ถังลู่เหมยเรียกเอาขนมปังออกมาจากมิติหนึ่งก้อน แล้วฉีกกลางแบะออก จากนั้นจึงเรียกยาถ่ายที่มีในมิติออกมา ก่อนจะโรยใส่ตรงกลางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เธอมาหาเรื่องเองนะถงซิน” ถังลู่เหมยแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเจ้าเล่ห์
จากนั้นก็เดินไปเปิดประตู แล้วทำท่าเหมือนคนสติไม่ดีแบบเดิม พร้อมกับกัดกินขนมปังตรงที่ไม่ได้โรยยาถ่ายไว้
“เรียกทำไม” ถังลู่เหมยถามไปแบบหาเรื่อง แต่พอนึกได้จึงทำท่าเอาขนมปังไปแอบด้านหลังเหมือนกลัวอีกคนจะเห็น
“นั่นอะไร แกเอาอะไรซ่อนไว้นังลู่เหมย นังบ้า เอาออกมาดูสิ” ถังถงซินตาลุกวาว พอเห็นว่าอีกฝ่ายแอบซ่อนของกินอะไรไว้ จึงเอ่ยถามทันที
“ถงซินบ้า บ้ากว่าอาเหมย ไม่สวยแล้วยังบ้า บ้า คนนี้คนบ้า ฮ่าๆ” หญิงสาวไม่ตอบแต่ยังลอยหน้าลอยตาด่ากลับ และพูดซ้ำ ๆ คำพวกนี้ไม่หยุด
เธอหลอกด่าจนผู้มาเยือนเริ่มโมโห “นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังถงซินตวาดกลับไปทันทีเหมือนกัน
“นี่นังบ้า แกด่าฉันเหรอ” ถังลู่เหมยพูดย้อนกลับไปเหมือนอีกฝ่ายทุกคำแถมยังยกมือชี้หน้าไปด้วย จนถังถงซินโมโหและพุ่งเข้าหาเธอ เพื่อหวังทำร้ายพร้อมกับแย่งชิงขนมปังไป
“นี่แกแอบซ่อนขนมปังใช่ไหม นังบ้า เอามานี่นะ” ถังถงซินเอื้อมมือจะแย่งไปเอามา แต่ถังลู่เหมยก็เบี่ยงตัวหนี
“ไม่ให้ ไม่ได้ซ่อน ลุงหมอให้มา” ถังลู่เหมยลอยหน้าลอยตาตอบอีก เธอเตรียมคำแก้ตัวไว้หมดแล้ว จึงได้อ้างว่าหมอจางให้มา
“หน็อย ของดี ๆ แบบนี้มันไม่เหมาะกับแกหรอกนังบ้า เพราะแกมันคนบ้า ฮ่า ๆ ๆ คนบ้าต้องไปหาหมอ เอาขนมปังมานี่” ถังถงซินเคยเห็นขนมคล้ายแบบนี้ขายในตลาดมืดและมีราคาแพงมาก แต่เมื่อวานได้ยินว่าถังอี้คุนพาถังลู่เหมยไปหาหมอในเมือง จึงไม่สงสัยอะไรกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมา ก่อนจะเข้าไปแย่งอีกครั้งและครั้งนี้เธอได้ขนมไปสมใจ
“ของอาเหมย อย่ามาแย่งสิ เอาคืนมานะ ช่วยด้วย คนบ้าแย่งขนมอาเหมย” หญิงสาวทำท่าไม่ยินยอม แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน แต่ถ้าให้ดี ๆ ก็คงผิดปกติ จึงได้พุ่งไปเพื่อแย่งคืนมา และร้องโวยวายออกมาเสียงดัง จนนางหลันที่อยู่บ้านข้าง ๆ ต้องออกมาดู
“รู้ว่าลู่เหมยสติไม่ดี แล้วยังมาแย่งชิงของเธอไปอีก ถงซินจิตใจหล่อนทำด้วยอะไรกัน” นางหลันพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า หลานสาวจากบ้านใหญ่ถังจะรังแกแม้กระทั่งคนบ้า
“ฉันไม่ได้แย่งเสียหน่อย อย่ามาพูดลอย ๆ นะ ขนมพวกนี้ฉันซื้อมาเอง บ้านรองจะมีเงินมาซื้อขนมแพง ๆ แบบนี้ได้อย่างไร” ถังถงซินพยายามหาข้อแก้ตัว โดยบอกว่าขนมเป็นของตนเอง
