อเหลามาก อีกอย่างนะข้ายังรู้สึกคุ้นหน้ากับเขาอีกด้วย แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใด น่าเสียดายนะเป็นใบ้แล้วยังสติไม่ดีอีกต่างหาก เสียดายใบหน้าหล่อเหลานั่นของเขาเป็นที่สุด นั่นน่ะคือใบหน้าของว่าที่สามีในฝันที่ข้าต้องการเชียวนะ ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคม นิ้วเรียวยาวราวหยกสลัก"
หูเป่าที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยปรามเจ้านายตนทันที ด้านเติ้งหมิงซีที่ได้ยินก็ยกยิ้มมุมปาก พร้อมกับยกมือของตนเองขึ้นมาดูคราหนึ่ง
สามีในฝันอย่างนั้นหรือ พูดได้ดี!!!
"คุณหนู ท่านแต่งให้เขาไม่ได้นะเจ้าคะ!! ท่านงดงามถึงเพียงนี้ จะแต่งกับคนใบ้ได้เช่นไร"
เสี่ยวจิ่วฮวาใช้ตะเกียบชี้หน้าหูเป่าก่อนจะเอ่ย
"อย่ามองคนแค่ภายนอก บางคนหน้าตาดีร่างกายปกติแต่จิตใจบิดเบี้ยวนั้นมีไม่น้อย ต่างกับบางคนที่ร่างกายอาจจะไม่ปกติแต่จิตใจอาจจะดีงามก็ได้ บางคราเขาอาจจะเป็นสามีที่ดีเลยล่ะ พูดไม่ได้ก็มีข้อดีนะ จะได้ไม่ต้องเถียงภรรยา แต่ช่างเถิด ชาตินี้ข้าเองก็ไม่คิดจะแต่งให้ผู้ใดอยู่แล้ว เอ๊ะๆ!! หูเป่า เจ้าว่านอกจากจะพูดไม่ได้และสติไม่ดีแล้ว ตรงนั้นของเขาจะปกติใช้การได้หรือไม่นะ!!!"
"คุณหนู!! สำรวมบ้างเถิดเจ้าค่ะเอ่ยวาจาเช่นนี้ไม่งามเลย!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอันใดออกไปก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ให้ตายเถอะ ข้ามีความคิดน่ากลัวแบบนี้ขึ้นมาได้เช่นไรกัน!!!
ไม่ได้ๆ!! ข้าจะไม่แต่งงาน ชาตินี้ขอเสพสุขกับอาหารตรงหน้าก็พอแล้ว
เมื่อคิดเช่นนั้น เสี่ยวจิ่วฮวาจึงเอ่ยกับหูเป่าทันที
“ข้าก็สงสัยเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดสิ่งใดเสียหน่อย!!!”
เติ้งหมิงซีที่ได้ยินเต็มสองรูหูก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมา พ่อบ้านเหรินเองก็ได้ยินเช่นเดียวกัน เขาคิดว่าจะต้องหาโอกาสสั่งสอนคุณหนูรองเสี่ยวผู้นี้เสียบ้างสักคราแล้ว บังอาจนักกล้ามาว่าท่านอ๋องของเขา!!
หมายหัวไว้แล้ว!!!
เสียงพูดคุยยังดังมาเป็นระยะ เติ้งหมิงซียกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
น่าสนใจดีนี่!!! ถึงกับอยากรู้ว่าตรงนั้นของข้ายังใช้การได้ปกติหรือไม่
เป็นสตรีขี้สงสัยสินะ
ช่างสรรหาที่สงสัยได้ถูกจุดเสียด้วย!!!
เมื่อได้ยินว่าบุตรชายกลับมาถึงวังหลวงแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็ดีใจไม่น้อย นางโผเข้ากอดบุตรชาย ก่อนจะจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกคนหามเข้ามาคราหนึ่ง และจึงเอ่ยถามเติ้งจื่อหยวน"นางคือ?""เสด็จแม่ นางคือสตรีของข้า ข้ารักนาง ท่านอย่าให้นางไปที่ใดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"เสี่ยวจิ่วฮวาหันไปสบตากับเติ้งหมิงซีคราหนึ่ง เห็นว่าสามีเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะสั่งให้หมอหลวงในวังมาตรวจดูอาการของคนทั้งสองหลายวันต่อมาอาการของฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีขึ้นมากแล้ว วันต่อมาก็มีนางกำนัลเข้ามาบอกว่า เสี่ยวฮองเฮาเรียกนางให้เข้าไปพบฮวาชิงเหยี่ยนไม่ได้ครุ่นคิดสิ่งใดให้มากความ นางตรงไปที่ตำหนักคุณหนิงในทันที เมื่อเข้ามาถึงก็พบกับเสี่ยวฮองเฮาที่กำลังนั่งจิบชาร้อนอย่างไม่รีบไม่ร้อนอยู่ภายในตำหนัก"ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินก็มองฮวาชิงเหยี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ลุกขึ้นเถิด หูเป่าหาที่นั่งให้นาง""เพคะฮองเฮา"ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกประหม่าไม่น้อย นางมาที่นี่เดิมทีก็ใช้ชีวิตไม่ง่าย เมื่อมาอยู่ในวังและยังมีกฎเกณฑ์มากมายจึงยิ่งไม่คุ้นชิน เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะมองออก จึงไม่ได้แสดงท่าทีกดดันนางเท่าใดนัก"
เติ้งหมิงซีลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ทราบข่าวก็เริ่มกระวนกระวายเพราะห่วงบุตรชาย โชคดีที่ได้ความช่วยเหลือจากทั้งเจียงซวี่และหลี่จิ่ง ทำให้ไม่กี่วันต่อมาก็สามารถสืบพบกบฏเหล่านั้นได้ และจัดการถอนรากถอนโคนพวกมันทิ้งไปเสีย แต่น่าเสียดายที่คนตระกูลฮวาเกือบทั้งหมดไม่มีใครรอดชีวิตเลยนอกจากฮวาชิงเหยี่ยน เมื่อสอบสวนอย่างละเอ่ียด ก็พบว่าคนพวกนั้นเดิมทีเป็นกลุ่มคนที่เคยขึ้นตรงต่อเติ้งเจี๋ยมาก่อน และหวังจะแก้แค้นแทนเจ้านายของตน ส่วนคนตระกูลฮวานั้นก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ไม่ได้เรื่องได้ราว และถูกหลอกใช้ให้ส่งข่าวความเป็นไปในเมืองหลวงให้ทราบเพียงเท่านั้น ยามนี้สกุลฮวาตายสิ้น บุตรชายเขาและบุตรสาวนักโทษนางนั้นก็ยังหายไปด้วยกันอีกเมื่อจัดการเรื่องนี้จบแล้ว ก็มีฎีการ้องเรียนไม่หยุดว่าเติ้งจื่อหยวนมีใจคิดไม่ซื่อ มีใจคิดก่อกบฏ เพราะเหตุนี้เติ้งหมิงซีจึงสั่งลงโทษพวกขุนนางเหล่านั้น จนเหล่าขุนนางต่างเงียบปากไม่กล้าเอ่ยปากพูดเรื่องใดออกมาอีกด้านเติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนนั้น ยามนี้คนทั้งสองหลบมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ด้านนอกเมืองหลวง ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกเจ็บเท้าไม่น้อยเล
เช้าวันต่อมาก็มีคนพบศพของชายวัยกลางคนผู้นั้นที่โรงเตี๊ยม แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หวาดหวั่นยิ่งกว่าก็คือ ในตัวเขามีจดหมายฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า เขากำลังติดต่อกับคนที่เติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนพบเจอ และดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ร่วมมือกับกบฏนอกวังหลวงเติ้งจื่อหยวนรู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายไปไม่น้อยเลย แต่เรื่องนี้จะเก็บเงียบไม่ได้ย่อมต้องกราบทูลเสด็จพ่อ เมื่อเติ้งหมิงซีรู้จึงสั่งตรวจสอบคนใกล้ชิดกับชายผู้นั้นทันทีไม่เว้นแม้แต่จวนสกุลฮวาสุดท้ายแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาพบว่าฮวาหยวนเองก็มีส่วนสมคบคิดกับชายผู้นั้นเช่นเดียวกัน เขาเป็นคนส่งเรื่องราวและความเป็นไปของในเมืองหลวงให้แก่เหล่ากบฏ เพื่อแลกกับเงินไปใช้จ่ายในโรงพนันเขาคิดว่าอย่างไรย่อมไม่มีคนสาวมาถึงตัวเขา แต่ฮวาชิงเหยี่ยนบุตรสาวตัวดีกลับไปรู้เรื่องเข้า เขาตัดใจฆ่านางไม่ลง จึงสั่งให้นางแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นไปเสีย เมื่อแต่งงานออกไปไกลแล้ว ย่อมไม่สามารถก่อคลื่นลมใดได้อีกแต่เรื่องราวกลับไม่เป็นดังที่ใจของเขาคิด สุดท้ายตระกูลฮวาทั้งตระกูลกำลังจะถูกสั่งประหารชีวิตโทษฐานกบฏแต่เพราะเติ้งจื่อหยวนไปขอร้องบิดา ทำให
เติ้งจื่อหยวนหันมาสบตากับฮวาชิงเหยี่ยนอีกครา คนทั้งสองมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเป็นฮวาชิงเหยี่ยนที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ข้าเคยมาหาของป่าที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ท่านกับข้าเราต้องลงเขาไปด้วยกันในเวลานี้ ซึ่งมีเพียงทางเดียวคือกระโดดลงไปในแม่น้ำด้านล่างนั่นถึงจะหนีได้ ท่านกลัวหรือไม่"เติ้งจื่อหยวนรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ให้ตายเถอะ ประโยคนี้ควรเป็นเขาที่ถามนางมากกว่าสิ เหตุใดจึงกลายเป็นนางมาเอ่ยถามเขาเช่นนี้เล่ายามนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องเช่นนี้แล้ว เขาต้องเร่งหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้นเติ้งจื่อหยวนจึงหันมาเอ่ยกับฮวาชิงเหยี่ยนในทันที"ข้าไม่เคยกลัวสิ่งใด เราไปกันเถอะ""อืม"เติ้งจื่อหยวนจับมือของฮวาชิงเหยี่ยนเอาไว้แน่น ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะพากันกระโดดหนีไปนั้น ก็มีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาเฉียดที่แขนของฮวาชิงเหยี่ยน จนนางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหันไปมอง ทำให้สบตากับคนที่ยิงธนูใส่นางได้อย่างชัดเจน แต่ทว่ากลับไม่เห็นอีกคนที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง เติ้งจื่อหยวนที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย เขาใช้มีดสั้นที่มักพกติดกายมาด้วยเขวี้ยงใส่คนผู้นั้นจนได้รับบาดเจ็บ และสั่งให้อง
ฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกจู่โจมอย่างกะทันหันก็ตั้งรับไม่ทัน นางพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมมือของเฉินเย่ แต่ทว่าเฉินเย่เหมือนจะระวังตัวและเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี จึงไม่เหลือทางให้นางได้จัดการเขาเลย "ดิ้นรนไปเถิด เจ้าไม่รอดเงื้อมมือของข้าหรอก ข้าชอบเจ้ามากนะชิงชิง เป็นของข้าเถอะ" พูดจบก็โน้มใบหน้าเข้ามาคิดจะจูบที่หน้าผากของนาง แต่ทว่าเฉินเย่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้นก็ถูกใครบางคนลากไปจัดการเสียก่อน แสงเทียนที่สลัวรางทำให้มองเห็นทุกอย่างได้บ้าง ฮวาชิงเหยี่ยนมองเห็นว่าเติ้งจื่อหยวนกำลังจัดการเฉินเย่อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ฝีมือของเขาดีมาก เฉินเย่ไม่ทันได้เอ่ยปากร้องขอความเมตตาก็โดนซ้อมจนสลบเหมือดไปเสียแล้ว เมื่อซ้อมคนเสร็จเติ้งจื่อหยวนก็สั่งให้คนของเขาลากเฉินเย่ไปโยนเอาไว้ที่ตลาดในสภาพเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ต้องสั่งสอนให้รู้จักความอัปยศและความอับอายเสียบ้างเมื่อจัดการคนเรียบร้อย เติ้งจื่อหยวนก็หันมาเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนในทันที "เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่"ฮวาชิงเหยี่ยนส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เจ้าสาม ท่านมาได้อย่างไรกัน"เติ้งจื่อหยวนจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางหันมามองเติ้งจื่อหยวนอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนหน้านี้นางด่าเขาในใจเอาไว้มากมาย ยามนี้เมื่อได้เขาช่วยเหลือจนได้เงินคืนมาก็รู้สึกผิดในใจ"ท่านจะให้ข้าตอบแทนเช่นไรก็ว่ามา"เติ้งจื่อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "เลี้ยงบะหมี่ข้าก่อน แล้วข้าจะบอก"ฮวาชิงเหยี่ยนคิดว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด นางจึงพาเขาไปกินบะหมี่ที่ร้านลุงหลี่ตามเดิม หลี่จิ่งมองดูคนทั้งสองก่อนจะยกยิ้มมุมปากคราหนึ่งเห็นทีอาจิ่วคงกำลังจะมีลูกสะใภ้คนที่สามเสียแล้ว!!เมื่อกินอิ่มแล้ว เติ้งจื่อหยวนจึงเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนทันที"เจ้าชื่ออันใด""ฮวาชิงเหยี่ยน เรียกชิงชิงก็ได้ ท่านเล่า""เรียกข้าว่า เจ้าสามก็ได้"ฮวาชิงเหยี่ยนพยักหน้าคราหนึ่ง ชื่อแปลกพิลึกดีเติ้งจื่อหยวนจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเอ่ย"ภาพเหล่านั้นเจ้าวาดได้เช่นไรกัน มันไม่เหมือนกับยุคสมัยนี้เลย ข้าชอบมาก มันคือที่ใดกัน"ฮวาชิงเหยี่ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรดี นางคิดใคร่ครวญคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกมา"ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่เหลือเ