แต่นางหลันได้ยินถังลู่เหมยบอกว่าขนมชิ้นนี้หมอในเมืองให้มา และนั่นคงเป็นเพราะสงสารถึงมอบขนมที่มีราคาให้เธอ เมื่อคิดถึงตรงนี้นางหลันจึงพูดออกไป
“คนเราทำอะไรย่อมรู้อยู่แก่ใจ เธอเองถึงวัยออกเรือนแล้ว แต่เพราะเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้อย่างไรล่ะ ถึงไม่มีใครมาขอเสียที ลู่เหมยไปเล่นที่อื่นเถอะ หรือไม่ก็กลับเข้าห้องไป แล้วนี่กินอะไรหรือยัง หิวไหม บ้านฉันมีมันเผาอยู่เอาไหม เดี๋ยวจะเอามาให้” นางหลันส่ายหน้าอย่างระอากับกิริยาของหลานสาวบ้านใหญ่ถัง ก่อนจะหันมาถามลูกสาวบ้านรองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ซึ่งถังลู่เหมยรู้ดีว่าบ้านของนางหลันไม่ได้ร่ำรวยนัก ครอบครัวนี้ก็ยากจนเหมือนกัน มันเผาก้อนหนึ่งมีค่ามากเลยนะสำหรับคนไม่มีเงิน แต่อีกฝ่ายกลับมีน้ำใจมอบให้หญิงบ้าเช่นเธอ
“ป้ากินเถอะนะ อาเหมยอิ่มแล้ว อาแหมยไปเล่นก่อน”
หญิงสาวหันมาตอบและยิ้มให้อย่างจริงใจ ขณะเดียวกันกลับไปปิดประตูแล้วเดินออกจากบ้าน โดยไม่คิดจะมองญาติผู้พี่คนนี้อีกเลย พอนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายถ่ายท้องจู๊ด ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่า ๆ ๆ”
ชาวบ้านที่ได้ยินเธอหัวเราะ ก็ไม่มีใครแปลกใจในเรื่องที่ถังลู่เหมยหัวเราะแบบไร้เหตุผล เพราะพวกเขาเห็นเป็นประจำอยู่แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักหญิงสาวก็รู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในห้องจึงคิดหาทางไปเดินเล่น โดยตั้งใจว่าจะเดินขึ้นเขาสักหน่อย
“ไปบนเขาดีกว่า เดี๋ยวจะได้เก็บโสมกับเห็ดหลินจือใส่มิติ”
คิดได้อย่างนั้นเธอก็เดินออกมาจากบ้าน แต่ทว่าในตอนนี้ทางที่ถังลู่เหมยเดินนั้นไม่ใช่ทางไปขึ้นเขา เธอกลับเดินมาที่คอมมูน ที่ที่ครอบครัวเธอทำงานอยู่เวลานี้ ในใจนั้นขบคิดตลอดทางว่า ในเมื่อเธอจะแจกจ่ายอาหารให้ชาวบ้านยากไร้ได้ เธอต้องทำให้ครอบครัวอิ่มท้องและมีความเป็นอยู่อย่างสบายก่อน ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถแยกบ้านได้ก็ตาม เธอเชื่อว่าพ่อกับแม่จะเก็บความลับเรื่องนี้ได้เหมือนกัน
กลับมาทางด้านถังถงซิน หลังจากที่ออกมาจากบ้านรองถัง เธอก็รีบเอาขนมที่แย่งชิงมาได้แอบเข้าไปกินในห้องตัวเองอย่างอร่อย โดยไม่คิดที่จะแบ่งให้ใคร
พอเวลาผ่านไปสักพักเธอเริ่มรู้สึกไม่ดี แต่เหมือนจะไม่ทันการแล้ว ทั้งเสียงดัง ทั้งกลิ่นโชยออกมา จนวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน!!
ย่าถังนั่งมองหลานสาวคนโปรดวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำด้วยความสงสัย นางหันไปถามสามี “นั่นซินเอ๋อร์เป็นอะไร ทำไมต้องวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำบ่อยขนาดนั้น”
“ฉันนั่งกับแกจะรู้ได้อย่างไรล่ะ อยากรู้ก็ไปดูสิ”
ปู่ถังไม่สนใจสิ่งที่ย่าถังถาม เขานั่งพ่นยาสูบด้วยความสบายใจ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากบ้าน เพื่อจะไปโขลกหมากรุกและจิบน้ำชากับสหายวัยเดียวกัน
ย่าถังแม้จะห่วงหลานสาว แต่จะให้ไปสอบถามถึงหน้าห้องน้ำก็ไม่ไหวนะ จึงนั่งเฉยและรอให้ถังถงซินเดินออกมาเอง
แต่เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ก็ไม่เห็นหลานสาวเดินออกมา จึงได้เดินไปดูด้วยตัวเอง
“ซินเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือเปล่า” ย่าถังตะโกนถาม
ถังถงซินแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว เธอถ่ายท้องไม่หยุด พอย่าถังมาเรียก จึงตอบออกไปอย่างหมดแรง
“ฉะ ฉัน ท้องเสียน่ะย่า” เสียงของเธอนั้นกระท่อนกระแท่นยิ่งนัก
ย่าถังได้ยินก็ตกใจมาก เวลานี้คนในบ้านก็ไม่มีใครอยู่เสียด้วย เนื่องจากออกไปทำงานกันหมด ส่วนสะใภ้ใหญ่ก็ออกไปหาผัก แล้วแบบนี้จะให้ใครช่วยล่ะ
“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมถึงท้องเสียล่ะ กินอะไรเข้าไปหรือ” นางยังคงตะโกนถามหลานสาวด้วยความห่วงใย เนื่องจากอาหารที่กินมื้อเช้าก็กินเหมือนกันทุกคน แต่ทำไมถังถงซินถึงท้องเสียคนเดียวล่ะ
“นังลู่เหมยค่ะย่า มันเอาขนมเน่าเสียมาให้ฉันกิน จนฉันท้องเสียแบบนี้” ถังถงซินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธอีกคน
พอได้ยินอย่างนั้น ย่าถังจึงเรียกชื่อถังลู่เหมยด้วยความเกลียดชัง “นังลู่เหมย!!”
ถังลู่เหมยไม่รู้เลยว่าเวลานี้งานจะเข้าเธออีกแล้ว หญิงสาวนั่งมองพ่อแม่และพี่ชายทำงานใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยความสงสาร เธอรู้สึกสงสารทั้งสามคนมาก ที่ต้องทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินแบบนี้ การที่เธอตัดสินใจบอกพ่อกับแม่เรื่องความลับของเธอ คงเป็นเรื่องที่ควรกระทำที่สุดแล้ว จากนั้นก็รอแค่เวลาแยกบ้านเท่านั้น สุดท้ายแล้วเธอเชื่อว่าถ้าพ่อแม่รู้เรื่องมิติคงเก็บความลับเป็นอย่างดี และที่สำคัญคงต้องหาทางแยกบ้านแน่ ๆ
ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ก็มีเสียงคุ้นเคยทักทายขึ้นมา
“ไม่ร้อนเหรออาเหมย”
“พี่เฉียว” พอเห็นว่าเป็นใคร เธอทักทายด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองข้างก็ดึงทึ้งหญ้าขึ้นมาเล่น
“วันนี้ไม่นอนที่บ้านล่ะ หายป่วยแล้วหรือไง” ไม่พูดเปล่า ถังเจี้ยนเฉียวยกมือข้างหนึ่งสัมผัสหน้าผากของเธอด้วยความห่วงใย
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั